จากอังกฤษ - บรูไน ถึง ไทยลีก : ชาร์ลี คลัฟ ลูกชายนาวิกฯ กับทัศนคติสุดมืออาชีพ
หากจะคิดถึงหัวใจในแนวรับของสโมสร นครราชสีมา ในฤดูกาลนี้ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการช่วยทีมลุ้นหนีตกชั้นแบบขาดไม่ได้ เพราะสามารถสั่งการเกมป้องกันด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเทให้ทีมแบบเกินร้อย แล้วสามารถรักษามาตรฐานการเล่นได้คงเส้นคงวา คงหนีไม่พ้น ชาร์ลี คลัฟ เซนเตอร์แบ็คตัวแกร่งชาวอังกฤษ
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาตามเพจฟุตบอลไทยต่างๆ เริ่มมีข่าวลือหลุดออกมาว่า คลัฟ มีอกาสสูงที่จะอำลาทีมหลังจบซีซั่นนี้ เล่นเอาแฟนบอล สวาท แคท รู้สึกเสียดายสตาร์ของทีมกันเป็นทิวแถว เนื่องจากกำลังเล่นได้อย่างโดดเด่นและครบเครื่อง
เส้นทางการค้าแข้งของเขา อาจดูเหมือนจะไม่ได้มีโปรไฟล์สวยหรู เหมือนตัวต่างชาติจากสโมสรชั้นนำคนอื่นๆ ที่ค้าแข้งอยู่ใน ไทย ลีก ผ่านประสบการณ์ค้าแข้งในแดนผู้ดีบ้านเกิดก็จริง แต่เป็นแค่ระดับดิวิชั่นล่างๆ ทั้ง ลีก วัน และทีมนอกลีก ทำให้แฟนบอลบางส่วน ตัดเกรดฝีเท้าของเขาไปล่วงหน้าแล้วว่า มีสิทธิ์ไม่ใช่ของจริง
แถมการย้ายมาค้าแข้งก่อนหน้านี้ของ คลัฟ ก็ตัดสินใจไปลงเอยกับทีมในประเทศบรูไนอย่าง ดีพีเอ็มเอ็ม เอฟซี เสียอีก เลยอาจดูคร่าวๆ ว่าดาวเตะรายนี้อาจมีฝีเท้าไม่ดีพอจะมาเล่นในลีกสูงสุดของบ้านเรา เลยไม่ถูกทางเอเย่นต์นำเสนอรายชื่อให้กับสโมสรใหญ่ๆ
ทีมงานคิดไซด์โค้งได้มีโอกาสสัมภาษณ์ส่วนตัวกับ คลัฟ ผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อสอบถามทุกเรื่องราวที่ผ่านมาของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน แล้วปรากฏว่า มีประเด็นที่น่าสนใจมากมายที่สามารถตอบทุกข้อสงสัยได้อย่างหมดจด
ทั้งเรื่องคุณภาพของลีกอังกฤษดิวิชั่นล่างๆ นั้นอ่อนชั้นจริงหรือไม่? สาเหตุที่เขาเลือกย้ายมาเล่นในแถบเอเชียคืออะไร? มุมมองของเขาต่อฟุตบอล ไทย ลีก? รวมไปถึงข่าวลือการย้ายทีมของเจ้าตัวที่หลายสื่อนำเสนอไปก่อนหน้านี้
แต่คำตอบที่ได้จากเจ้าตัวนั้นเป็นไปในทิศทางไหน ขอเชิญร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
การปลูกฝังทัศนคติจากครอบครัว
เป้าหมายในการค้าแข้งของ คลัฟ ได้รับแรงผลักดันมาจากคุณพ่อของเขาที่รับราชการเป็นทหารเรือในกองทัพ เลยมีความเป็นนักสู้ มีจิตใจที่แข็งแกร่งสืบทอดมาตั้งแต่เด็กๆ รวมไปถึงการฝึกฝนเกี่ยวกับสมรรถภาพทางด้านร่างกายให้พร้อมอีกด้วย
