ไปเป็นแชมป์ยุโรปกันโว้ยเพื่อน! : ภารกิจสุดท้ายกับเพื่อนซี้ของ จานลูก้า วิอัลลี่
การจากไปของ จานลูก้า วิอัลลี่ ทำเอาคนฟุตบอลหลายคนถึงกับซึมและบอกไม่ถูก พวกเขาต่างยืนยันว่า วิอัลลี ไม่ใช่แค่ยอดนักเตะ แต่เขาเป็นยอดคนโดยสมบูรณ์แบบ
เรื่องราวต่าง ๆ ร้อยเรียงผ่านการเป็นนักเตะอาชีพ จนกระทั่งมาถึงภารกิจสุดท้ายที่เขาและโรคมะเร็งตับอ่อนเดินทางร่วมกันในฐานะ "มือขวา" ของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ในฟุตบอลยูโร 2020
นี่คือมิตรภาพของคน 2 คน และแขกที่ไม่ได้รับเชิญอีก 1 โรค ที่จะทำให้คุณรู้ว่า วิอัลลี คนนี้สำคัญขนาดไหนกับการเป็นแชมป์ยุโรปครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีมชาติ อิตาลี
มาช่วยกูหน่อยเว้ย
จานลูก้า วิอัลลี่ คือหนึงในกองหน้าที่ดีที่สุดของทีมชาติอิตาลีในช่วงปลายยุค 80s ต่อ 90s เขาคือกองหน้าแท้ ๆ ที่มีหน้าที่จบสกอร์เป็นหลัก และเขาไม่เคยทำหน้าที่ของตัวเองขาดตกบกพร่องให้ใครต้องผิดหวัง และชื่อของ วิอัลลี่ ก็เริ่มถูกรู้จักเป็นวงกว้างในสมัยที่เขาเล่นให้กับ ซามพ์โดเรีย
สำหรับลีก อิตาลี ในช่วงเวลาดังกล่าวการจะยิงประตูได้สักลูกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มันคือช่วงเวลาที่มีนักเตะกองหลังเก่ง ๆ เต็มไปหมดทั้ง ฟรังโก้ บาเรซี, จุสเซปเป้ แบร์โกมี่, เปาโล มัลดินี่, ชิโร แฟร์ราร่า และอีกมากมายที่ไม่ได้กล่าวถึง อีกทั้งยังเป็นลีกที่ขึ้นชื่อเรื่องเกมรับมากกว่าลีกอื่น ๆ ในโลก
ทว่าในฤดูกาล 1988 จานลูก้า วิอัลลี่ กลับสามารถยิงประตูได้ถึง 33 ลูกในซีซั่นเดียว เขามีส่วนสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์ โคปา อิตาเลีย ในซีซั่นนั้น ซึ่งเบื้องหลังการซัดตาข่ายเป็นว่าเล่นของเขาเกิดขึ้นจากการสนับสนุนชั้นดีของเพื่อนซี้ทั้งในและนอกสนามชนิดมองตาก็รู้ใจของเขาอย่าง โรแบร์โต้ มันชินี่
ทั้งสองคนเป็นเพื่อนซี้ที่มีความแตกต่างกันอย่างมาก วิอัลลี เป็นลูกคนแรกในครอบครัวมหาเศรษฐีที่แคว้นลอมบาร์ดีทางตอนเหนือของ อิตาลี เขาโตมาในบ้านที่หลังใหญ่อย่างกับปราสาท ขณะที มันชินี่ เกิดในครอบครัวคาทอลิกเคร่งศาสนา ในเมืองเก่าที่ชื่อว่าเยซี
ทั้งคู่เริ่มสนิทกันจากการเล่นให้ทีมชาติ อิตาลี ชุดเยาวชน ตัวของ มันชินี่ นั้นอยู่กับ ซามพ์โดเรีย อยู่ก่อนแล้ว ขณะที่ วิอัลลี่ กำลังสร้างชื่อกับ เครโมเนนเซ่ จนมีหลายทีมใหญ่อยากได้ตัวไปร่วมทัพ แต่สุดท้าย มันชินี่ ก็พยายามหยอดและชักชวนใส่ วิอัลลี ทุกวันว่าให้มาอยู่ ซามพ์โดเรีย ด้วยกัน ซึ่งสุดท้าย วิอัลลี ก็เลือกจะมาอยู่กับ ลา ซามพ์ เพราะว่าต้องการเล่นร่วมกันกับเพื่อนซี้ของเขา
เมื่อได้จับคู่ทุกอย่างเพอร์เฟ็กต์ วิอัลลี่ รับบาทเบอร์ 9 คอยยิงประตู มันชินี่ คือเบอร์ 10 ผู้สร้างสรรค์เกม ทั้งคู่ถูกเรียกว่า "คู่แฝดจอมถล่มประตู" ช่วย ซามพ์โดเรีย คว้าแชมป์มากมาย ก่อนจะแยกทางกันหลังเกมนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 1992 ที่ ซามพ์โดเรีย เข้าไปชิงกับ บาร์เซโลน่า ก่อนที่พวกเขาจะเสียประตูในช่วงต่อเวลาพิเศษจากลูกยิงฟรีคิกสะท้านโลกของ โรนัลด์ คูมัน ...
