‘บีจี-ท่าเรือ’ การเจอกันของสองสโมสรจอมทุ่ม ที่มีเป้าหมายปลายทางไม่ต่างกัน

‘บีจี-ท่าเรือ’ การเจอกันของสองสโมสรจอมทุ่ม ที่มีเป้าหมายปลายทางไม่ต่างกัน
ณัฐพล อ่วมเรืองศรี

ศึก ไทย ลีก ฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศไทย เข้ามาสู่โปรแกรมนัดที่ 26 ซึ่งเป็นโค้งสุดท้ายก่อนได้บทสรุปของฤดูกาลนี้ แน่นอนว่าทุกสัปดาห์จะมีเกมที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ โดยส่วนใหญ่แล้วแฟนบอลมักจะพุ่งเป้าไปที่การโคจรมาเจอกันของทีมยักษ์ใหญ่ในกลุ่มหัวตาราง แล้วสัปดาห์นี้คงหนีไม่พ้น บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ที่เตรียมเปิดรังเหย้าที่มีอัฒจรรย์ครบทั้ง 4 ด้าน ต้อนรับการมาเยือนของ การท่าเรือ เอฟซี 

มองจากอันดับและแต้มในตารางในขณะนี้ บีจี อันดับที่ 4 และ การท่าเรือ ที่นั่งแท่นอยู่ในอันดับที่ 3 เป้าหมายที่เหลือให้ลุ้นอยู่ในตอนนี้ คือ การทำอันดับให้ดีที่สุด ส่วนการเป็นแชมป์สักถ้วยในฤดูกาลนี้ คงต้องพุ่งเป้าไปที่ศึก รีโว่ ลีก คัพ ที่ต่างฝ่ายต่างทะลุผ่านเข้าไปสู่รอบรองชนะเลิศได้แบบสดๆ ร้อนๆ ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา

การโคจรมาเจอกันของสองทีมนี้ อาจเป็นการตัดสินถึงการแย่งตำแหน่งอันดับที่ 3 ของลีกในบั้นปลาย แต่ความเป็นจริงแล้ว กิมมิค ที่น่าสนใจระหว่างสองสโมสรนี้ มันมีเบื้องลึก-เบื้องหลังที่น่าสนใจมากกว่านั้น เนื่องจากทั้งสองทีมต่างเป็น ‘เจ้าบุญทุ่ม’ ประจำศึก ไทย ลีก ทั้งคู่ 

แนวคิดและสายสัมพันธ์ของเจ้าของสโมสรทั้งสองทีมทั้ง คุณ ปวิณ ภิรมย์ภักดี (บีจี) และอดีตผู้บริหารสโมสร การท่าเรือ อย่าง ‘มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ’ นั้นมีความใกล้ชิดกันมาตลอด ยิ่งไปกว่านั้นต่างฝ่ายต่างมีแนวทางในการบริหารทีมที่คล้ายคลึงกัน ถึงขนาดที่ว่าเคยเล็งเป้าการเสริมทัพผู้เล่นที่ทับไลน์กันมาแล้ว

เรื่องราวต่างๆ นั้นมีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร? ความพร้อมล่าสุดของทั้งสองทีมเป็นแบบไหน? ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง

สายสัมพันธ์สองประธานใจป้ำ

สายสัมพันธ์ของ มาดามแป้ง และ คุณ ปวิณ ไม่ได้รู้จักกันเพียงแค่ผิวเผิน แต่ต่างฝ่ายต่างให้ความเคารพซึ่งกันและกัน อยู่ทั้งในแวดวงของธุรกิจและวงการฟุตบอลไทย ดังนั้นการพูดคุยปรึกษาหรือแลกเปลี่ยนทัศนะ เกี่ยวกับมุมมองต่างๆ ย่อมเป็นเรื่องปกติธรรมดา พอเวลาผ่านไปก็ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งที่เห็นได้ชัดก่อนหน้านี้ คือ ช่วงเวลาที่ทาง มาดามแป้ง ประกาศลงสมัครชิงตำแหน่ง นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย อย่างเป็นทางการ คุณ ปวิณ และ คุณ เนวิน ชิดชอบ สองผู้บริหารยักษ์ใหญ่ที่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการฟุตบอลไทยได้เสมอมา ต่างออกตัวเต็มร้อยถึงการให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่