นั่นเป็นการสนับสนุนสำคัญจากครอบครัว ที่เขาเชื่อว่าสร้างให้เขาเป็นนักฟุตบอลอาชีพแบบที่ทุกคนเห็น มีร่างกายที่แข็งแกร่ง จิตใจที่มั่นคงไม่หวั่นไหว และมีความเป็นผู้นำในสนาม จากการถูกเลี้ยงดูให้เป็นนักสู้มาในแนวทางนั้น
“เมื่อคุณเข้ามาในวงการได้รับโอกาสนั้นแล้ว คุณต้องทุ่มเท 100% ในทุกๆ วัน”
คลัฟ เริ่มต้นเล่นฟุตบอลกับทีมท้องถิ่นใกล้บ้านของเขาในอังกฤษ ซึ่งใช้เวลาเดินทางไปยังสโมสรประมาณแค่1 ชั่วโมงเท่านั้นจนอายุถึงประมาณ 15 ปี ก่อนจะได้รับเชิญให้ไปทดสอบฝีเท้ากับ บริสตอล โรเวอร์ส ทีมในระดับ ลีก วัน แล้วก็ผ่านได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะในอะคาเดมี่
แม้ว่า คลัฟ จะได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพตั้งแต่อายุ 16 ปี แล้วในปีต่อมาก็ได้รับโอกาสให้ลงเล่นเกมอย่างเป็นทางการกับต้นสังกัด อยู่กับทีมยาวนานถึง 5 ปี แต่ากปัญหาอาการบาดเจ็บทำให้เขาไม่ได้ลงเล่นต่อเนื่องเท่าไหร่
ลีกระดับล่างที่รวมเหล่านักสู้
คลัฟ มองว่า สเน่ห์ของฟุตบอลในประเทศอังกฤษ มีตัวชูโรงที่มีบทบาทสำคัญเป็นลีกสูงสุดอย่าง พรีเมียร์ลีก ที่ในมุมมองของเขาเป็นลีกที่ใหญ่ที่สุดในโลกฟุตบอลยุคปัจจุบัน ผู้เล่นฝีเท้าเยี่ยมทั่วโลก ต่างตั้งเป้าหมายว่าต้องการไปเล่นในลีกดังกล่าว
มีเกมการแข่งขันที่ตื่นเต้นเร้าใจให้ชมกันทุกสัปดาห์ ได้รับความนิยมจากแฟนบอลทั่วทุกมุมโลก รวมไปถึงในเอเชียตะวันออก แฟนบอลเข้าใจสไตล์เกมได้ง่าย แล้วส่วนใหญ่แฟนบอลก็เชียร์ทีมใหญ่ๆ กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล และ อาร์เซน่อล
อย่างไรก็ตามแฟนบอลมักเข้าใจกันไปเองว่า ฟุตบอลลีกรองๆ ในประเทศอังกฤษ หรือการแข่งขันในนอกลีก ไม่ได้มีความเข้มข้นเท่ากับลีกระดับสูง ซึ่งความเป็นจริงแล้วมันยากไม่ต่างกันเลย
การเล่นในลีกดิวิชั่นต่ำในแดนผู้ดี เขาต้องปะทะกับกองหน้าที่ร่างกายสูงใหญ่ระดับ 6 ฟุต 3 นิ้ว ต้องใช้ความแข็งแกร่งด้านร่างกายเข้าสู้ โปรแกรมการเล่นก็ลงเตะกันถี่ระดับ 50 เกมขึ้นต่อหนึ่งฤดูกาล ดังนั้นนักเตะต้องรักษาสภาพร่างกายให้อยู่ในจุดที่สมบูรณ์ที่สุด
แฟนบอลมักเข้าใจผิดกันไปเองว่า ฟุตบอลดิวิชั่นล่างๆ ในอังกฤษ มันง่าย แต่ความจริงมันหนักและยากเอามากๆ ตามที่กล่าวไว้ว่า
“แน่นอนว่าเมื่อคุณได้ชมเกมลีกระดับสูงๆ อย่าง พรีเมียร์ลีก หรือ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ที่เต็มไปด้วยผู้เล่นศักยภาพสูง เลยดูเหมือนว่าพวกเขามีเวลาคิด มีเวลาครองบอล เพื่อทำอะไรได้มากมาย”
“อย่างไรก็ตามลีกระดับล่างๆ มันต่างออกไป การเล่นของผู้เล่นไม่ต่างกับ หมาล่าเนื้อ มันเป็นการต่อสู้เพื่อความอยู่รอด หาผู้ที่แข็งแกร่งกว่าในทุกสัปดาห์”