หลังจบเกมนั้น วิอัลลี ก็ย้ายไปอยู่กับ ยูเวนตุส ขณะที่ มันชินี่ เลือกอยู่กับ ซามพ์โดเรีย จนถึงปี 1997
เส้นทางอาชีพที่แตกต่าง แต่ก็ประสบความสำเร็จในแบบของแต่ละคน กาลเวลาผ่านไปทั้งคู่ก้าวข้ามการเป็นวัยรุ่น การเป็นนักเตะตัวเก๋า และมาถึงวันที่พวกเขาต้องแขวนสตั๊ดและเริ่มทำงานโค้ชแบบเต็มตัว
งานในส่วนนี้ มันชินี่ ทำได้ดีกว่า ว่ากันว่ามันคือคาแร็คเตอร์ของเขาตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะเเล้วที่เป็นคนจริงจัง เด็ดเดี่ยว ช่างคิด และที่สำคัญคือมีความเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ เขาพา อินเตอร์ และ แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์ลีกของตัวเองได้สำเร็จ และถูกยกย่องในฐานะยอดกุนซือคนหนึ่งของยุค
ส่วน วิอัลลี นั้นจะออกแนวลูกเพลย์บอย เป็นหนุ่มเจ้าสังคม ออกงานบ่อย และมีชีวิตที่ฉูดฉาด นั่นทำให้การรับงานในฐานะเฮ้ดโค้ชของ วิอัลลี นั้นไม่ได้ยืนยาวมากนัก หลังจากประสบความสำเร็จในช่วงเวลาการคุมทีม เชลซี ในปี 1998 ถึงปี 2000 วิอัลลี ก็ล้มเหลวกับการคุมทีม วัตฟอร์ด ... นั่นคืองานสุดท้ายของเขา และ วิอัลลี่ ก็ไม่ได้รับงานคุมทีมไหนอีกเลย
กรอเวลาไปข้างหน้ 20 ปีให้หลัง เส้นกราฟของชีวิตทั้งคู่เดินทางมาถึงปี 2020 และมันเป็นปีที่ดี…
โรแบร์โต้ มันชินี่ ได้รับเกียรติให้เป็นเฮ้ดโค้ชทีมชาติ อิตาลี ไปลุยศึกยูโร 2020 ขณะที่ วิอัลลี ก็เพิ่งรับข่าวดีมาหมาด ๆ จากการเอาชนะโรคมะเร็งตับอ่อนได้ หลังถูกตรวจพบในปี 2018 โดยเขาใช้เวลาสู้กับโรคร้ายนี้อยู่ราว 17 เดือน
"ผมไม่เห็นว่านี่(การสู้กับมะเร็ง)คือการต่อสู้ เพราะผมไม่ใช่นักรบ"
"ผมไม่ได้ต่อสู้กับมะเร็ง ศัตรูที่แข็งแกร่งเกินไปและผมคงไม่มีโอกาสชนะ ผมของมองว่าตัวเองก็เป็นแค่ชายผู้ซึ่งกำลังเดินทางไกล และมะเร็งได้ร่วมเดินทางไปกับผมในเส้นทางนั้น...
