ไม่ชัด...แต่คลาสสิก : 5 เหตุการณ์ "ดราม่าคาบเส้น" ที่เถียงกันไม่มีวันจบในโลกฟุตบอล

ไม่ชัด...แต่คลาสสิก : 5 เหตุการณ์ "ดราม่าคาบเส้น" ที่เถียงกันไม่มีวันจบในโลกฟุตบอล
ชยันธร ใจมูล

คาโอรุ มิโตะมะ ไปล้วงบอลที่คาบลูกคาบดอกกำลังจะออกหลัง ก่อนตบเข้ามาให้ อาโอะ ทานากะ ยิงประตูประวัติศาสตร์ทำให้ญี่ปุ่นชนะ สเปน 2-1 และเข้ารอบน็อคเอาต์ในฐานะแชมป์กลุ่มแบบสุดดราม่า

จังหวะดังกล่าวถูกพูดถึงมากมายในโลกโซเชี่ยล บางคนว่าออก บางคนว่าไม่ ? และการโต้เถียงกันแบบนี้จะทำให้มันกลายเป็นเรื่อง "คลาสสิก" ของโลกฟุตบอลอย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่ใช่ครั้งแรกที่ "ดราม่าคาบเส้น" เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์วงการฟุตบอล... Think Curve - คิดไซด์โค้ง นำเสนอดราม่าคาบเส้นในตำนานที่นี่

ซามูไรไร้รอยสัก : ทำไมญี่ปุ่นจึงเป็นไม่กี่ชาติในฟุตบอลโลกที่นักเตะไม่สักลาย
เมื่อรอยสักที่นักฟุตบอลให้ความนิยม ไม่สามารถเจาะตลาดแข้งญี่ปุ่น เพราะอะไร?

ฟุตบอลโลก 1966 : ประตูผี...ที่ไม่ใช่ผัดไทย

ความคลาสสิกของ "ดราม่าคาบเส้น" ระดับปฐมบทคือเหตุการณ์ในการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบชิงปี 1996 ระหว่าง ทีมชาติเยอรมนีตะวันตก กับ ทีมชาติอังกฤษ

โดยในเกมนั้น ลากยาวจากช่วง 90 นาทีแรก ด้วยการเสมอกัน 2-2 ชนิดที่ว่า เยอรมัน ตีเสมอได้ในนาทีสุดท้ายของเกม เรียกว่า โมเมนตั้มตอนนั้นเทไปฝั่งเยอรมันหมดแล้ว และพวกเขาน่าจะเป็นแชมป์โลกได้จากข้อได้เปรียบนั้น ทว่าในช่วงต่อเวลาพิเศษนาทีที่ 103 ในนาทีนั้น เจฟฟ์ เฮิร์สต์  จับบอลในกรอบเขตโทษ แล้วยิงเพื่อหมายทำประตูในระยะเผาขน ลูกบอลเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว พุ่งชนคาน ก่อนตกลงสู่พื้น แล้วเด้งหลุดนอกกรอบประตู…

เข้าไม่เข้าไม่รู้แต่ เฮิร์ตส์ ดีใจไปเรียบร้อยเเล้ว ทำให้ผู้ตัดสิน ก็อตต์ฟรีด ดีนสท์ เองก็ลังเล ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าประตูดังกล่าวนับว่าเป็นประตูได้หรือไม่ เขาปรึกษากับผู้ช่วยผู้ตัดสิน ก่อนที่จะมีการยืนยันหนักแน่นว่า “ลูกบอลได้เข้าประตูไปแล้ว” เมื่อได้รับการยืนยัน เขาจึงตัดสินให้เป็นประตู ประตูดังกล่าวทำให้ อังกฤษ นำ 3-2 ก่อนที่ เฮิร์สต์ จะมายิงย้ำชัยให้อังกฤษ ชนะ 4-2 ในช่วงนาทีที่ 120

หลังเกมผู้เล่นเยอรมันหลายคนยืนยันว่าลูกบอลไม่ได้ข้ามเส้นประตู แต่เสียงคัดค้านนั้นถูกปฏิเสธ แต่นั่นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ จนถึงทุกวันนี้ประตูของ เฮิร์สต์ ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ 100% ว่าข้ามเส้นไปหรือยัง ซึ่งประตูดังกล่าวมีชื่อเรียกเฉพาะว่า "ประตูผีของ เจฟฟ์ เฮิร์สต์" ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้อังกฤษกลายเป็นแชมป์โลกสมัยแรกและสมัยเดียวของพวกเขา ขณะที่ เฮิร์สต์ ได้รับยศ "เซอร์" หลังจากพาอังกฤษประสบความสำเร็จครั้งนั้น

