ไมเคิล เบิร์น : ราชาไร้มงกุฎ…จากแข้งโนเนมในยุโรป สู่ตำนานบทหนึ่งของไทยลีก
หลายคนที่เป็นแฟนฟุตบอลไทยยุคต้น ๆ ปี 2009 คงไม่มีใครไม่รู้จัก “ไมเคิล เบิร์น” แข้งลูกครึ่งเวลส์-อังกฤษ ที่เข้ามาสร้างชื่อเสียงและค้าแข้งอยู่ในวงการฟุตบอลไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งแน่นอนว่าการเข้ามาเป็นนักเตะต่างชาติในไทยไม่ใช่เรื่องง่าย
อย่างไรก็ตามแข้งรายนี้พิสูจน์ตัวเองให้แฟนฟุตบอลไทยเห็นแล้วว่าเขาคือ “ตำนานไทยลีก” จากฟอร์มการเล่นกับหลายสโมสรไม่ว่าจะเป็น นครปฐม เอฟซี, ชลบุรี เอฟซี หรือแม้แต่ทีมแถวหน้าอย่าง บางกอกกล๊าส หรือ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน
เรื่องราวเบื้องหลังของแข้งทีมชาติเวลส์ที่ย้ายถิ่นฐานจากอังกฤษสู่ประเทศไทยและก้าวมาเป็นตำนานไทยลีกนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร ? ติดตามไปพร้อมกันได้ที่ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
ไอ้หนุ่มแมนคูเนี่ยน
ย้อนกลับไปสมัยที่ ไมเคิล โธมัส เบิร์น ลูกครึ่งเวลส์-อังกฤษ เกิดและเติบโตที่เมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ครอบครัวของเขาคอยสนับสนุนให้เริ่มเล่นกีฬาตั้งแต่ 2 ขวบ อีกทั้งบ้านยังอยู่ห่างจากสนามเอติฮัต สเตเดียม (ชื่อในขณะนั้น City of Manchester) รังเหย้าของสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แค่ประมาณ 10 นาที ทำให้เด็กชายเบิร์นหลงใหลในกีฬาฟุตบอลชนิดถอนตัวไม่ขึ้น
“ที่บ้านของผมเชียร์ซิตี้กันทุกคน เช่นเดียวกับพี่ชายของผมที่เชียร์ซิตี้ตั้งแต่เกิด พอผมเกิดมาจำความได้ก็เชียร์พร้อมกับทุกคนในบ้าน” ไมเคิล เบิร์น กล่าว
ด้วยความชื่นชอบในกีฬาลูกหนัง ทำให้เขาเข้าสู่รั้วอคาเดมี แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตั้งแต่อายุเพียง 6 ขวบ แต่ก็ค้าแข้งอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ด้วยความเป็นทีมใหญ่ทำให้การแข่งขันภายในทีมค่อนข้างสูง เบิร์น จึงตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ ครูว์ อเล็กซานดร้า อีกหนึ่งอคาเดมีที่มีชื่อเสียงในวงการฟุตบอลอังกฤษเวลานั้น
ที่ ครูว์ อเล็กซานดร้า นี้เอง เบิร์น ได้พบกับ “ดาริโอ เกรดี” กุนซือผู้เป็นตำนานของสโมสรครูว์ และเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมมากประสบการณ์ที่วงการฟุตบอลอังกฤษให้การยอมรับนับถือมากที่สุดคนหนึ่ง
เบิร์น พัฒนาฝีเท้าอยู่กับ ครูว์ อเล็กซานดร้า อยู่ประมาณ 7 ปี ก่อนที่ โบลตัน วันเดอเรอร์ส อีกหนึ่งสโมสรเก่าแก่ของประเทศอังกฤษ จะให้ความสนใจและจรดปากกาเซ็นสัญญาเด็กคนนี้ให้เข้าสู่เส้นทางฟุตบอลอาชีพเต็มตัวด้วยวัย 14 ปี
“โบลตัน เข้ามาตอนผมอายุ 14 ปี แล้วเขาให้เป็นสัญญาอาชีพเลยตอนอายุเท่านั้น ผมก็รู้เลยว่าเลิกเรียนปุ๊ปก็เป็นนักบอลอาชีพเลย” ไมเคิล เบิร์น กล่าว