"เป้าหมายของผมคือ เดินต่อไป ก้าวต่อไป จนกว่าไอ้มะเร็งมันกัดกินจนอิ่มและยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระ" วิอัลลี เขียนในหนังสืออัตชีวประวัติของเขา
น่าแปลกที่การเข้าใจและยอมรับของ วิอัลลี ส่งสัญญาณไปถึงโรคร้ายในตัวเขา มันเหมือนกับโรคมะเร็งต่อเวลาพิเศษให้กับเขาอยู่เหมือนกัน เพราะหลังจากที่ วิอัลลี ถูกตรวจพบว่ามะเร็งหายไปแล้ว มันเป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะกันพอดิบพอดี ที่เพื่อนของเขาส่งคำเชิญครั้งสำคัญมาให้
เพราะในทัวร์นาเม้นต์ใหญ่ ๆ แบบนี้ มันชินี่ ต้องการใครสักคนมาอยู่ข้าง ๆ เขา คน ๆ นั้นจะต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้ มีความเชี่ยวชาญเรื่องฟุตบอล มีความเข้าใจนักเตะในทีมทั้งในบริบทของนักเตะ และบริบทของมนุษย์คนหนึ่ง จากคุณสมบัติดังกล่าว มันชินี่ ตอบตัวเองได้ทันทีว่าคนที่จะมาเป็นผู้ช่วยเฮ้ดโค้ชของเขาได้กับภารกิจนี้มีคนเดียวเท่านั้น ... นั่นคือ จานลูก้า วิอัลลี
เคมีของซี้ปึ๊ก
ไม่มีทางที่ วิอัลลี จะปฎิเสธงานนี้ เขาอาจจะไม่ได้ถนัดการเป็นกุนซือใหญ่ แต่เรื่องจิตวิทยา การพูด และการเป็นนักสร้างบรรยากาศตัวยง เพราะเป็นคนขี้เล่น คือคุณสมบัติที่เหมาะมากสำหรับการมาเป็นมือขวาเป็นอย่างยิ่ง การทำงานของทั้งคู่เหมือนกับบทบาทของ Good Cop(ตำรวจดี) & Bad Cop(ตำรวจเลว) ไม่ต้องสงสัยว่าใครรับหน้าที่ไหน ?
แน่นอนว่า มันชินี่ คอยเล่นไม้แข็งและบทโหดใส่นักเตะเพื่อกระตุ้นหรือปลุกเร้าเด็ก ๆ ในทีมก่อน และถ้าจบจากนั้นในขณะที่นักเตะกำลังอยู่ในบรรยากาศเครียด ๆ วิอัลลี่ ก็จะเป็นคนเข้ามาเปลี่ยนบรรยากาศนั้นให้ดีขึ้นด้วยอารมณ์ขันของเขา นี่คือส่วนผสมที่ตรงตามเคมีอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
"ผมกับ วิอัลลี เราซี้กันยิ่งกว่าซี้ซะอีก ผมยกให้เขาสำคัญกับชีวิตผมเหมือนเป็นพี่ชายผมคนนึงเลย" มันชินี่ กล่าว ขณะที่ วิอัลลี่ ก็ตอบตามนั้นในวันที่พวกเขาให้สัมภาษณ์กับสื่ออังกฤษอย่าง เดอะ การ์เดี้ยนว่า "มันชินี่ เป็นไอดอลของผมตั้งแต่ผมอายุ 14 ปีเลยนะจะบอกให้"
"จะว่าไปการมาทำงานนี้กับเขามันทำให้ผมสะเทือนใจนิดหน่อย รู้ตัวอีกที่เราก็แก่กันแล้ว มันชินี่ บอกผมว่านี่พวกเรากำลังกำลังแก่หงำกันเเล้วนะเพื่อน... แต่เอาเถอะผมไม่คิดแบบนั้นหรอก การได้กลับมาทำงานร่วมกับเขาในตอนนี้ มันทำให้เรายังรู้สึกลึก ๆ ว่าเรายังคงเป็นหนุ่มอยู่เสมอ" วิอัลลี กล่าว