ฟุตบอลโลก 2010 : ประตูผี...เวอร์ชั่นเอาคืน

ว่ากันว่าเวรกรรมนั้นมีอยู่จริง วันหนึ่งเราทำเขา สักวันเขาก็จะมาทำเรากลับ เรื่องนี้อาจจะใช้อ้างอิงกับแนวคิดดังกล่าวได้ เพราะหลังจาก อังกฤษ ยิงประตูผีใส่เยอรมันในปี 1966 อีก 44 ปี ต่อก็ได้เวลาที่ เยอรมัน จะส่งเรืองคลาสสิกนี้กลับไปให้ อังกฤษบ้าง

เหตุการณ์เกิดขึ้นในฟุตบอลโลกปี 2010 ที่ เยอรมัน พบกับ อังกฤษ ชุดที่ถูกเรียกว่า "ยุคทอง" เพราะมีนักเตะดัง ๆ เก่ง ๆ มากมาย หนึ่งในนั้นคือ แฟรงค์ แลมพาร์ด ผู้สร้างหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์โลกฟุตบอล

โดยในเกมนั้น แลมพาร์ด ได้ยิงไกลจากระยะ 25 หลา ผ่านมือ มานูเอล นอยเออร์ ก่อนที่บอลจะพุ่งไปชนคานและกระเด้งข้ามเส้นปากประตูไปอย่างรวดเร็ว

หากมองด้วยตาก็อาจจะสังเกตไม่ทัน แต่หากมีภาพช้าลูกนี้มันชัดเจนว่าบอลข้ามเส้นไป "เยอะมาก" แต่กรรมการมองไม่ทัน สุดท้ายกรรมการก็ไม่ให้ลูกนั้นเป็นประตูของฝั่งอังกฤษ ซึ่งปลายทางคือ เยอรมัน เอาชนะ อังกฤษไปได้ถึง 4-1

“มันเป็นการยิงที่รวดเร็วมากโดยที่ผมมองไม่เห็น แม้ว่าผมจะอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องก็ตาม” ฮอร์เก้ เอสปิโนซ่า ผู้กำกับเส้นในเกมนั้นบอกกับสื่ออย่าง El País

ลูกยิงของ แลมพาร์ด ข้ามเส้นไปเยอะมากจริง ๆ เมื่อมองจากภาพช้า และนั่นทำให้หลายคนรับไม่ได้โดยเฉพาะฝั่งอังกฤษ ที่ออกมารุมสับผู้ตัดสินในเกมนั้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นนักวิจารณ์ นักเตะ หรือแม้กระทั่ง อดีตนักเตะทีมชาติอังกฤษก็ตาม

"มันข้ามเส้นไปแล้วโว้ย โคตรจะอัปยศเลย ตัดสินได้ห่วยแตกแบบไร้ที่ติ" คำพูดดังกล่าวเกิดขึ้นจากปากของ อลัน เชียร์เรอร์ ที่อดรนทนไม่ไหวกับสิ่งมี่เกิดขึ้น

เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้จบแค่นั้น หลังจากอังกฤษตกรอบไป ประตูของแลมพาร์ด(ที่ไม่ได้ประตู) ได้ถูกต่อยอดเพื่อควาทเที่ยงตรง หลังจากนั้นก็เกิดเทคโนโลยี "ฮอว์ก อาย" ที่ช่วยตัดสินได้ว่าบอลข้ามเส้นไปหรือยัง ก่อนจะพัฒนาต่อมาเรื่อย ๆ จนเป็นเทคโนโลยีโกลไลน์ ที่กลายเป็นความเที่ยงธรรมมากกว่าเมื่อครั้งอดีตหลายเท่า

เข้าไม่เข้าไม่รู้...แต่นำลิเวอร์พูลสู่แชมป์ยุโรป

เรื่องนี้ต้องย้อนไปในฤดูกาล 2004-05 ที่ ลิเวอร์พูล เดินทางมาถึงรอบตัดเชือกและต้องเจอกับ เชลซี ที่ "ตึงสุดๆ" ในเวลานั้นภายใต้การคุมทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ เวอร์ชั่นที่กำลังห้าวเป้งสุดขั้ว

ลิเวอร์พูล ทำได้ดีในเกมเลกแรกด้วยการยันเสมอ เชลซี 0-0 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ก่อนที่พวกเขาจะกลับมาเล่นในเกมนัดที่ 2 ที่ แอนฟิลด์ บ้านของตัวเอง

แน่นอนว่าบรรยากาศที่แอนฟิลด์ในค่ำคืนของแชมเปี้ยนส์ลีกนั้นชวนให้มีมนต์ขลังเกิดขึ้นเสมอ หลังเกมเริ่มได้เพียงไม่กี่นาที หลุยส์ การ์เซีย ตามเข้ามาซ้ำลูกยิงของ มิลาน บารอส ก่อนที่บอลจะกระดอนเอื่อย ๆ ไปบนเส้นปากประตู ก่อนที่ วิลเลี่ยม กัลลาส จะเตะทิ้งออกมาได้

บอลมันข้ามเส้นไปหรือยังไม่มีใครตอบได้แต่ ผู้ตัดสินชี้มือให้เป็นประตูของ ลิเวอร์พูล นำ 1-0 ก่อนจะจบเกมด้วยสกอร์ดังกล่าวเข้ารอบไปชิงชนะเลิศกับ เอซี มิลาน ที่ อิสตันบูล ... และที่เหลือคือประวัติศาสตร์

