‘บีจี-ชลบุรี’ การันตีความมันระดับ 5 ดาว พร้อมเรื่องราวเบื้องหลังคู่กัด
ศึก ไทย ลีก ลีกฟุตบอลสูงสุดในประเทศไทย กำลังจะเข้าสู่บทสรุปสุดท้ายในอีกไม่ช้าไม่นาน หลังโปรแกรมการแข่งขันนั้นเข้าสู่ช่วง 6 นัดส่งท้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากไม่นับเกมตกค้างคู่ระหว่าง แบงค็อก ยูไนเต็ด กับ ลำพูน วอริเออร์
แน่นอนว่าช่วงสุดสัปดาห์นี้ ย่อมมีเกมที่น่าจับตามองเหมือนเช่นเคย ซึ่งการเจอกันระหว่าง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ที่เตรียมเปิดรังเหย้าต้อนรับการมาเยือนของ ชลบุรี เอฟซี ถ้านับเรื่องของศักดิ์ศรีสองสโมสรนี้ บอกได้เลยว่าไม่มีใครยอมใคร เพราะต่างฝ่ายต่างเคยเถลิงบัลลังก์แชมป์ ไทย ลีก มาก่อน
สถานการณ์ของเจ้าบ้าน กระต่ายแก้ว ยังไม่สามารถวางใจได้ในการจบตำแหน่งท็อปโฟร์ของตาราง เนื่องจากอันดับ 5 อย่าง เมืองทอง ยูไนเต็ด โกยแต้มไล่มาจนแทบจะเรียกว่าจ่อคอหอย ส่นทางฝั่งผู้มาเยือน ฉลามชล ยังต้องดิ้นรนเก็บแต้ม เพื่อลุ้นในการอยู่รอดบนลีกสูงสุดต่อไป เนื่องจากตอนนี้มีแต้มห่างจากโซนแดงเพียงแค่สองแต้ม
การเจอกันของทั้งสองทีมในอดีตที่ผ่านมา ต่างฝ่ายต่างต่อกรกันแบบสู้ยิบตา ผลสกอร์แต่ละเกมออกมาแบบยิงกระจาย น้อยครั้งนักที่ผลลัพธ์จะลงเอยด้วยการเสมอกันแบบไร้สกอร์ ยกตัวอย่างเช่นเกมลีกในเลกแรก บีจี บุกไปเอาชนะ ชลบุรี ได้ถึงถิ่นแบบถล่มทลาย 4-1
ก่อนหน้านี้เคยมีฤดูกาลที่ บีจี ไม่แพ้ให้กับ ชลบุรี เลย 3 นัดติดต่อกัน แถมยิง ฉลามชล แบบถล่มทลายรวมกันระดับเกิน 10 ลูก ซึ่งต่างฝ่ายต่างมีนักเตะของแสลงที่ไม่อยากเผชิญหน้า เพราะยิงประตูใส่กระจายเช่นกัน เรื่องราวทั้งหมดเป็นเช่นไร? การเจอกันรอบนี้สถิติและความพร้อมเป็นแบบไหน? ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
2018 กระต่ายไร้พ่าย ฉลาม
ย้อนกลับไปในปี 2018 ในสมัยที่ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ยังใช้ชื่อเดิมว่าสโมสร บางกอก กลาส พวกเขาต้องดวลแข้งกับคู่ปรับที่เจอกันเมื่อไหร่ แฟนบอลเตรียมพบกับความมันระดับ 5 ดาวอย่าง ชลบุรี เอฟซี ทั้งหมดถึง 3 เกมด้วยกัน แล้วปรากฎว่า ซีซั่นนั้นไม่พลาดท่าพ่ายเลยแม้แต่เกมเดียว
เริ่มจากเกมลีกนัดแรกที่ กระต่ายแก้ว ภายใต้การคุมทัพของ โจเซ็ป เฟร์เร ต้องบุกไปเยือนก่อน แล้วผลลัพธ์จบลงที่การบุกไปคว้าชัยได้ถึงถิ่น ฉลามชล 2-0 จากประตูของ เฟรเดริก เมนดี้ และ แม็ตต์ สมิธ ซึ่งเกมนั้นเจ้าบ้านเหลือ 10 คนตั้งแต่ต้นเกม จากการที่ ชนินทร์ แซ่เอียะ ผู้รักษาประตูถูกใบแดงไล่ออกไป
ต่อมาเป็นเกมสุดมันที่สองทีมยิงรวมกันถึง 11 ลูก เป็นกมลีกนัดที่สองที่ตอนนั้น บางกอก กลาส เปลี่ยนผู้เฮดโค้ชมาเป็น โค้ชจุ่น-อนุรักษ์ ศรีเกิด ที่เข้ามารับตำแหน่งแทน เฟร์เร ที่ทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง แล้วก็เป็นทาง กระต่ายแก้ว ที่ย้ำแค้นด้วยการเก็บชัยไปได้อีกครั้งด้วยสกอร์มโหฬาร 7-4
