5 ปี 5 ดราม่า : รวมเหตุการณ์ที่ทำให้ บุรีรัมย์ & เชียงราย กลายเป็นคู่อริเบอร์ 1
หากถามถึงสองทีมที่เป็นไม้เบื่อไม้เมาของวงการฟุตบอลไทย เชื่อว่าชื่อแรก ๆ ที่ทุกคนนึกถึงต้องเป็น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ เชียงราย ยูไนเต็ด เป็นแน่ เพราะทุกวันนี้พวกเขาได้กลายเป็นศัตรูเบอร์ 1 ของกันและกันไปแล้ว
ไม่ใช่แค่นักเตะที่ห้ำหั่นสาดแข้งใส่กันไม่ยั้ง แต่ผู้บริหารก็เปิดหน้าฉะกันแบบไม่มีใครยอมใคร เผลอ ๆ ความเดือดนอกสนามจะมากกว่าในสนามด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ดี ทุกความขัดแย้งย่อมมีที่มาที่ไป แล้วเหตุการณ์ใดบ้างที่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่าง บุรีรัมย์ กับ เชียงราย จนกลายเป็นทีมที่ไม่เผาผีกัน ติดตามได้ที่ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
บัลลังก์แชมป์สั่นคลอน
แรกเริ่มเดิมทีทั้งสองทีมไม่มีประเด็นบาดหมางกัน ด้วยความที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นมหาอำนาจครองความสำเร็จในลีก ส่วน เชียงราย ยูไนเต็ด เป็นเพียงแค่ทีมกลางตาราง นับตั้งแต่เลื่อนชั้นขึ้นมาลีกสูงสุดเมื่อปี 2010 อันดับที่ดีที่สุดของพวกเขาคือการจบที่ 4 ในปี 2017
กระทั่งในปี 2019 กว่างโซ้งก้าวขึ้นมาสั่นคลอนบัลลังก์แชมป์ไทยลีก พวกเขาไม่ใช่ลูกไล่ให้ปราสาทสายฟ้าเก็บแต้มง่าย ๆ อีกต่อไปแล้ว นั่นคือจุดหักเหที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองสโมสรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เหตุการณ์ดราม่าครั้งแรกเกิดขึ้นหลังจบเกมที่ทั้งสองทีมเสมอกัน 0-0 ที่สนามของบุรีรัมย์ เมื่อ กรุณา ชิดชอบ ภรรยาของ เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ได้โพสต์เฟชบุ้คถึง 3 นักเตะเชียงรายอย่าง เดชา สอาดโฉม , ธนะศักดิ์ ศรีใส และ บิลล์ โรซิมาร์ ที่แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม และเรียกร้องให้ไทยลีกลงโทษ
สุดท้ายไทยลีกก็สั่งแบนนักเตะทั้ง 3 คนนั้น แต่กว่าจะประกาศบทลงโทษได้ เวลาก็ล่วงเลยไป 20 วันแล้ว ฝั่ง เชียงราย ยูไนเต็ด จึงไม่พอใจและพยายามยื่นประท้วงแต่ก็ไร้ผล นั่นทำให้ มิตติ ติยะไพรัช ประธานสโมสรเชียงรายในเวลานั้น จึงโพสต์ตัดพ้อว่าจะขอต่อสู้กับความอยุติธรรมต่อไป
แต่บทสรุปของฤดูกาลนั้นจบลงด้วยความสมหวังของ เชียงราย ยูไนเต็ด ที่สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ไทยลีก ขณะที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ออกตัวว่าจะขอจัดงานฉลองแชมป์ในบ้าน ต้องลงเอยด้วยความเจ็บปวด เพราะพลาดตกม้าตายในเกมนัดสุดท้าย
ดราม่าน้ำยาล้างจาน
ปี 2020 ไทยลีกมีความคิดที่จะนำเทคโนโลยี VAR เข้ามาใช้ จึงมีการปรึกษากับบรรดาผู้บริหารของสโมสร ซึ่งส่วนใหญ่ก็แสดงความเห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพื่อความบริสุทธ์ยุติธรรมของเกมแข่งขัน หนึ่งในนั้นคือ เชียงราย ยูไนเต็ด
และความเดือดระลอกใหม่ก็เริ่มขึ้น เมื่อ มิตติ ติยะไพรัช ไปโพสต์ว่า “สนับสนุนการใช้ VAR ครับ จริง ๆ อย่างน้อย ถ้าไทยลีกใช้ VAR กับทุกเกมที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ลงเตะ ผมว่าก็โอเคแล้วนะ” ซึ่งพยายามสื่อว่าบุรีรัมย์ได้รับประโยชน์จากการตัดสินนั่นเอง