จากปัญหาอาการบาดเจ็บต้องลดระดับลงไปเล่นกับทีมนอกลีกอย่าง ดอร์เชสเตอร์ แล้วพอผลงานดีก็ถูกซื้อตัวขึ้นไปเล่นกับทีมระดับลีกที่สูงกว่า เมื่อไหร่ที่ผลงานดร็อปลงก็ถูกดึงไปอยู่ลีกรองลงมา วนเวียนไป-มาแบบนี้เรื่อยๆ กับการค้าแข้งของเขาในบ้านเกิด
เปิดประสบการณ์ใหม่ในเอเชีย
หลังจากค้าแข้งอยู่ในบ้านเกิดในลีกดิวิชั่นล่างๆ แล้วประสบความสำเร็จพอตัว คลัฟ ก็เริ่มรู้สึกเบื่อกับการทำอะไรซ้ำๆ เดิมๆ วนเวียนเป็นกิจวัตร ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่มันเกิดขึ้นได้กับทุกคน
เขาได้รับการติดต่อจากนายเก่า ที่เคยร่วมงานกันที่สโมสร ฟอร์เรสต์ กรีน ที่ได้งานคุมทีม ดีพีเอ็มเอ็ม สโมสรที่มีเจ้าชายของประเทศบรูไนเป็นเจ้าของ แล้วชักชวนให้เขาลองเปิดประสบการณ์มาลองเล่นในทวีปเอเชีย
จากความเบื่อหน่ายที่เขาต้องพบเจอ เลยต้องการลองออกมานอก คอมฟอร์ท โซน ของตัวเอง จึงเลือกที่จะตอบรับคำชักชวนดังกล่าวในปี 2019 ซึ่งถึงแม้ต้นสังกัดของเขาจะเป็นทีมจากประเทศบรูไน แต่การแข่งขันจริงๆ นั้นเป็นศึก สิงคโปร์ พรีเมียร์ลีก แล้วพอย้ายมาไม่นานเขาก็ช่วยทีมคว้าแชมป์ได้ทันที
อย่างไรก็ตามเมื่อทั่วโลกเจอวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้การเดินทางไปแข่งขันที่ประเทศสิงคโปร์ต้องถูกยกเลิก เขาจึงต้องเล่นอยู่ภายในลีกประเทศบรูไนต่อตามสัญญาจนครบเวลา แล้วพออดีตต้นสังกัดต้องจำกัดค่าใช้จ่าย เลยต้องมองหาทางเลือกอื่นๆ เอาไว้ โดยหมุดหมายนั้นเป็น ไทย ลีก บ้านเราตามที่เปิดเผยไว้ว่า
“พอผมหมดสัญญากับต้นสังกัดในบรูไน มีคนอังกฤษที่ทำงานกับ มิสเตอร์ วรวีร์ (วีรวีร์ มะกูดี) ในสโมสรโคราชติดต่อมาหาผมในปี 2021 มีการพูดคุยตกลงและเซ็นสัญญากันเป็นระยะเวลา 18 เดือน ช่วงประมาณกลางฤดูกาล หลังจากผมซ้อมกับโค้ชโจ (ธีระศักดิ์ โพธิ์อ้น) ได้ราวๆ 1 เดือน”
“ความจริงแล้วหลังจากผมพาต้นสังกัดพาทีมคว้าแชมป์ลีกสิงคโปร์ได้ในปี 2019 ผมมีการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ ไทย ลีก เอาไว้บ้างแล้วเล็กน้อย แล้วสนใจที่จะย้ายมาเล่นที่นี่”
“ผมได้รับการติดต่อจากเอเย่นต์ 2-3 คน ช่วงนั้นเพียงแต่พวกเขาแนะนำว่า ผมต้องเล่นใน ไทย ลีก สองก่อน แล้วฝีเท้าน่าจะยังไม่ดีพอจะเล่นบนเวที ไทย ลีก เขาตัดสินผมเช่นนั้น ดีลต่างๆ มันเลยไม่เกิดขึ้น”
เมื่อการเจรจาทุกอย่างลงตัว คลัฟ จึงต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ อีกครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นการเดินทางที่ไกลจากบ้านเกิดหลายพันกิโล ด้วยความมุ่งมั่นที่ยังคงเต็มไปด้วยความกระหายเหยื่อเช่นเดิม
การล่าเหยื่อในดินแดนใหม่
ผู้เล่นกองหลังชื่อดังสัญชาติอังกฤษอย่าง ริโอ เฟอร์ดินานด์, จอห์น เทอร์รี่ และ โทนี่ อดัมส์ ที่ขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแกร่ง การเข้าปะทะที่หนักแน่น และมีความใจสู้เป็นจุดเด่น คลัฟ ก็เป็นหนึ่งในนักเตะที่ได้รับการถ่ายทอด ดีเอ็นเอ การเล่นแบบนั้นมาเช่นกัน
เพียงแต่ทุกวันนี้สไตล์ของ โมเดิร์น ฟุตบอล มันต่างกันออกไปตามยุคสมัย ซึ่งเขาก็ต้องปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปให้ได้ ไม่สามารถยึดติดกับการเล่นแบบ โอลด์ สคูล ไปได้ตลอด ตามที่กล่าวไว้ว่า
“นักเตะที่ยกตัวอย่างมาล้วนแข็งแกร่ง แต่ถ้าให้ผมจัดประเภทของนักเตะแนวรับทุกวันนี้แล้วนั้น มันต้องแยกออกเป็น โอลด์ สคูล และ นิว สคูล ซึ่งถ้าเป็นยุคที่ผมเริ่มต้นเป็นนักเตะอาชีพแรกๆ ตอน 17 ปี สภาพจิตใจคุณต้องแกร่งมาก”
“คุณต้องเจอผู้เล่นรุ่นพี่คอยตะโกนสั่งการตลอดเวลาในระหว่างซ้อม โดนตำหนิแรงๆ เมื่อคุณเล่นผิดพลาด คุณคาดเดาได้ล่วงหน้าเลยว่าโดนแน่ๆ เพราะมันเป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้นักเตะดาวรุ่งมีความแข็งแรงในเรื่องของจิตใจ พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เพื่อความอยู่รอดของตัวพวกเขาเอง”
“ทุกวันนี้การปฏิบัติตัวต่อกันของผู้เล่นเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น หากคุณไปว่าหรือตำหนิแรงๆ มันจะเป็นการออกไปในเชิงดูถูกและบูลลี่”
“ผมเริ่มต้นมาจากการลงเล่นในลีกรองๆ ต้องใช้ความแข็งแกร่งด้านร่างกายและจิตใจเข้าสู้ เพื่อยืนหยัดและแสดงให้เห็นว่าเป็นลูกผู้ชาย”
“การที่ผมเติบโตมาในฟุตบอลยุคเก่า ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยเช่นกัน ด้วยการพัฒนาเรื่องการเล่น ไม่ว่าจะเป็นการออกบอลจากแดนหลัง หรือนำเอาประสบการณ์ที่สั่งสมมา ผสมผสานเข้ากับสิ่งใหม่ๆ”
นอกจากการเล่นลูกกลางอากาศแล้ว คลัฟ มองว่าเขามีข้อได้เปรียบในเรื่องของการอ่านเกม จึงสามารถต่อกรกับผู้เล่นต่างชาติใน ไทย ลีก ได้แบบสมน้ำสมเนื้อ แม้ว่าเขาจะมีรูปร่างสูงใหญ่ แต่เขาเชื่อว่าความเร็วของเขานั้นพอตัว
อาจมีจังหวะเสียเปรียบอยู่บ้างในการดวลกับผู้เล่นที่มีสปีดต้นจัดจ้านในระยะ 2-3 หลา แต่การอ่านเกมจะช่วยกลบข้อด้อยในส่วนนั้นไป แล้วเขาหวังจะพัฒนาฝีเท้าให้ดียิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต ไม่จำเป็นต้องไปวิ่งแข่งกับนักเตะไวๆ แค่ดักทางเอาก็ได้