โดยเกมในครึ่งแรกเป็นทาง บางกอก กลาส ที่ออกนำไปก่อน 3-2 จากประตูของ แอเรียล โรดริเกซ, สุรชาติ สารีพิมพ์ และ อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ ส่วนทางฝั่งทีมเยือนภายใต้การคุมทัพของ โค้ชโบ้-จักรพันธ์ ปั่นปี ได้สองประตูไล่ตีตื้นจาก วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ และ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์
เกมในครึ่งหลังเหมือนทั้งสองทีมจะไม่มีใครสนหน้าอินทร์หน้าพรหม เปิดเกมบุกแลกกันแบบเต็มเหนี่ยว แล้วก็เป็นทาง บางกอก กลาส ที่ได้ประตูเพิ่มอีก 4 ลูกจาก แอเรียล ที่เหมายิงแฮตทริกในเกมนี้ได้ บวกกับอีกสองประตูจาก สุรชาติ คนเดิม และ ดาบิด บาล่า ส่วนอาคันตุกะได้สองประตูตีตื้นจาก วรชิต และ มาเธอุส อัลเวส กลายเป็นว่าเกมลีกปีนั้น กระต่ายแก้ว เก็บได้ 6 แต้มเต็มจาก ชลบุรี
แต่ใช่ว่าฤดูกาลนั้น ฉลามชล ของ โค้ชโบ้ จะหมดโอกาสล้างแค้น เพราะทั้งสองทีมโคจรมาเจอกันอีกครั้งในศึก ลีก คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งทางฝั่ง บางกอก กลาส ก็ยังคงใช้ โค้ชจุ่น คุมทีมอยู่เหมือนเดิม มองตามหน้าเสื่อแล้วเป็นการเจอกันของบอลเกมรุกที่คงยิงกันกระจายเช่นเดิม
ซึ่งการคาดการณ์นั้นก็เป็นไปตามที่คิด เพราะทั้งสองทีมกินกันไม่ลงในเวลา 90 นาที เสมอกันไปด้วยสกอร์ถล่มทลาย 4-4 แต่คราวนี้เป็นทางฝั่ง ชลบุรี ที่ได้แฮตทริกฮีโร่อย่าง ยิม-วรชิต กดไปสามประตู บวกกับอีกหนึ่งลูกจาก ชิโร่ อัลเวส
อย่างไรก็ตาม บางกอก กลาส ก็ไม่ยอมถอดใจง่ายๆ แม้จะออกนำไปก่อนจากประตูของ อานนท์ ก่อนจะโดนยิงคืนสามลูกรวดแซงขึ้นนำ แต่ก็ได้ประตูไล่มาเรื่อยๆ จาก แอเรียล และ ชาตรี ฉิมทะเล ที่เหมายิงสองประตู พาทีมตามตีเสมอได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ต้องไปว่ากันต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ
สุดท้ายแล้วเป็นทางฝั่ง บางกอก กลาส ที่เฉียบคมกว่า มาได้สองประตูพาทีมผ่านเข้ารอบต่อไปจาก บาล่า และ สุรชาติ สองตัวแสบหน้าเดิม ปิดสถิติในปี 2018 ด้วยการไม่พ่ายให้กับคู่ปรับ ฉลามล แม้แต่เกมเดียวทุถ้วยที่เจอกัน
ตัวแสบยิงกระจาย
การเจอกันของทั้งสองทีมต่างฝ่ายต่างมี ‘นักเตะตัวแสบ’ ที่มักจะทำประตูทีมคู่แข่งได้อยู่เสมอ จนกลายเป็นของแสดงที่แนวรับไม่อยากเผชิญหน้าด้วย ซึ่งจากการนับรวมสถิติการเจอกันทั้งหมด มีดาวยิง 3 คนจากสองทีมที่ยิงประตูได้สูงสุดเท่ากันที่ 6 ลูกหรือครึ่งโหลเลยทีเดียว
ทางฝั่ง บีจี นับรวมตั้งแต่สมัยยังใช้ชื่อเดิมว่า บางกอก กลาส นักเตะที่ทำประตู ชลบุรี ได้มากที่สุด คือ สุรชาติ สารีพิมพ์ แนวรุกสาระพัดประโยชน์ ที่กดไปถึง 6 ลูก แล้วที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น คือ สุรชาติ ยังคงค้าแข้งอยู่กับต้นสังกัดเดิมมาจนถึงทุกวันนี้ในวัย 37 ปีเข้าให้แล้ว ซึ่งเกมนี้ก็ยังคงมีลุ้นสร้างสถิติที่มากขึ้น หากเขาได้รับโอกาสลงสนาม