ที่นั่นเขาได้พบกับ “แซม อัลลาไดซ์” กุนซือที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนแรก ๆ ผู้นำวิทยาศาสตร์การกีฬาเข้ามาใช้กับนักฟุตบอล ทั้งยังเป็นเพื่อนซี้กับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ส่งผลให้การย้ายไปที่นั่นของ เบิร์น “พัฒนาฝีเท้าขึ้นแบบก้าวกระโดด” จนส่งผลให้เขาติดทีมชาติเวลส์ U21 ตั้งแต่อายุ 17 ปี
แม้จะมีดีกรีเป็นเยาวชนทีมชาติ แต่ด้วยโอกาสลงสนามที่น้อยนิด หลายนัดเขาต้องนั่งเป็นตัวสำรองหรือแม้กระทั่งบางนัดไม่มีแม้แต่ชื่ออยู่ในทีม ทำให้ต้องเก็บกระเป๋าพเนจรอีกครั้ง
ฤดูกาลถัดมา เบิร์น เซ็นสัญญากับ สต็อคปอร์ท เคาน์ตี้ แต่ก็ยังผลงานไม่เข้าตาจนถูกปล่อยให้ ลีห์ อาร์เอ็มไอ ยืมตัวไปใช้งาน กระทั่งในที่สุด ก็ถูกต้นสังกัดอย่าง สต็อคปอร์ท เคาน์ตี้ ยกเลิกสัญญา และต้องย้ายไปอยู่ นอร์ธวิช วิคตอเรีย ลีกฟุตบอลสมัครเล่นของ อังกฤษ
ดูเหมือนว่าลีกฟุตบอลในยุโรปจะไม่ตอบโจทย์มากนัก เบิร์น จึงต้องเดินทางเพื่อหาความท้าทายใหม่อีกครั้ง
จากเมืองผู้ดีสู่สยาม
ปี 2009 ช่วงเวลาที่ เบิร์น กำลังมองหาสโมสรเพื่อเริ่มต้นชีวิตค้าแข้งใหม่อีกครั้ง วงการฟุตบอลไทยกำลังเข้าสู่ไทยลีกยุคใหม่ หลายสโมสรอยู่ในช่วงก่อร่างสร้างทีม และมองหานักเตะต่างแดนเข้ามาช่วยยกระดับให้ทีมก้าวสู่ขั้นต่อไป เบิร์น ในวัย 23 ย่าง 24 ปี จึงเข้ามาลองแสวงโชคที่นี่จากคำชักชวนของเอเยนต์คนหนึ่ง
“ตอนนั้นถือเป็นโอกาสดีที่จะเข้ามาหาความท้าทายใหม่ ๆ ซึ่งการมาเมืองไทยครั้งนี้ก็ยังไม่รู้ว่าสุดท้ายจะมีสโมสรไหนเซ็นสัญญาไปร่วมทีมหรือไม่” ไมเคิล เบิร์น กล่าว
เหมือนโชคชะตาจะขีดเขียนเอาไว้ว่าชายที่ชื่อ ไมเคิล เบิร์น จะได้เป็นตำนานในเมืองไทย เขาเดินทางไปทดสอบฝีเท้ากับ นครปฐม เอฟซี และกลายเป็นสโมสรแรกที่ให้โอกาสเขาได้เซ็นสัญญาเข้ามาค้าแข้งบนเวทีไทยลีก
ด้วยความสามารถของเขาที่มีสไตล์การเล่นแบบ “เพลย์เมคเกอร์” สามารถเลี้ยงบอลชงกินเองสร้างสรรค์โอกาสต่าง ๆ หรือแม้แต่ปั้นเพื่อนร่วมทีม ชนิดที่ว่าแค่ยืนอยู่ในกรอบก็พร้อมส่งบอลให้ทำประตู ส่งผลให้ผู้จัดการทีมนครปฐมในเวลานั้นอย่าง “สถิตย์ ทวีนุช” เซ็นสัญญาพร้อมเอ่ยปากชมแข้งรายนี้ไม่ขาดปาก
"ผมหวังมากว่าเราจะยังรักษาฟอร์มเก่งในฤดูกาลที่แล้วได้ โดยเฉพาะปีนี้เรามีนักเตะกองกลางชาวอังกฤษ ที่ชื่อ ไมเคิล เบิร์น ที่เพิ่งมาร่วมทีมเมื่อไม่นานมานี้ และโชว์ฟอร์มได้ดี เชื่อว่าจะเป็นตัวหลักของทีมต่อไป" สถิตย์ ทวีนุช กล่าว
เบิร์น สามารถเล่นได้ทั้งกองหน้า ปีก กองกลางตัวรุกและกองกลางตัวคุมจังหวะเกม ชนิดที่ว่า “ครบเครื่องเรื่องต้มยำ” เพียงเลกแรกก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมกับ นครปฐม เอฟซี โดยยิงไป 9 ประตู พร้อมพาทีมจบกลางตารางเลกแรก ทำให้ทีมจากฝั่งตะวันออกสนใจแข้งรายนี้
“ชลบุรี เอฟซี” ทีมยักษ์ใหญ่ในเวลานั้นต้องการคว้าตัวลูกครึ่งเวลส์-อังกฤษรายนี้ไปครอบครองหลังจากที่เพิ่งขาย สุรัตน์ สุขะ ให้เมลเบิร์น วิคตอรี สโมสรในประเทศออสเตรเลีย