ความสนุกของทั้งคู่แผ่นซ่านไปถึงเด็ก ๆ ของพวกเขา อิตาลี ในชุดยูโร 2020 ถือเป็นทีมที่แปลกใหม่ที่สุดในรอบหลายปี พวกเขาไม่เล่นแบบเน้นเกมรับอันเป็นลายเซ็นเสมอไป ทัพอัซซูรี่ ชุดนี้อัดแน่นไปด้วยพลังงานที่พุ่งพล่าน วิ่งไล่ เข้าปะทะ มีอารมณ์ร่วม และพยายาม "เล่นเพื่อชนะ" ไม่ใช่ "เล่นเพื่อไม่แพ้" นั่นคือเหตุผลที อิตาลี ยิงประตูแบบถล่มทลายแตกต่างจากเดิมอย่างทัวร์นาเม้นต์ที่ผ่าน ๆ มาอย่างสิ้นเชิง
หากใครได้ดูสารคดีเรื่อง Azzuri - Road To Wembley ใน Netflix คุณจะเห็นเบื้องลึกและการทำงานของ มันชินี่ และ วิอัลลี่ อย่างชัดเจนมากขึ้น วิธีการทำงานของทั้งคู่หลัก ๆ แล้วคือ มันชินี่ จะคอยจัดการเรื่องแท็คติกและวิธีการเล่น ขณะที่ วิอัลลี จะทำหน้าที่คล้ายคนปลุกใจครั้งสุดท้ายก่อนที่นักเตะอิตาลีจะเดินลงสนาม
ขณะที่ทั้งคู่ก็ยังเป็นลมใต้ปีกของกันและกัน พวกเขาทำงานด้วยกันแบบลงล็อค สนับสนุนซึ่งกันและกัน คอยคุยคอยอัพเดทเรื่องต่าง ๆ กันตลอดเวลา เรียกได้ว่าการมีอยู่ของ วิอัลลี ทำให้ มันชินี่ ได้เห็นปัญหาและมุมมองของนักเตะในทีมมากขึ้น
ไม่ใช่แค่นักเตะที่สนุกกับทัวร์นาเม้นต์นี้ เพื่อนซี้วัยใกล้เกษียณ 2 คนก็รู้สึกเป็นหนุ่มอีกครั้งอย่างที่ วิอัลลี่ ว่าจริง ๆ ยิ่งผ่านไปแต่ละนัด แต่ละคนก็งัดเอาทีเด็ดที่ซ่อนอยู่ออกมาใช้ มันชินี่ ทำการบ้านเรื่องแท็คติกละเอียดยิบแบบ และมีครั้งหนึ่งที่เขาอ่านสถานการณ์ล่วงหน้าออกมาได้ตรงเป๊ะ นั่นคือเกมที่ อิตาลี เจอกับ เบลเยี่ยม ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่ อิตาลี ชนะไป 2-1
ก่อนเกมนั้น มันชินี่ บอกนักเตะในทีมไว้หลายอย่างในเกมนี้ อาทิ "เควิน เดอ บรอยน์ จะวางบอลสร้างเกมรุกจากตรงไหนก็ได้ของสนาม ดังนั้นพวกเราต้องช่วยกันเล่นเกมรับ ช่วยกันหยุดเขาให้ได้" , "เบลเยี่ยม จะเล่นเกมรุก พวกเขาจะเปิดพื้นที่ให้เราแถว ๆ นี้(ชี้นิ้วไปที่หน้ากรอบเขตโทษ) เราต้องคว้ามันให้ได้" เป็นต้น
ซึ่งปลายทางคือ อิตาลี เล่นเกมรุมกินโต๊ะ เดอ บรอยน์ ได้จริง ๆ และหนึ่งในประตูที่ อิตาลี ได้ในเกมนี้ก็เกิดจากลูกยิงไกลของ ลอเรนโซ อินซิเญ ซึ่งจุดที่ อินซิเญ ยิงนั้น ตรงกับจุดที่ มันชินี่ ได้ย้ำเตือนนักเตะไว้ก่อนแข่งจริง ๆ เช่นกัน
ปิดท้ายเยี่ยงตำนาน
ในบทบาทของแท็คติกนั้นไม่มีปัญหา มันชินี่ นั้นเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ส่วนบทบาทมือขวาก็ยิ่งชัดเจนว่า มันชินี่ เลือกเพื่อนซี้มาถูกคน นักเตะอิตาลีชุดนั้นดูสนิทกับ วิอัลลี่ มาก ๆ เขาเป็นเหมือนตัวฮา ตัวโดนเเกล้งจากนักเตะในทีมอยู่เป็นประจำ
หลายคนอาจจะไม่รู้ว่านักเตะทีมชาติอิตาลีชุดนั้นถือเคล็ดอยู่อย่างหนึ่ง และ วิอัลลี่ ถือเป็นส่วนสำคัญของเคล็ดนั้น
โดยนักเตะ อิตาลี จะแกล้ง วิอัลลี ด้วยการให้รถบัสของทีมเดินทางออกจากโรงเเรมไปก่อน ให้ วิอัลลี่ วิ่งตามขึ้นรถ ทำเหมือนแกล้งว่าลืม วิอัลลี่ เอาไว้ จากนั้นเมื่อล้อหมุนได้สัก 5-10 เมตร รถบัสก็จะจอดให้ วิอัลลี่ เดินขึ้นมาบนรถปกติ
ที่มาของเคล็ดนี้เกิดขึ้นในเกมรอบแบ่งกลุ่มที่พวกเขาลืม วิอัลลี่ ที่โรงแรมจริง ๆ ก่อนที่หลังเกมนั้น อิตาลี จะเป็นฝ่ายชนะคู่แข่งของพวกเขาได้สำเร็จ คนที่เอะใจกับเคล็ดนี้คือ อเลสซานโดร ฟลอเรนซี แบ็คขวาของทีม จากนั้นเคล็ดนี้ก็ถูกใช้ในทุก ๆ เกมก่อนที่ อิตาลี จะเดินทางออกจากโรงแรมไปสู่สนามเเข่งขัน ... และอย่างที่เรารู้กันนับตั้งแต่รอบน็อคเอาต์ที่ทำแบบนั้น อิตาลี ชนะทุกเกมจนกระทั่งถึงรอบชิงชนะเลิศ
ภาพที่เราได้เห็นในการถ่ายทอดสดบ่อย ๆ คือ วิอัลลี่ จะเป็นคนโผเข้ากอด มันชินี่ แทบทุกครั้งเวลาที่อิตาลียิงประตูได้ นี่คือภาพที่เหมือนกับตอนพวกเขาเป็นเด็กหนุ่มที่ซามพ์โดเรียไม่มีผิด
"มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ผมกับ โรแบร์โต้ เรากอดกันอยู่บ่อย ๆ แต่การกอดกันในยูโรถือเป็นอ้อมกอดที่ดุเดือดที่สุดของเราเลย”
“ผมจำไม่ได้ว่าเรากอดกันด้วยความมุ่งมันและอารมณ์ที่ร้อนแรงแบบนั้นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ มันคือการกอดที่ดีมาก และมันคือการกอดที่รวมพวกเราทุกคนเอาไว้ด้วยกัน" วิอัลลี่ กล่าว
อิตาลี ลุยผ่านสมรภูมิเดือดจนมาเจอกับ อังกฤษ ในรอบชิงชนะเลิศ ก่อนเกมนัดชิงชนะเลิศ 1 วัน(9 กรกฎาคม) เป็นวันเกิดครบรอบ 57 ปีของ วิอัลลี พอดี
แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ทีมจะต้องตึงเครียดและมีสมาธิเพื่อเกมสำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเขา แต่ มันชินี่ ตัดสินใจเรียกรวมผลกันทุกคนเพื่อจัดงานวันเกิดให้กับ วิอัลลี่
เราไม่รู้ว่า มันชินี่ อ่านสถานการณ์ไว้ล่วงหน้าหรือไม่ แต่สิ่งที่เขาทำนั้นได้ประโยชน์เป็นอย่างมาก หลังจากการเป่าเค้กและจิบแชมเปญ วิอัลลี่ ยืนขึ้นและกล่าวต่อหน้านักเตะและทีมงานทุกคนที่มารวมตัวกันว่า
"จำไว้นะพวกเอ็งทุกคน หมอนี่เป็นโค้ช(ชี้ไปที่ มันชินี่) และโค้ชได้ลั่นวาจาว่าพวกเราจะเป็นผู้ชนะ ดังนั้นทำตามเขาพูดซะ แล้วเราไปเอาถ้วยเเชมป์กัน"
สิ้นเสียงของ วิอัลลี่ นักเตะอิตาลีก็ยินดีโห่ร้องเหมือนกับนักรบโรมันกำลังจะออกรบ ทุกคนร้องเพลง "Ole ole we are the champions" และตะโกนเป็นเสียงเดียกวันว่า "เราไปเอาถ้วยกันโว้ย"
วิอัลลี่ ถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความปลื้มปิติ นี่อาจจะเป็นวันเกิดที่เขาคาดไม่ถึง แต่มันก็ออกมาดูดีอย่างเหลือเชื่อ
ขณะที่ มันชินี่ ก็ให้ส้มภาษณ์ภายหลังถึงเรื่องนี้ว่า
"ผมจำได้ว่าวันที่ 9 เป็นวันเกิด ลูก้า มันเป็นวันพิเศษของเขา และเราจะร่วมฉลองกับเขาด้วย มันเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ผ่อนคลาย และผมหวังว่าเขาจะจดจำวันนี้ได้ไปตลอดชีวิต"