แนวคิดและแนวทางการบริหารสโมสรของ คุณ ปวิณ ชัดเจนมาตั้งแต่แรกเริ่มเลยว่า

“กลไกของการขับเคลื่อนวงการฟุตบอลและสโมสรฟุตบอล ไม่ใช่เพียงแค่การ สร้าง เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีการ ซื้อ ควบคู่ไปด้วยกัน เพื่อให้ตลาดนักเตะมันเดินต่อไปได้ เพื่อสร้างมูลค่าให้กับนักเตะและสโมสร พอมีเม็ดเงินเข้ามาขับเคลื่อน รายได้ต่างๆ ก็เกิดขึ้น แล้วก็จะถูกกระจายแบ่งสรรปันส่วนไปตามบุคลากรต่างๆ ในวงการ”

นั่นจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลยว่าตั้งแต่ยุคก่อนที่สโมสรใช้ชื่อว่า บางกอก กลาส ยาวมาจนถึงการรีแบรนด์มาเป็น บีจี ปทุม ยูไนเต็ด สโมสรแห่งนี้มีการทั้ง ซื้อ และ สร้าง ควบคู่ไปด้วยกัน แล้วมักจะมีดีลใหญ่ๆ ที่ทุ่มเงินซื้อ นักเตะไทย ให้เห็นอยู่ตลอด

ยกตัวอย่างเช่น นิว-ฐิติพันธ์ พ่วงจันททร์, ตังค์-สารัช อยู่เย็น, ตั้ม-ธนบูรณ์ เกษารัตน์, ยิม-วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ, เจ-ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ และห์-กฤษดา กาแมน เป็นต้น ซึ่งหากลงรายละเอียดเชิงลึกลงไปในดีลของ ยิม กับ และห์ ปฏิเสธได้ยากว่าเป็นการช่วยสโมสร ชลบุรี เอฟซี ต้นสังกัดของทั้งคู่ ที่กำลังขาดเม็ดเงินในการบริหารทีมให้ไปต่อได้แบบไม่สะดุด

ส่วนการสร้างของ บีจี เป็นการให้โอกาสนักเตะดาวรุ่งได้ลงสนามเก็บประสบการณ์กับเกมจริง ซึ่งสองนักเตะทีมชาติไทย ชุดอายุต่ำกว่า 23 ปี ทั้งทาง ชนภัช บัวพันธ์ เซนเตอร์แบ็คตัวแกร่ง และ วาริส ชูทอง ดาวเตะสาระพัดประโยชน์ ที่เล่นได้ทั้งแบ็คขวาและกลางรับ ก็ต่างได้รับโอกาสจากสโมสรแห่งนี้ในการลงดชว์ฝีเท้าบนเวทีระดับ ไทย ลีก

ทางฝั่ง สิงห์ท่าเรือ ในยุคที่มีทาง มาดามแป้ง บริหารทีมอยู่ ชัดเจนว่ามีแนวทางที่คล้ายคลึงกัน คือ การเป็นจอมทุ่มประจำลีก แต่มักจะมุ่งเน้นไปที่ดาวเตะที่มีดีกรีระดับ ‘ทีมชาติไทย’ ไม่ว่าจะเป็นชุดเล็ก หรือ ชุดใหญ่ พร้อมกวาดมาร่วมทีมหมด

แล้วแต่ละดีลที่เกิดขึ้นใช่ว่าจะเป็นจำนวนเงินน้อยๆ ที่อัดฉีดเข้าสู่วงการ แต่เป็นระดับ 7-8 หลักขึ้นไปทั้งสิ้น จนเกิดเป็นวลีของ มาดามแป้ง ที่กล่าวว่า ‘ต้องแคะกระปุกหลังตู้เย็น’ เพื่อนำเอาเม็ดเงินมาเสริมทัพให้แข็งแกร่ง เพื่อก้าวขึ้นมาลุ้นแชมป์ในแต่ละฤดูกาล

แต่เรื่องที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น คือ บีจี และ การท่าเรือ มักจะมองเป้าหมายที่ ‘ทับไลน์’ กันหลายต่อหลายครั้ง

ดีลเสริมทัพที่ทับไลน์

จากข้อมูลที่เกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่าทั้ง บีจี และ การท่าเรือ มักจะเล็งเสริมทัพนักเตะไทย ที่มีดีกรีเป็นผู้เล่นระดับทีมชาติ ซึ่งหลายเป้าหมายที่ทั้ง คุณ ปวิณ และ มาดามแป้ง เล็งเอาไว้เพื่อเสริมแกร่งให้กับทีมของตัวเอง จึงมักจะมองไปที่ผู้เล่นคนเดียวกันบ่อยครั้ง

ทางฝั่งของ บีจี เคยได้ตัวของ นิว-ฐิติพันธ์ และ ตังค์-สารัช เข้ามาเสริมแกร่งในแดนกลาง ซึ่งในเวลานั้น การท่าเรือ ของทาง มาดามแป้ง ใช่ว่าจะ ‘ไม่อยากได้’ มีการติดต่อไปเช่นกัน รวมไปถึงเคสของดาวเตะระดับสตาร์อย่าง เจ-ชนาธิป สรงกระสินธ์ ก่อนจะมาลงเอยกับ กระต่ายแก้ว ทางฝั่ง มาดามแป้ง ก็เคยหยอดขนมจีบมาตั้งแต่เนิ่นๆ

รวมไปถึงเคสของ ยิม-วรชิต และ มิคกี้-ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ ที่ทาง บีจี เป็นฝั่งที่ได้ตัวไปครองก่อน แต่ดาวเตะทั้งสองก็เป็นเป้าหมายของ การท่าเรือ มาแต่ไหนแต่ไร แล้วด้วยสายสัมพันธ์ที่สนิทชิดเชื้อกันดีของ คุณ ปวิณ และ มาดามแป้ง ก็มีส่วนช่วยให้ทั้ง ยิม กับ มิคกี้ ได้ย้ายไปอยู่กับ สิงห์เจ้าท่า ภายหลัง

หากลดดีกรีลงไปถึงผู้เล่นทีมชาติชุดเล็ก ดีลสร้างชื่อของ เจ-วรปัฐ อรุณภักดี ที่ฟันธงว่าสองแฝด ทิตาธร-ทิตาวีร์ อักษรีศรี จะย้ายไปอยู่กับ การท่าเรือ เอฟซี แน่นอนสวนกระแสข่าวที่ไปอีกทิศทางทั้งวงการ ใช่ว่าทางฝั่ง บีจี ก็ให้ความสนใจในการคว้าตัว ปาแปง-โชแปง เช่นกัน เพียงแต่ปลายทางสุดท้ายนั้นหวยไปออกที่ แพต สเตเดี้ยม 

ยิ่งไปกว่านั้นหากพูดถึงดีลของนักเตะต่างชาติระดับสตาร์อย่าง ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต ที่ย้ายมาเล่นให้กับ บีจี ปทุม เป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนที่แฟนบอล กระต่ายแก้ว จะสมหวัง เบื้องลึกเบื้องหลังนั้นทางฝั่ง การท่าเรือ ก็มีการติดต่อไปหานักเตะรายนี้เหมือนกัน เพราะกองหน้าที่ยิงใน ไทย ลีก ระดับ 100 ประตู คงไม่มียักษ์ใหญ่สโมสรไหน ปัดโอกาสคว้าตัวมาร่วมทีมเป็นแน่หากสบช่อง

สถิติการเจอกัน

เรื่องราวของการเป็นทั้ง มิตร และ คู่แข่ง ทั้งในสนามและนอกสนามของทั้ง บีจี และ การท่าเรือ คงจะทำให้แฟนบอลของทั้งสองทีม เพิ่มอรรถรสในการชมเกม บิ๊ก แมตช์ ไทย ลีก ประจำสัปดาห์นี้อย่างเข้มข้นขึ้นไม่มากก็น้อย แถมเกมนี้ต่างฝ่ายต่างไม่มีทีมไหน ได้เปรียบ-เสียเปรียบ เรื่องของความฟิต เพราะผ่านเกม ลีก คัพ ช่วงกลางสัปดาห์มาด้วยกันทั้งคู่

ทางฝั่งเจ้าบ้าน บีจี จะขาดผู้เล่นที่บาดเจ็บอยู่อย่าง เซย์ดีน เอ็นดิอาเย่ และ อีกอร์ เซอเกเยฟ สองตัวต่างชาติหน้าเดิมที่บาดเจ็บยาวเช่นเคย ด้านผู้รักษาประตูมือหนึ่งอย่าง กิตติพงษ์ ภูแถวเชือก ต้องรอเช็คความฟิต เช่นเดียวกับ วาริส และ ชนภัช ผู้เล่นจากทีมชาติไทย ชุดอายุต่ำกว่า 23 ปี

ฟอร์มการเล่น 5 นัดหลังสุดรวมทุกถ้วยของทัพ กระต่ายแก้ว ถือว่ายังเอาแน่เอานอนไม่ได้ ชนะ 2 นัด ในการบุกไปเก็บชัยเหนือ เชียงราย ยูไนเต็ด 3-2 (ไทย ลีก) และ บุกไปถล่ม ราชบุรี เอฟซี 3-0 (รีโว่ ลีก คัพ), เสมอ 2 นัดในเกมลีกที่เจอกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ ชลบุรี เอฟซี ด้วยสกอร์เดียวกัน 1-1 และแพ้ไปเพียงเกมเดียวในการบุกไปเยือน ตราด เอฟซี 1-2 (ไทย ลีก)

ด้านผู้มาเยือน การท่าเรือ จะอดใช้งาน ชาร์ลี คลัฟ เซนเตอร์แบ็คชาวอังกฤษที่ติดโทษแบน และ แฮมิลตัน ซัวเรส ดาวยิงตัวเก่งที่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ นอกเหนือจากนั้นพร้อมลงสนามช่วยทีมได้ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับว่า โค้ชอ้น-รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค จะเลือกใช้ใครเป็น 11 ตัวจริงที่ดีที่สุด

ฟอร์มการเล่น 5 นัดหลังสุดของ การท่าเรือ นั้นมีสถิติแบบเดียวกัน คือ ชนะ 2 นัด ในเกมบุกไปเยือน เชียงราย ยูไนเต็ด 2-1 (รีโว่ ลีก คัพ) กับเปิดบ้านเฉือน สุโขทัย เอฟซี 1-0 (ไทย ลีก), เสมอสองนัดในเกมลีกที่บุกไปเยือน ลำพูน วอริเออร์ และ แบงค็อก ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์เดียวกัน 2-2 และแพ้ไปเกมเดียวนัดที่พ่านคาบ้านให้กับ เชียงราย 1-2 (ไทยลีก)

สถิติการเจอกัน 5 นัดหลังสุดของทั้งสองทีม ปรากฎว่าเป็นทางฝั่งเจ้าถิ่น บีจี ที่ทำได้ดีกว่าชัดเจนด้วยผลงานชนะ 4 นัด และพ่ายไปเพียงแค่นัดเดียว ยิ่งไปกว่านั้น กระต่ายแก้ว ไม่พลาดท่าพ่ายให้กับ สิงห์เจ้าท่า ที่สนามแห่งนี้มาแล้วถึง 8 นัดติดต่อกัน โดยชนะไปถึง 7 นัด และเสมอ 1 นัด

ท้ายที่สุดแล้วต้องมาดูกันว่า บีจี จะยังคงทำสถิติที่ยอดเยี่ยมในการดวลกับ การท่าเรือ ที่สนาม บีจี สเตเดี้ยม แห่งนี้ได้ต่อไปหรือไม่? หรือจะเป็นฝั่งทีมเยือนที่ลบล้างอาถรรพ์อันย่ำแย่ไปได้ในเกมนี้ ซึ่งอย่าลืมว่าเดิมพันนัดนี้นั้นอาจสูงถึงการจบในอันดับที่ 3 ของตารางคะแนน เมื่อถึงบทสรุปของบอลลีกซีซั่นนี้เลยทีเดียว

แชร์บทความนี้
mask-bg
logo-black

SOCIAL MEDIA

สนใจโฆษณาติดต่อ