ฉลามชลในเวลานั้นเพิ่งคว้าแชมป์เลกแรกของฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีก และต้องกรำศึกหนักในเลกที่สอง มีทัวร์นาเมนต์ต่าง ๆ รออยู่อาทิ เอเอฟซี คัพ ในระดับเอเชีย รวมไปถึงเอฟเอคัพ ทำให้ต้องนำ เบิร์น เข้ามาเสริมทีม เพื่อล่าแชมป์ในทุกถ้วยรางวัล โดยไม่ให้นักเตะที่มีอยู่ในมือล้าจนเกินไป
“การซื้อไมเคิลมาเพิ่ม เพื่อทดแทน สุรัตน์ ที่ขายไป หลังจากได้เห็นฝีเท้าแล้ว ไมเคิลเป็นนักเตะที่มีเบสิกดี ยิงไกลดี มุ่งมั่นขยันและทุ่มเทในการแข่งขัน เชื่อว่าเมื่อได้ตัวมาแล้วจะได้นำมาฝึกซ้อมร่วมกับทีมในช่วงพักฤดูกาล 1 เดือน แล้วปรับยุทธวิธีการเล่น ให้เข้าขากับผู้เล่นในทีม คาดว่าจะทำให้ทีมชลบุรีเอฟซี มีความแข็งแกร่ง และสามารถที่จะคว้าแชมป์ได้ทุกรายการ” อรรณพ สิงห์โตทอง กล่าว
การมายัง ชลบุรี เอฟซี ของ เบิร์น คือช่วงเวลาที่ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น เมื่อได้ลงโชว์ฝีเท้าในสนาม เรียกได้ว่าลูกครึ่งรายนี้ไม่ต่างจาก “สัญลักษณ์” ของฉลามชลในยุคนั้น
เมื่อประกอบกับการได้ร่วมงานกับอดีตกุนซือทีมชาติไทยชุดใหญ่อย่าง “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ทำให้เขายอมรับว่า นั่นคือช่วงเวลาที่เขามีความสุข และมีความมั่นใจกับฟุตบอลอย่างเต็มเปี่ยม
“ตอนที่ผมอยู่กับชลบุรี (2009) ที่คุมทีมโดย 'ซิโก้' เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ตอนนั้นผมเล่นได้ดีจริง ๆ และความมั่นใจก็เต็มเปี่ยม”
“ทุกอย่างเกี่ยวกับฟุตบอลมันลงตัวไปหมด ไม่ว่าจะการฝึกซ้อม หรือเกมในสนาม รวมไปถึงความสัมพันธ์ของผมกับโค้ชด้วย” ไมเคิล เบิร์น กล่าว
อีกหนึ่งโมเมนต์อันน่าประทับใจของ เบิร์น สมัยค้าแข้งกับฉลามชลต้องดวลกับยักษ์ใหญ่อย่าง บีอีซี เทโร แมตช์นั้นเขายิงไกลจากครึ่งสนามทำเข้าประตูสุดสวยรวมถึงสามารถกดแฮตทริกสำคัญพา ชลบุรี เอาชนะ บีอีซี เทโร ด้วยสกอร์ 4-1
ตลอดช่วงเวลากับ ฉลามชล แม้จะไม่มีแชมป์ติดมือ แต่ถือเป็นจุดเปลี่ยนทำให้ดาวเตะชาวเวลส์ไต่ระดับจากแข้งโนเนมกลายเป็นกองกลางฝีเท้าดีแถวหน้าของลีก และนั่นคือสาเหตุที่ บางกอกล๊าส เอฟซี (บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน) ทุ่มเงินดึงเขาไปร่วมทีม ซึ่งเดิมที บางกอกกล๊าส ติดตามดูฟอร์มของเขามาตั้งแต่สมัยอยู่ นครปฐม แล้ว
“ผมเข้าใจดีว่า ฟุตบอลคือธุรกิจ และสโมสรก็มองเห็นเม็ดเงินจากการปล่อยตัวผมไปอยู่กับบีจีก็จริง แต่ถ้าให้ผมพูดตามตรง ผมไม่เคยคิดจะย้ายออกจากชลบุรีเลย” ไมเคิล เบิร์น กล่าว
ช่วงที่เขาย้ายมาอยู่ในถิ่น ลีโอ สเตเดียม เบิร์น ก็ยังคงโชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นจนขึ้นเป็นตัวหลักของสโมสร แต่ชีวิตนักฟุตบอลด้วยความเป็น “ชีพจรลงเท้า” ทำให้เขาอยู่ บีจี ได้เพียงปีเดียวจากนั้นก็เดินทางไป ชัยนาท เอฟซี
ฤดูกาลที่ร่วงโรย
จากปทุมธานีสู่ชัยนาทเพื่อหาความท้าทายใหม่ ๆ ในชีวิตค้าแข้ง เบิร์น ได้รับสัญญาระยะสั้นเพียง 6 เดือน แต่ด้วยฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมทำให้กลายเป็นแข้งคนสำคัญของ “นกใหญ่พิฆาต” และต่อสัญญากับทีมอยู่ที่นั่นถึง 2 ปี
“สำหรับผม ในฐานะนักฟุตบอล ผมมองหาความท้าทายที่ดีที่สุดแก่ตัวเองเสมอ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมย้ายไปเล่นกับชัยนาท ฮอร์นบิล นานกว่า 2 ปี แม้ว่าครอบครัวของผมจะใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพฯ และผมต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นคนเดียว” ไมเคิล เบิร์น กล่าว
หลังหมดสัญญากับ ชัยนาท ฮอร์นบิล ตัวเขาเองก็เริ่มอายุมากขึ้นอยากจะใช้เวลาอยู่กับครอบครัว จึงไปร่วมทีม อยุธยา เอฟซี จากการชักชวนของกุนซือเก่าอย่าง ฟิล สตับบินส์
“หลังจากหมดสัญญากับชัยนาท ผมตั้งใจว่าจะกลับมาเล่นฟุตบอลในกรุงเทพฯ เพื่อใช้เวลากับภรรยาและลูกชายให้มากขึ้น พอดีกับที่ผมได้รับฟังโปรเจ็กต์จาก ฟิล สตับบินส์ เขาเป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยม ซึ่งกำลังทำงานอยู่กับ อยุธยา เอฟซี ผมจึงตัดสินใจย้ายไปเล่นที่นั่นในปี 2014” ไมเคิล เบิร์น
ผลงานในสนามของทีมกำลังไปได้สวย ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนอกสนามมันกลับตรงกันข้าม เขาไม่ได้รับเงินเดือนอย่างที่ควรจะเป็น เนื่องจากปัญหาสภาพการเงินของทีมที่ไม่สู้ดีนัก และเขาต้องเดินทางอีกครั้ง
ฤดูกาลถัดมา เบิร์น ได้พบกับนักลงทุนจากต่างประเทศที่ชื่อ ลูคัส นีล ที่กำลังทำทีม หัวหิน ซิตี้ และตัวเขาเองคิดว่ามันเป็นโปรเจ็กต์ที่น่าเข้าไปมีส่วนร่วม ซึ่งเขามักมองหาความท้าทายใหม่เสมอ มันดูเหมือนจะเป็นอะไรที่น่ามหัศจรรย์ แต่ที่นั่นกลับไม่ใช่แบบนั้น
“ผมเจอปัญหาจากเรื่องนอกสนามที่นั่น และแน่นอน ผมไม่เคยได้รับเงินค่าตอบแทนตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ นั่นหมายความว่า มันเป็นเวลา 2 ปีแล้วที่ผมเล่นฟุตบอลในประเทศไทย แต่ไม่ได้รับเงินเดือน ผมเองก็มีครอบครัวที่ต้องดูแล” ไมเคิล เบิร์น เล่าให้ฟัง
ในปี 2016 ไมเคิล เบิร์น ตัดสินใจอำลาการค้าแข้งในไทยเพื่อกลับยุโรป ปิดฉากตำนานไทยลีก 7 ปี ของประเทศไทยไว้เพียงเท่านี้
“ตลอด 7 ปี ผมมีโอกาสเล่นให้หลายสโมสรในไทย มันเป็นความทรงจำที่ดี แต่มีสิ่งที่ผมเสียดายมากที่สุดที่ยังทำไม่ได้คือการที่ผมไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆ ที่นั่นได้เลย”
“ตอนอยู่กับ ชลบุรี เอฟซี ในฤดูกาล 2009 ผมมีโอกาสเข้าใกล้แชมป์ไทยลีก องค์ประกอบทุกอย่างพร้อม และมีศักยภาพมากพอ แต่เราผิดพลาดในช่วงท้ายจนต้องพลาดแชมป์ไป (ชลบุรี เอฟซี จบรองแชมป์ ส่วนเมืองทองฯ คว้าแชมป์ไปครองมีคะแนนห่างกันเพียง 3 คะแนน) หลังจากนั้นปี 2010 ชลบุรี ได้แชมป์เอฟเอ คัพ แต่ปีนั้นผมย้ายไป บีจี (บีจี ปทุม ยูไนเต็ด) พอดี เลยไม่ได้มีโอกาสคว้าแชมป์กับทีม”
“มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้ผมยังเสียดายมาจนถึงทุกวันนี้” ไมเคิล เบิร์น กล่าว
กลับสู่แผ่นดินไทยอีกครั้ง
ท้ายที่สุด ไมเคิล เบิร์น กลับไปใช้ชีวิตที่ยุโรป โดยกลับไปทำธุรกิจขายเสื้อผ้ากับครอบครัวในประเทศสกอตแลนด์ ทิ้งไว้กับความทรงจำบนเวทีฟุตบอลไทยตลอด 7 ปี
แต่เขาว่า โลกมักจะหมุนให้เรากลับมาเจอกันเสมอ แม้ว่าจะไม่ได้เล่นฟุตบอลอาชีพแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังคงวนเวียนอยู่ในวงการฟุตบอล เมื่อเขาตัดสินใจหุ้นกับ จักรพันธ์ พรใส และ ตูน บอดี้สแลม สองเพื่อนสนิทของเขา เปิดโรงเรียนสอนฟุตบอล ไรส์ซิง สตาร์ ฟุตบอล อะคาเดมี่ สุพรรณบุรี เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กๆ ใน จ.สุพรรณบุรี และ พื้นที่ใกล้เคียงได้ฝึกทักษะฟุตบอล เพื่อที่วันหนึ่ง เด็กๆ ที่เขาประคบประหงม จะก้าวมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพระดับไทยลีก เหมือนที่เขาทำได้
“เรามีเป้าหมายที่จะสร้างมายด์เซตที่ดี พยายามให้เด็กเรียนรู้ว่า ถ้ามีมายด์เซตที่ดี เราสามารถจะทำได้ทุกอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องฟุตบอลอย่างเดียว ถ้าอยู่ในเกม เราพยายามทำให้เด็กคิดในภาพบวก คิดว่าทำได้และมั่นใจตัวเอง” อดีตกองกลางชาวเวลส์ พูดถึงสิ่งที่เขาอยากปลูกฝังเด็กในอะคาเดมี่ของเขา ให้ตามรอยสิ่งที่เขาเคยทำได้
และอีกหนึ่งสิ่ง ที่เขาได้ลงมือทำ คือการเป็นพิธีกรรายการฟุตบอลร่วมกับดาโน่ เซียก้า และ ธีรเทพ วิโนทัย อีกสองแข้งเพื่อนสนิทของเขา ทางช่องทางออนไลน์ รวมไปถึงรับงานอีเวนต์ฟุตบอลในฐานะอินฟูลเอ็นเซอร์สายฟุตบอลชื่อดังคนหนึ่งในเวลานี้
จากเด็กหนุ่มเมืองแมนเชสเตอร์ ก้าวไปติดทีมชาติเวลส์ในชุดเยาวชน ก่อนพเนจรฝากฝีเท้าบนแผ่นดินสยาม และกลับมาสู่แผ่นดินที่เป็นบ้านหลังที่สอง เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ เพื่อที่จะตามรอยตัวเขา ในการเป็นแข้งไทยลีกแบบเขาให้ได้ในสักวัน…
อ้างอิง
- https://mgronline.com/sport/detail/9520000025240
- https://www.youtube.com/watch?v=WbBEyPZ2JxQ&t=118s
- https://fb.watch/rUD4XSuHOf/
- https://www.goal.com/th/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%A5%E0%B8%81--%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5-%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%99-%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%81/17rweplm3lapq1lqdbcv8o4vxm
- https://mgronline.com/local/detail/9520000072030
- https://www.blockdit.com/posts/60c840286ea44e0c5ac36023
- https://youtu.be/j8wV9lYjl7o?si=i-kdA35ERN-egwGh
- https://www.thaipower.co/passion-michael-thomas-byrne-kaokonlakao/