แน่นอนว่าคนฝั่งบุรีรัมย์รู้สึกเคืองกับคำพูดดังกล่าว และพอพวกเขาบุกไปเอาชนะ เชียงราย ยูไนเต็ด 1-0 ในวันที่ 3 ตุลาคม กรุณา ชิดชอบ จึงก็อปคำพูดของ มิตติ ติยะไพรัช ลงโซเชียลมีเดีย และเขียนแคปชั่นกำกับว่า “ใครคนหนึ่งได้กล่าวไว้ ขอบคุณ จาก น้ำยาซันไลต์” พร้อมแนบรูปขวดน้ำยาล้างจานซันไลต์ เพื่อเอาคืนอีกฝ่ายทันที
ขณะที่ มิตติ ติยะไพรัช ก็โพสต์ตอบแนวกวน ๆ ว่า “ที่บ้านใช้ไลป้อนเอฟครับ 555 ขำ ๆ นะครับ” กลายเป็นศึกดราม่าน้ำยาล้างจานที่สร้างความสั่นสะเทือนในไทยลีก
กักตัวไม่ครบ
ปีต่อมา (2021) ทั้งสองทีมก็มีประเด็นนอกสนามกันอีกครั้งในสถานการณ์โควิดระบาด เมื่อ มิตติ ติยะไพรัช ตั้งข้อสงสัยว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไม่ยอมทำตามมาตรการป้องกันของกระทรวงสาธารณสุข ที่บังคับให้คนที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศต้องกักตัว 14 วันหรือเปล่า
เรื่องมีอยู่ว่า ทีมชาติไทยเสร็จสิ้นภารกิจในศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ที่ประเทศยูเออี และเดินทางกลับมาถึงไทยในวันที่ 17 มิถุนายน ทว่า 10 วันหลังจากนั้น (27 มิถุนายน) ปราสาทสายฟ้ากลับส่งนักเตะทีมชาติของตัวเอง ลงสนามในเกมอุ่นเครื่องกับ ขอนแก่น ยูไนเต็ด แล้ว
มิตติ ติยะไพรัช โพสต์ จึงโพสต์ผ่านเฟชบุ้คว่า “ขณะที่ประชาชนหลายภาคส่วนต้องถูกล็อคดาวน์ และต้องจ่ายเงินค่ากักตัวตามมาตรการอย่างเข้มงวด 14 วัน ถ้ามี การกักตัวทิพย์เช่นนี้จริง คุณจะมีคำตอบให้ประชาชนอย่างไร”
สุดท้าย บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ต้องแถลงขอโทษที่ส่งนักเตะลงเล่นก่อนกำหนด เพราะเข้าใจว่าไทยยังใช้แนวทางกักตัวฉบับเดิม (วันที่ 31 มีนาคม) ที่ให้คนที่ฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม กักตัวแค่ 7 วัน โดยที่ไม่รู้ว่ามีประกาศฉบับใหม่เปลี่ยนการกักตัวเป็น 14 วันแล้ว
จะเห็นว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ เชียงราย ยูไนเต็ด มีประเด็นดราม่าใส่กันตลอด แม้ว่าจะไม่ได้พบกันในสนามแข่ง เรียกว่าถ้าฝ่ายใดพลาดขึ้นมา อีกฝ่ายก็พร้อมเปิดแผลทันที
ACL เป็นเหตุสังเกตได้
เชียงราย ยูไนเต็ด ได้สิทธิ์ลงเล่นใน เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2022 ในฐานะแชมป์เอฟเอ คัพ แต่แล้วดราม่าก็บังเกิดจนได้ เพราะสมาพันธ์ลูกหนังเอเชีย (AFC) ดันเลือกสนามบุรีรัมย์จัดเกมในกลุ่มของเชียงรายแทน
เรื่องนี้ทำให้ มิตติ ติยะไพรัช ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะสโมสรอุตส่าห์ปรับปรุงสนามให้ได้มาตรฐานของ AFC แล้ว แต่ยังโดนเมินไม่ได้เป็นเจ้าภาพจัดเกมในกลุ่มตัวเอง เขาจึงตัดสินใจลาออกจากสภากรรมการของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯทันที
จากนั้นความเดือดก็ทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อ มิตติ ติยะไพรัช ไปวิจารณ์สนามบุรีรัมย์หลังจากลงซ้อมครั้งแรก ว่า สภาพค่อนข้างแย่ พื้นสนามไม่เรียบ และเกรงว่านักเตะเชียงรายจะได้รับบาดเจ็บ
คราวนี้ กรุณา ชิดชอบ ในฐานะเจ้าของสนาม ก็โพสต์สวนกลับว่า “ฉลาดเนอะ ตั้งท่าออกตัวไว้ก่อน ถ้าไม่ชนะ จะได้โทษสนามบุรีรัมย์” พร้อมยังแซะเชียงรายว่า อยากดัง อยากให้สื่อเอาไปเล่น หลังลงภาพทำความสะอาดห้องแต่งตัวที่สนาม ช้าง อารีน่า
เรื่องมันยังไม่จบแค่นั้น เมื่อ ปวิศรัฐฐ์ ติยะไพรัช ประธานสโมสรเชียงรายคนปัจจุบัน โพสต์ตอบโต้ กรุณา ชิดชอบ เช่นกัน โดยระบุว่าไม่เคยรังแกใครก่อน แต่ก็พร้อมปกป้องตัวเอง ซ้ำยังทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ว่า “ปล่อยพ่อหนูอยู่บ้าน ให้พ่อหนูพักผ่อนเถอะค่า ไม่ต้องเรียก” จนกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในเวลานั้น
กล้องวงจรปิดพิศวง
เข้าสู่ปี 2023 ได้ไม่ทันไร เชียงราย กับ บุรีรัมย์ ก็มีเหตุให้ฉะกันอีกระลอก คราวนี้เป็นประเด็นกล้องวงจรปิดในห้องแต่งตัวทีมเยือนที่สนามช้าง อารีน่า หลัง ชลบุรี เอฟซี ที่ลงเล่นที่นั่นเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แจ้งเรื่องดังกล่าว เพราะรู้สึกไม่สบายใจ
และ มิตติ ติยะไพรัช ก็ไม่พลาดที่จะร่วมวงสนทนาด้วย โดยระบุว่า เขารู้เรื่องกล้องวงจรปิดตั้งแต่มาแข่งถ้วย ACL เมื่อปี 2022 แล้ว และได้บอกเรื่องนี้กับสโมสรต่างประเทศที่ร่วมแข่งในเวลานั้น ซึ่งทุกทีมก็ต้องใช้เทปกาวไปปิดเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน
ขณะที่ ปวิศรัฐฐ์ ติยะไพรัช ออกมาแสดงความเห็นถึงเรื่องนี้เช่นกันว่า เชียงรายได้พยายามขอให้บุรีรัมย์เอากล้องวงจรปิดออกตั้งแต่ตอนนั้น และพบว่าได้มีการบันทึกภาพในช่วงวันแข่งขันจริง แต่บุรีรัมย์อ้างว่าป้องกันทรัพย์สินมีค่าสูญหาย เช่น นาฬิกา พร้อมโพสต์ทิ้งท้ายว่า “สิทธิเสรีภาพบนผืนแผ่นดินไทยมีค่าน้อยกว่านาฬิกาข้อมืออีกหรือคะ”
เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง
ฝั่ง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็ออกแถลงการณ์ยอมรับว่า พวกเขาได้ทำผิดระเบียบการของไทยลีกและจะนำกล้องออกในวันแข่งขัน แต่ยืนยันว่าไม่เคยบันทึกภาพทีมคู่แข่ง เพราะกล้องวงจรปิดจะถูกใช้เฉพาะวันที่ไม่มีแข่ง และมีแฟนบอลเข้ามาทัวร์สนาม ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยเท่านั้น
ส่วนไทยลีกก็ส่งจดหมายเตือนไป บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แล้ว โดยพวกเขาจะยังไม่ถูกลงโทษ เพราะถือเป็นความผิดครั้งแรก แต่หากยังมีครั้งต่อไป สโมสรจะถูกปรับเงินครั้งละ 10,000 บาท
เราจะเห็นว่า ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กับ เชียงราย ยูไนเต็ด จะมีเรื่องดราม่ากันอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 5 ปีแล้ว และนี่คือคำตอบที่ว่าทำไมทั้งสองทีมจึงกลายเป็นคู่อริเบอร์ 1 จนถึงทุกวันนี้
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
Y2K เดอะ ซีรีส์ : เปิดตำนาน “ชลขาโหด” ของ ชลทิตย์ จันทคาม
รับรุกบุกแหลก : 10 กองหลังที่ยิงประตูเยอะที่สุดในไทยลีกซีซั่นนี้
ของดีเพื่อนบ้าน : 10 นักเตะอาเซียนมูลค่าสูงสุดในไทยลีก
https://www.thairath.co.th/sport/thaifootball/thaipremierleague/2368372