"ผมมีความทรงจำที่ยากลำบากจากที่นั่น การแพ้ในแชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ ด้วยประตูที่ไม่เป็นประตูนั้นจะคงอยู่ตลอดไป คุณไม่เคยลืมมัน เสียดายโกล์ไลน์ก็ยังไม่มี่!” โชเซ่ กล่าวทิ้งท้ายหลังจาก ลิเวอร์พูล ชูถ้วยแชมป์ยุโรปสมัยที่ 5 ของพวกเขา

เทคโนโลยีเป็นใจ...ให้ แอสตัน วิลล่า รอดตกชั้น

หลังจากโดนโควิดเล่นงานอย่างหนักในช่วงต้นปี 2020 ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกก็กลับมาแข่งขันกันอีกครั้ง และมันก็ช่วงเวลาที่สโมสร แอสตัน วิลล่า จะต้องโฟกัสอย่างเต็มที่เพราะพวกเขาอยู่ในโซนหนีตกชั้นอย่างเต็มตัว ไม่ว่าจะเจอกับใคร ทีมไหน ทุกเเต้ม ทุกประตูล้วนมีความสำคัญกับพวกเขาทั้งสิ้น

และเเล้วเหตุการณ์ดราม่าก็มาเยือนพวกเขา ในเกมที่พบกับ เชฟฯ ยูไนเต็ด นั้นในนาทีที่ 42 ของเกม เชฟฯ ยูฯ ได้ฟรีคิกบริเวณริมเส้นและเป็น โอลิเวอร์ นอร์วู้ด เปิดบอลไปที่เสาไกล ออร์ยัน นีลันด์ ประตูของ วิลล่า ทำเฟอะฟะจนได้ด้วยการรับบอลได้แล้วแต่ตัวกลับถลำเข้าไปในประตูอย่างเห็นได้ชัด ... ลูกนี้ต่อให้ไม่มีเทคโนโลยีใด ๆ ก็มองออกว่ามันข้ามเส้นไปแล้ว

อย่างไรก็ตามเมื่อมีเทคโนโลยีโกลไลน์ ผู้ตัดสินก็ต้องรอสัญญาณการสั่นที่นาฬิกาว่าลูกนี้เข้าไปหรือยัง... ปรากฎว่านาฬิกาข้อมือของ ไมเคิล โอลิเวอร์ ไมได้สั่นแจ้งเตือนว่าลูกนี้ข้ามเส้นไปแล้ว เขาจึงไม่ให้ประตูกับ เชฟฯ ยูฯ แบบค้านสายตาทั้งโลก สุดท้าย วิลล่า ก็ได้ 1 แต้มในเกมนี้ และถือเป็น 1 แต้มสำคัญที่ทำให้เขารอดตกชั้นในเกมสุดท้ายของฤดูกาลไปอย่างหวุดหวิด

ภายหลังบริษัทที่มีหน้าที่รับผิดชอบเทคโนโลยีโกลไลน์ ก็ออกมาเปิดเผยว่าจริง ๆ แล้วบอลนั้นข้ามเส้นไปเต็มใบ (แหงล่ะ) แต่เทคโนโลยีของพวกเขากลับมีปัญหาด้วยการไม่ส่งสัญญาณไปให้ผู้ตัดสินในสนามเท่านั้นเอง... เท่านั้นจริง ๆ

ญี่ปุ่น vs สเปน สด ๆ ร้อน ๆ

ประตูนี้คงไม่ต้องพูดถึงกันเยอะ จังหวะดังกล่าวเกิดขึ้นจากการเสียบอลหน้าประตูตัวเองของ สเปน ก่อนที่ คาโอรุ มิโตะมะ จะวิ่งตามบอลไปจนสุดและตวัดบอลกลับมาหน้าปากประตูให้ อาโอะ ทานากะ แท็ปอินเข้าไปให้ญี่ปุ่นนำ สเปน 2-1 ซึ่งในปลายทางประตูนี้ทำให้ญี่ปุ่นเป็นแชมป์กลุ่มอย่างเหลือเชื่อ

แม้จะถกเถียงกันว่า "บอลมันออกไปหรือยัง ?" แต่ก็มีภาพยืนยันในภายหลังว่าจังหวะที่ มิโตะมะ ตวัดเข้ามานั้นบอลยังออกไม่เต็มใบ จึงกลายเป็นประตูประวัติศาสตร์ชาติญี่ปุ่น เช่นเดียวกับ เยอรมัน ที่ต้องตกรอบด้วยประตูนี้ไปแบบสุดปวดใจ

แชร์บทความนี้
หัวหน้ากองบรรณาธิการ, คิดไซด์โค้ง-ThinkCurve
mask-bg
logo-black

SOCIAL MEDIA

สนใจโฆษณาติดต่อ