ไม่ต้องบอกก็รู้อะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น อิตาลี สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ยุโรปหนแรก ด้วยการเอาชนะอังกฤษในการดวลจุดโทษ มันชินี่ และ วิอัลลี กอดกันแน่นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ พวกเขาแทบไม่ต้องพูดอะไรกันในสถานการณ์แบบนี้ เพราะสายตาของทั้งคู่ที่คอยมองดูลูกทีมลิงโลดกับถ้วยแชมป์ เป็นเหมือนการบอกกันและกันว่า "พวกเราทำสำเร็จแล้วโว้ยเพื่อน"
เรื่องนี้มันควรจะจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง แต่อย่างที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น การเป็นคนยอมรับความจริงและพร้อมเจอความตายของ วิอัลลี ทำให้มะเร็งมอบช่วงเวลาพิเศษให้เขาเป็นระยะเวลา 1 ปี ... หลังจากที่ วิอัลลี่ คว้าเเชมป์ยุโรป เขาถูกตรวจพบว่ามะเร็งกลับมาลุกลามในร่างกายของเขาอีกครั้ง และหนนี้มันกัดกินเขาจนอิ่ม และปล่อยเขาเป็นอิสระ.... สู่การเดินทางไกลครั้งสุดท้าย ที่มีปลายทางเป็นอ้อมกอดของพระเจ้า
ในวัย 58 ปี จานลูก้า วิอัลลี เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งตับอ่อน
และไม่ว่าคุณจะจดจำเขาไว้แบบไหน แต่เรื่องราวที่ได้อ่านมาจนถึงตอนนี้ คงทำให้คุณรู้ว่าโลกได้สูญเสียนักเตะที่ดี โค้ชยอดเยี่ยม และมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ไปแล้วอีก 1 คน .... และนี่คือตอนจบที่น่าเศร้าของเรื่องนี้
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
แบบไหน ได้หมด : เทคนิคระดับปีศาจที่ทำให้ ‘ฮาลันด์’ ยิงเข้าเหมือนเป็นของง่าย
ไม่วิ่งก็นิ่งอยู่บ้าน : กอนซาโล่ รามอส หอกยุคใหม่ที่กำลังทำให้ โรนัลโด้ เห็นสัจธรรมที่แท้จริง
“นิว เเคร์โรลล์” จริงดิ : หาต้นเหตุทำไม ดาร์วิน นูนเญซ มักยิงง่าย ๆ ไม่เข้า ?
แหล่งอ้างอิง
https://www.espn.com/soccer/uefa-european-championship/story/4432164/gianluca-viallis-role-in-italys-euro-2020-triumph-is-inspiring-and-incredible
https://football-italia.net/how-vialli-inspired-italys-euro-2020-victory/
https://www.theguardian.com/football/2023/jan/06/gianluca-vialli-spent-his-life-winning-trophies-but-he-also-won-hearts
https://www.theguardian.com/football/these-football-times/2021/jul/08/robert-mancini-gianluca-vialli-great-friendship-powering-italy
https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-11606157/WATCH-emotional-moment-Vialli-embraces-Mancini-Italy-clinched-Euro-2020-triumph.html