ในอีกมุ่มหนึ่งเขาก็เรียนรู้ที่จะเป็นผู้ฟังที่ดี พร้อมตอบรับการสอนจากโค้ชที่ร่วมงานด้วย เพื่อพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งตัวเขาการันตีได้เลยว่า ทำงานหนักมากทั้งการทุ่มเทในสนามเมื่อมีเกมการแข่งขันและการซ้อม เพราะถูกสอนมาให้ทุ่มเทมากกว่าคนอื่นๆ เสมอ ตามที่กล่าวไว้ว่า
“เวลาว่างนอกเหนือจากเรื่องของฟุตบอล คุณต้องดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี กินอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วน รวมไปถึงการต้องนอพักผ่อนให้ได้วันละ 8-9 ชั่วโมงในเวลากลางคืน”
“ถ้าคุณพยายามดูแลตัวเองอย่างดีที่สุด คุณสามารถกลายเป็นผู้เล่นที่ยอดเยี่ยมในแบบที่ตัวเองใฝ่ฝันเอาไว้ได้”
“นอกจากนั้นคุณต้องกลับมาทบทวนผลงานตัวเองในสนามว่า เกมไหนที่คุณเล่นไม่ดี มันมีข้อบกพร่องตรงไหนที่ควรแก้ไข”
“เฮดโค้ช, สตาฟฟ์ และเพื่อนร่วมทีม ไม่มีทางไว้ใจคุณได้ หากคุณก่อความผิดพลาดแบบเดิมๆ ซ้ำๆ”
“การเรียนรู้จากข้อผิดพลาด แล้วพร้อมที่จะแก้ไขมันด้วยตัวเอง จะทำให้คุณเป็นผู้เล่นที่ดีขึ้นได้แน่นอน”
อย่างไรก็ตาม คลัฟ มองว่ายากที่จะเปรียบเทียบระหว่างการเล่นในไทยกับอังกฤษแบบตรงๆ เนื่องจากเรื่องของสภาพอากาศที่ต่างกันแบบคนละขั้ว แล้วมันย่อมส่งผลต่อสภาพร่างกายของนักเตะในการลงสนามแข่งขัน
ในเมื่อแดนผู้ดีมีสภาพอากาศที่เย็นกว่ามาก การวิ่งเข้าเพรสซิ่งไล่กดดันย่อมทำได้ยาวนาน หากมาเล่นในไทยที่มีอากาศร้อนจัด กว่าที่ทีมจะเล่นเกมวิ่งไล่บี้คู่แข่งได้ นักเตะอาจต้องรอให้ผ่านหนึ่งชั่วโมงไปแล้ว ไม่เช่นนั้นอาจหมดแรงไปเสียก่อน
เขามองว่าช่วง 6 เดือนแรกกับทีม ถือว่าตัวเองทำผลงานได้ดีทีเดียว สามารถพาทีมหนีการตกชั้นได้สำเร็จ แล้วยังทะลุผ่านเข้าชิงถึงรอบชิงชนะเลิศของถ้วย เอฟเอ คัพ ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสร สวาท แคท ยิ่งไปกว่านั้นยังทำประตูจากลูกโหม่งที่เป็นจุดแข็งของเขาได้อยู่บ้าง
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ของ สวาท แคท ในซีซั่นนี้ ถือว่ายังวางใจไม่ได้ เพราะอยู่ในกลุ่มของทีมที่กำลังลุ้นหนีตกชั้น รั้งอยู่ในอันดับที่ 12 ของตาราง เหลือโปรแกรมการแข่งขันอีก 3 นัดด้วยกัน
แถมตัวของ คลัฟ ผู้ครองปลอกแขนกัปตันทีมของ นครราชสีมา อยู่ในตอนนี้ ก็กำลังจะหมดสัญญากับต้นสังกัดหลังจบการแข่งขันเกมลีกนัดสุดท้ายเสียอีก จึงมีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับสถานีต่อไปของเขาหลุดออกมาตามเพจฟุตบอลไทยต่างๆ
เป้าหมายที่ต้องไปต่อ…