ส่วนทางฝั่ง ชลบุรี เอฟซี ดาวเตะที่ทำประตู บีจี ได้มากที่สุดมีเท่ากัน 2 คน คือ วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ และ ติอาโก้ คุนญ่า ตำนานดาวยิงชาวบราซิล ที่รั้งตำแหน่งดาวซัลโวอันดับ 2 ตลอดกาลของสโมสร ที่กดประตูให้กับทีมไปถึง 63 ลูก เป็นรองแค่ พิภพ อ่อนโม้ ที่ยิงได้ 89 ลูกเพียงแค่รายเดียว โดยทั้งสองคนกดประตู กระต่ายแก้ว ไปได้คนละ 6 ลูกเท่ากัน
น่าเสียดายที่ทางฝั่ง ฉลามชล ไม่มีตัวแสบทั้งคู่อยู่กับทีมต่อไปอีกแล้ว เพราะทาง วรชิต นั้นก็ถูกขายมาให้กับทาง บีจี เพื่อประคองสถานการณ์ด้านการเงินของสโมสร ก่อนจะถูกขายต่อไปให้กับ การท่าเรือ เอฟซี ต้นสังกัดปัจจุบัน ส่วนทางด้าน คุนญ่า นั้นแยกทางกันไปตามสังขารในปี 2017
หากนับแค่เฉพาะดาวเตะที่ยังอยู่กับทีมตอนนี้ ชาญณรงค์ พรมศรแก้ว คือ นักเตะของพวกเขาที่ยิงประตู บีจี ได้มากที่สุด 2 ประตู ซึ่งก็ยังมีลุ้นได้ลงสนามในเกมนี้เช่นกัน เพราะไม่มีชื่อติด ทีมชาติไทย ยู-23 ไปลุยศึก ชิงแชมป์เอเชีย ที่กำลังแข่งขันกันอยู่ในขณะนี้
ความพร้อมล่าสุด
ว่ากันถึงความสมบูรณ์ของขุมกำลังในเกมนี้เจ้าบ้าน บีจี จะขาดผู้เล่นที่ติดโทษแบนอย่าง กฤษดา กาแมน, สารัช อยู่เย็น และ ชนภัช บัวพันธ์ ที่เดินทางไปช่วย ทีมชาติไทย ยู-23 ในศึกชิงแชมป์เอเชีย รวมไปถึงผู้เล่นที่บาดเจ็บอยู่อย่าง อีกอร์ เซอร์เกเยฟ และ เซย์ดีน เอ็นดิอาเย ซึ่งอยู่ในระหว่างการพักฟื้นไม่สามารถลงสนามช่วยทีมได้
ส่วนทางฝั่งทีมเยือน ฉลามชล จะขาด พิทักษ์ พิมแป้ ที่ติดโทษแบน รวมไปถึง พงศกร ตรีศาสตร์ แบ็คขวาตัวเก่งที่ถูกปล่อยตัวไปช่วยทีมชาติไทยชุดเล็ก ลุ้นล่าแชมป์เอเชียอยู่ที่ประเทศกาตาร์ในตอนนี้ นอกเหนือจากรายชื่อที่กล่าวมาพร้อมลงช่วยทีมได้ทั้งหมด
สถิติการเจอกัน 5 นัดหลังสุดรวมทุกถ้วย นับแค่ผลสกอร์ในเวลา 90 นาที เป็นทาง บีจี ที่ทำได้ดีกว่าชัดเจน ด้วยการเก็บชัยไป 3 นัด เสมอ 1 นัด (ชนะการดวลลูกโทษในศึก เอฟเอ คัพ 6-4) และแพ้ 1 นัด โดยเกมล่าสุดที่เจอกันใน ลีก คัพ เมื่อช่วงกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เป็นทาง มาโกโตะ เทกุระโมริ ที่บุกไปเอาชนะทีมเก่าได้ถึงถิ่นแบบขาดลอย 4-1
ยิ่งไปกว่านั้นหากนับผลงานเฉพาะเกมที่เล่นในบ้าน บีจี ไม่แพ้ให้กับ ชลบุรี มาแล้วถึง 8 เกมติดต่อกัน โดยความพ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายต้องย้อนกลับไปในเกม ไทยลีก ฤดูกาล 2014 ที่ผ่านมาเกือบสิบปีเข้าให้แล้ว
เชื่อว่าเกมนี้จะเป็นงานที่ยากสำหรับ ฉลามชล แน่นอน ในการลุ้นบุกมาเก็บแต้มกลับออกไปเพื่อความอยู่รอด เพราะทางฝั่งเจ้าถิ่นก็ไม่สามารถประมาทได้เช่นกัน หากหวังจะจบในตำแหน่ง ท็อปโฟร์ ในฤดูกาลนี้ตามเป้า แต่ไม่ว่าผลลัพธ์ตอนท้ายจะออกมาเป็นเช่นไร? การันตีเกมนี้ต้องมีประตูให้แฟนบอลได้เฮ เพราะมีแค่เกมเดียวเท่านั้นที่ทั้งสองทีมเจอกันแล้วผลจบลงที่เสมอกันไปแบบไร้สกอร์
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :