จากเริ่มจนถึงตอนจบ : การทำงานแบบไทยสไตล์ที่ทำให้ อิชิอิ ต้องโบกมือลาแบบจบไม่สวย

จากเริ่มจนถึงตอนจบ : การทำงานแบบไทยสไตล์ที่ทำให้ อิชิอิ ต้องโบกมือลาแบบจบไม่สวย
ณัฐพล อ่วมเรืองศรี

เป็นประเด็นร้อนไม่น้อยสำหรับ มาซาทาดะ อิชิอิ อดีตบุคลากรสำคัญในวงการฟุตบอลญี่ปุ่นและฟุตบอลไทย ที่เคยนั่งแท่นเป็นประธานเทคนิคทัพช้างศึกอยู่เพียงช่วงสั้นๆ ก่อนจะโบกมือลากันไปแบบไม่ร่ำลาแบบงงๆ หลังเจอการทำงานแบบ ‘ไทยแลนด์ เวย์’ เข้าไปจนเสียศูนย์ แล้วตัดสินใจกลับไปพักใจอยู่ที่แดนปลาดิบในเวลานี้

แน่นอนว่าโปรไฟล์ของ อิชิอิ โค้ชมากประสบการณ์วัย 56 ปีนั้นไม่ธรรมดา เคยพา คาชิม่า แอนท์เลอร์ เข้าชิงฟุตบอลสโมสรโลกในปี 2018 สู้กับยอดทีมอย่าง เรอัล มาดริด ได้อย่างสนุกทั้งที่ศักยภาพทีมเป็นรองสุดกู่ ก่อนจะต้านทานความแข็งแกร่งไม่ไหวพ่ายไป 2-4

PHOTO : The Japan Times

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการคุมทีมในบ้านเกิดกับ โอมิย่า อาร์ดิจา ก็เลือกที่จะมาผจญภัยเปิดประสบการณ์ใหม่กับการคุมทีม สมุทรปราการ ซิตี้ ก่อนจะใช้ฝีมือและแนวทางการบริหารปรุงแต่งทีมเล็กๆ ทรัพยากรนักเตะและงบประมาณจำกัด ให้กลายเป็นทีมระดับกลางตารางอันดับที่ 6 ได้แบบน่าเหลือเชื่อ

ก่อนที่จะย้ายไปรับงานกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แล้วสามารถพาทีมคว้าสามแชมป์ในประเทศได้สองฤดูกาลติดต่อกัน เป็นโค้ชคนแรกในประวัติศาสตร์ประเทศไทย ที่สามารถทำเรื่องน่าเหลือเชื่อให้เกิดขึ้นได้ แต่อยู่ๆ เขาก็โดนโยกย้ายไปรับตำแหน่งในทัพช้างศึกแบบที่แฟนบอลแทบไม่ทันตั้งตัว แล้วลงเอย ‘ไม่สวย’ อย่างทีทราบกันดี

คลิปสัมภาษณ์ตัวเต็มจากทาง Think Curve - คิดไซด์โค้ง

เรื่องราวทั้งหมดมีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร? บริบทจากการให้สัมภาษณ์ของ อิชิอิ สามารถเดาทางได้ไหมว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้? ร่วมสืบทุกประเด็นไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง

ทำไมถึงทิ้งทีม ‘สมุทรปราการ’?

ความจริงแล้ว อิชิอิ ต้องการรับงานในบ้านเกิดต่อไปในปี 2019 แต่ปรากฎว่าไม่มีข้อเสนอยื่นเข้ามาให้เขาพิจารณาหลังแยกทางกับ โอมิย่า อาร์ดิจา แล้วในเดือนตุลาคม กลายเป็นทาง สมุทรปราการ ซิตี้ ที่ติดต่อเข้ามาหา ยื่นข้อเสนอเบื้องต้นให้มาชมเกมของทีม แต่ต้องปฏิเสธไปในครั้งแรก เนื่องจากครอบครัวอยากให้ทำงานในญี่ปุ่นมากกว่า

อย่างไรก็ตามเมื่อทาง อิชิอิ อดทนรอข้อเสนอจากทีมในบ้านเกิดแล้วไม่มีเข้ามาจริงๆ ตัวเขาก็อยากคุมทีมแล้วหลังจากการพักเบรก เลยตัดสินใจติดต่อกลับไปยังสโมสร เขี้ยวสมุทร พร้อมกับทำรายงานนำเสนอเกี่ยวกับความรู้เกี่ยวกับฟุตบอลในประเทศไทย จากการที่เคยมีประสบการณ์พา แอนท์เลอร์ ดวลกับ เมืองทอง ยูไนเต็ด ในศึก เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก แล้ววางนโยบายการพัฒนาทีมไปให้ทีมงานบริหารของ สมุทรปราการ ซิตี้ พิจารณา 

PHOTO : X

ท้ายที่สุดก็ลงเอยด้วยการได้ร่วมงานกัน ซึ่งตัวของ อิชิอิ เองก็ยังรู้สึกขอบคุณประธานสโมสร สมุทรปราการ ซิตี้ ที่ไว้วางใจให้เขามารับงานทั้งที่ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับฟุตบอลไทยมาก่อน 

แต่แล้วเรื่องราวของ อิชิอิ กับ สมุทรปราการ ซิตี้ ก็ลงเอยกันไม่ดีเท่าไหร่นัก เนื่องจากเขาเลือกที่จะย้ายไปคุมทีม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในช่วงกลางปี 2021 ส่งผลให้เขาถูกมองว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ เขี้ยวสมุทร ต้องตกชั้นในซีซั่นดังกล่าว ซึ่งตัวของเขาก็ยอมรับออกมาตามตรงว่ามีส่วนสำคัญทำให้สถานการณ์ของทีมลงเอยเช่นนั้น ตามที่กล่าวไว้ว่า

“ในตอนนั้นมีหลายเรื่องที่พูดไม่ได้ ตอนนั้น บุรีรัมย์ ยังเป็นทีมอันดับ 1 ของลีกอยู่ พอมีการติดต่อเข้ามา ผมก็ต้องมองเรื่องของเกียรติประวัติส่วนตัวของตนเอง และมองว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะพาทีมไปคว้าแชมป์ลีกและได้ไปเล่นในศึก เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ผมไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายกับ สมุทรปราการ ซึ่งผมคิดว่าผมทำมันได้กับ บุรีรัมย์ ที่เป็นทีมที่แข็งแกร่งมาก จึงเลือกที่จะตอบรับข้อเสนอ”
PHOTO : บอลไทย

“ส่วนหนึ่งมันเป็นความรับผิดชอบของผมที่ทำให้ สมุทรปราการ ต้องตกชั้น ผมเตรียมใจไว้แล้วกับการถูกแฟนบอลวิจารณ์ในเรื่องนี้เพราะมันก็เป็นเรื่องจริงอยู่ แต่แผนเดิมที่วางไว้กับทีมมันไม่เป็นไปตามที่คาด นักเตะตัวหลักหลายรายทยอยออกจากทีมไป ศักยภาพของทีมก็ลดลงเป็นธรรมดา ซึ่งผมก็คิดไปในอีกมุมด้วยว่าตัวผมยังทำผลงานได้ดีไม่พอ กับการตั้งเป้าหมายจะพาทีมไปติดท็อป 3 ของลีก”

เมื่อทาง อิชิอิ ตัดสินใจรับงานกับ ปราสาทสายฟ้า ตัวของเขาไม่ได้มีความรู้สึกกดดันเป็นพิเศษอะไร เนื่องจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ การพยายามพาทุกทีมที่คุมประสบความสำเร็จด้วยการเป็นแชมป์ ซึ่งบางสิ่งที่เขาต้องเจอกับงานใหม่ เป็นอะไรที่ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน…

ช่วงเวลากับ ‘บุรีรัมย์’

การเข้ามามีส่วนร่วมเป็นพิเศษของ คุณ เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นสิ่งที่ทาง อิชิอิ ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน ทั้งการมาร่วมเซสชั่นการฝึกซ้อมหรือการมานั่งอยู่ที่ม้านั่งข้างสนาม ซึ่งตัวของโค้ชรายนี้ก็ได้เจอกับเหตุการณ์นี้ครั้งแรกในเมืองไทย เพราะจากประสบการณ์คุมทีมในประเทศญี่ปุ่น เขาไม่เคยเห็นใครทำแบบนี้มาเลยสักครั้ง

PHOTO : Goal

แม้ว่าคุณ เนวิน จะรู้จักกับนักเตะในทีมเป็นอย่างดี มีการเข้ามาพูดคุยมีส่วนร่วมกับทุกคนแทบทุกเวลา แต่ตัวของ อิชิอิ ไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาอะไร เนื่องจากเขาเลือกที่จะรับฟังคำแนะนำต่างๆ แล้วนำไปปฏิบัติหรือไม่ก็ได้เพราะมันเป็นการตัดสินใจของเขา ซึ่งถ้าให้เลือกได้ที่นั่งตรงข้างสนาม อิชิอิ มองว่าควรเป็นทีมงานโค้ชของเขามาอยู่ช่วยจะเหมาะสมกว่า

แนวทางเบื้องต้นของเขากับ บุรีรัมย์ คือ การดึงศักยภาพของนักเตะออกมาให้ได้เต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ พยายามจับนักเตะเล่นในตำแหน่งที่ถนัด ซึ่งตัวผู้เล่นภายในทีมนั้นมีคุณภาพสูงอยู่แล้ว ตัวของเขาไม่สามารถเทียบได้ว่า ผลงานของเขาเทียบกับโค้ชคนเก่าๆ นั้นเป็นแบบไหนในมุมมองของคนอื่น

หลังจากที่ อิชิอิ พาทาง ปราสาทสายฟ้า กวาด 6 แชมป์ในระยะเวลาสองฤดูกาลติดต่อกัน ก็มีการแจ้งจากทางผู้บริหารเข้ามาว่าฤดูกาลนี้จะมีผู้ช่วยโค้ชคนใหม่เข้ามา นั่นก็คือ อาเธอร์ ปาปาส กุนซือของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คนปัจจุบัน

แน่นอนว่าความสงสัยของแฟนบอลชาวไทย คือเรื่องที่ อิชิอิ ผลงานดีอยู่แล้ว แต่ทำไมจึงต้องเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ซึ่งเทรนเนอร์ชาวญี่ปุ่นก็ยังไม่สามารถตอบข้อสงสัยนั้นได้ชัดเจน ตามที่กล่าวไว้ว่า

“ผมเข้าใจเรื่องของการเปลี่ยนแปลงในโลกฟุตบอลที่เป็นเรื่องปกติ ยกตัวอย่างเช่นการย้ายทีมของนักเตะหรือโค้ช แต่ผมก็ได้เตรียมทีมของผมเอาไว้แล้วเพื่อจะไปลุยศึก ACL แต่พอมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นเกิดขึ้น ผมเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม?”

“ภาพที่เห็นผมนั่งอยู่ตรงม้านั่งสำรองแล้วทาง ปาปาส เป็นคนสั่งการคุมทีม ตอนนั้นได้มีการพูดคุยเรื่องของผมที่จะได้ไปทำงานกับ ทีมชาติไทย ไว้แล้ว โดยตอนแรกผมเข้าใจว่าจะได้เป็น เฮดโค้ช หลังจบศึก คิงส์ คัพ แต่ต้องนั่งเป็นประธานเทคนิคไปก่อน”

ความคิดเห็นส่วนตัวของ อิชิอิ มองว่าหากทางสโมสรวางแผนล่วงหน้าไว้แล้วว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงคนทำทีม ก็ควรจะให้โค้ชใหม่ได้มาทำงานตั้งแต่ก่อนฤดูกาลแข่งขันจะเริ่ม เพื่อการทำงานที่ไหลลื่นและมีประสิทธิภาพ

ประเด็นกับ ‘ทีมชาติไทย’

อิชิอิ เปิดประเด็นเป็นคำใบ้เอาไว้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั่นคืออะไรกันแน่ คงต้องไปสามบิ๊กบอสทั้ง 3 คนนั้น ซึ่งถ้าให้ระบุลงไปแบบชัดเจน คงหนีไม่พ้น คุณ เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ ประธานสโมสรการท่าเรือ เอฟซี และผู้จัดการทีมชาติไทย และ คุณ ปวิณ ภิรมย์ภักดี ประธานสโมสร บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ที่ออกมาแถลงข่าวเรื่องสำคัญในการดันให้เขาไปรับตำแหน่งประธานเทคนิคอย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พร้อมกับเปิดเรื่องการลงชิงตำแหน่งนายก ส. บอล ของ มาดามแป้ง

PHOTO : ไทยรัฐออนไลน์

หลังจากเสร็จจากงานแถลงข่าว อิชิอิ เปิดเผยถึงภาพที่นั่งคุยกับ มาดามแป้ง, คุณเนวิน และ ล่ามแปลภาษา ซึ่งมีใจความสำคัญว่า

“การพูดคุยในครั้งนั้นมีการพูดเอาไว้ว่า หลังจบศึก คิงส์ คัพ จะให้ตัวผมเป็นเฮดโค้ชทีมชาติไทย แต่ต้องรอเวลาหลังจาก มาโน่ โพลกิ้ง โค้ชคนปัจจุบันลงจากตำแหน่งก่อน”
“แต่หลังจากจบศึก คิงส์ คัพ ก็มีการแจ้งว่าผมจะไม่ได้เป็นเฮดโค้ช ผมก็รับทราบตามนั้น พร้อมกับมีการถามผมต่อไปว่าถ้าให้นั่งแท่นเป็นประธานเทคนิคต่อจะโอเคไหม? ผมก็กลับไปคิดว่า ถ้าผมรับตำแหน่งดังกล่าวจะทำอะไรให้กับทีมชาติไทยได้บ้าง? จะช่วยอะไรได้ ผมก็อยากจะทำสัญญากับสมาคมให้ชัดเจน แต่พอไม่มีสัญญาเรื่องก็เงียบหายไปหมดเลย”

หลังจากตบศึก คิงส์ คัพ ได้สองวัน “มาดามแป้ง” เป็นคนมาแจ้งกับ อิชิอิ ด้วยตัวเองว่าจะไม่ได้เป็น เฮดโค้ช ทีมชาติไทยแล้ว ซึ่งทางตัวของเขาก็ตอบรับกับตำแหน่งประธานเทคนิค แล้วมีการเตรียมแผนงานเบื้องต้นไว้แล้ว แต่จากการที่ไม่มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน เรื่องราวดังกล่าวก็หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น

PHOTO : ThaiPost

ทั้งที่ตอนแรกยังมีการพูดคุยกันอยู่เรื่อยๆ แต่พอตกลงเรื่องรายละเอียดสัญญากันไม่ได้ อิชิอิ ก็ได้รับการแจ้งว่า “ขอจบกันตรงนี้” ซึ่งตัวของเขาก็อยากทราบเหตุผลว่าทำไมเช่นกัน? ส่วนสิ่งที่อยากฝากไปบอก สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย คือ ก่อนจะทำอะไรที่เป็นแผนงานสำคัญ ควรตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนก่อนเป็นอันดับแรก แล้วไต่ระดับทำแผนงานที่ตั้งไว้เป็นลำดับเป็นขั้นเป็นตอน

สำหรับระยะเวลาที่จะเห็น ทีมชาติไทย ไปโชว์ผลงานในเวที ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ทุกสิ่งจะตอบได้ด้วยคำถามที่ว่า ‘สุดท้ายแล้วสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยจะเริ่มจริงจังกับเรื่องนี้ตอนไหน?’ เพราะตอนนี้เหมือนจะยังไม่ได้เริ่มอะไรเลย ซึ่งถ้าเขาได้ทำงานตามที่ตกลงกันไว้ บางอย่างคงได้เริ่มทำกันไปบ้างแล้ว

แหล่งข้อมูลอ้างอิง :

https://www.youtube.com/watch?v=WKMAmwsFx2Q&t=303s

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

มุมมอง บิ๊กฮั่น : "บุรีรัมย์ เวย์ คือ วิมเบิลดัน เมืองไทย"

แชร์บทความนี้
mask-bg
logo-black

SOCIAL MEDIA

สนใจโฆษณาติดต่อ