เป้าหมายของ คลัฟ คือ การพาทีมบุกเอาชนะ ชลบุรี เอฟซี ในเกมวันเสาร์นี้ให้ได้ รวมไปถึงอีกสองเกมที่เหลืออยู่ในมือเช่นกัน ซึ่งเจ้าตัวขอยังไม่พูดถึงการย้ายทีม หลังจากเสร็จภารกิจกับสโมสรแล้ว ตัวเขาจะไปอยู่ที่ไหน อดใจรอไม่นานข่าวก็จะนำเสนอออกมาเอง
โดยเจ้าตัวได้ตอบเอาไว้อย่างชัดเจนกับทีมงาน คิดไซด์โค้ง ถึงประเด็นดังกล่าวว่า
"ผมเห็นทุกข่าวเกี่ยวกับผมใน Facebook...แต่นั่นไม่จริงเลย"
"ผมเห็นผู้คนพยายามเขียนข่าวว่าผมได้ปฎิเสธสัญญาที่ทาง โคราช ได้ยื่นให้กับผม แต่ความจริงแล้วไม่ใช่แบบนั้น โคราช ไม่ได้ยื่นสัญญาฉบับใหม่ให้ผมเลย และสัญญาฉบับเก่าของผมก็กำลังจะหมดลงในอีก 3 สัปดาห์หลังจากนี้เเล้ว เมื่อมันเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่าผมกำลังจะเป็นนักเตะที่ไม่มีสัญญา สามารถย้ายทีมแบบไม่มีค่าตัวได้"
"แฟนบอลหลายคนเข้ามาถามผมว่าทำไมผมถึงไม่ยอมต่อสัญญากับโคราชล่ะ ? เหตุผลตรง ๆ เลยคือผมไม่ได้ข้อเสนอสัญญาฉบับใหม่ ถ้า โคราช ยื่นข้อเสนอให้ผมตั้งแต่ 6 เดือนก่อน ผมเชื่อว่าผมอาจจะต่อสัญญาฉบับใหม่ไปแล้วก็ได้"
"คุณเข้าใจใช่ไหม ? เวลาตั้ง 6 เดือน แต่ก็ไม่ได้ข้อเสนออะไรเลย ... ผมเข้าใจในระดับหนึ่งว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่องอะไรต่าง ๆ มากมายทั้งตัวของโค้ชและฝ่ายบริหาร ซึ่งเรื่องที่ยิ่งกว่านั้นคือผมเองก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงเหมือนกัน"
"ตอนนี้ผมมีโอกาสได้คุยกับสโมสรอื่น ๆ ใน ไทย ลีก บ้าง แต่ผมไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ในเวลานี้ ผมจะโฟกัสเรื่องการช่วยโคราชให้อยู่รอดต่อไปในไทยลีก นี่คือเรื่องสำคัญที่สุดตั้งแต่วันนี้จนกระทั่งถึงเกมสุดท้ายของฤดูกาล ... ผมไม่สนใจเกี่ยวกับอย่างอื่น โดยเฉพาะเรื่องของซีซั่นหน้า”
“ณ ตอนนี้ผมคือกัปตันของทีม ๆ นี้และผมจะต้องช่วยทีมของผมทีมนี้ให้อยู่รอดให้ได้"
ท้ายสุดของการสัมภาษณ์ คลัฟ ฝากถึงแฟนบอล สวาท แคท เอาไว้ว่า ทีมของเขาอยากเห็นแฟนๆ เข้ามาให้กำลังใจทีมกันเยอะๆ เพราะต้องการกำลังใจ ในการสร้างผลงานให้ดีที่สุดกับโปรแกรมที่เหลืออยู่
ตัวของเขาขอขอบคุณการต้อนรับที่อบอุ่นเสมอมาตลอด 18 เดือนกับสโมสรแห่งนี้ รวมไปถึงแฟนบอลทีมอื่นๆ ใน ไทย ลีก ที่ให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดีเช่นกัน หวังว่าพอจบฤดูกาลนี้ โคราช จะสามารถอยู่รอดต่อไปในศึก ไทย ลีก ได้ในฤดูกาลหน้า
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
การสัมภาษณ์ออนไลน์ส่วนตัว