ซินิซ่า มิไฮโลวิช : ตำนานฟรีคิกซ้าย No.1 กับการท้าชนมะเร็งแบบยอดนักสู้
นับเป็นข่าวเศร้าของโลกฟุตบอลเมื่อหนึ่งในตำนานนักเตะเท้าซ้ายที่ยิงฟรีคิกดีที่สุดตลอดกาลอย่าง ซินิซา มิไฮโลวิช ได้ "เดินทางไกลครั้งสุดท้าย" เสียชีวิตจากการป่วยมะเร็งที่เรื้อรังมานานในช่วง 3 ปีหลังสุด
หากเรื่องราวการปั่นฟรีคิกของเขาคือตำนานที่วงการฟุตบอลยกย่อง เรื่องราวการต่อสู้กับมะเร็งของเขาก็ควรค่าแก่ได้รับการยกย่องจากโลกใบนี้ไม่ต่างกัน
นี่คือการต่อสู้ครั้งสำคัญที่เดิมพันด้วยชีวิต... แม้สุดท้าย มิไฮโลวิช อาจจะเป็นฝ่ายแพ้ภัยโรคราย แต่การต่อสู้กับมะเร็งของเขาควรค่าแก่การเล่าขานเป็นอย่างยิ่ง ติดตามที่ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
จากจอมยิงฟรีคิกสู่ยอดโค้ช
ซินิซา มิไฮโลวิช คือนักเตะทีถูกจดจำจากการเป็นจอมยิงฟรีคิกเท้าซ้ายที่ได้ทุกระยะ จะใกล้ จะไกล มุมกว้าง มุมแคบ ... ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดสำหรับเขาคนนี้
เขาเป็นนักเตะตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่เล่นในตำแหน่งฟูลแบ็คได้ และอย่างที่ได้กล่าวไว้สถิติการยิงประตูของเขาใน เซเรีย อา ทั้งหมด 38 ประตู มาจากตั้งเตะถึง 28 ลูก ไม่มีนักเตะคนไหนอีกเเล้วในเซเรีย อา ที่จะยิงได้มากขนาดนี้ นอกเหนือจากวิธีการยิงฟรีคิกที่ได้ทุกแบบแล้ว มิไฮโลวิช ยังเป็นนักเตะที่เป็นศูนย์กลางของทีมเสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่เขาเล่นให้กับ ซามพ์โดเรีย และ ลาซิโอ โดยคนที่รู้ดีที่สุดก็คือ สเวน โกรัน อีริคส์สัน กุนซือที่อยู่กับเขาทั้ง 2 สโมสร
"ผมเป็นโค้ชให้ มิไฮ มาตั้งแต่ซามพ์โดเรียถึงลาซิโอ ผมสนิทกับเขามาโดยตลอด โดยเฉพาะช่วงเวลากับ ลาซิโอ เราควาแชมป์มากมายร่วมกัน และเขาเป็นนักเตะที่ยิ่งกว่านักเตะคนอื่น ๆ"
"ที่ผมจะพูดคือเขาเป็นคนที่ทำทุกอย่างด้วยจิตวิญาณของนักสูู้ เขามีความเป็นอาชีพสูง ช่วยเหลือนักเตะรุ่นน้องอยู่ตลอดเวลา เขาเรียนรู้ในทุก ๆ วันและนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าเขาสามารถเปลี่ยนตำแหน่งจากแบ็คซ้ายมาเล่นในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่ดีที่สุดในโลกในช่วงเวลาของเขา... ผมจะไม่มีวันลืมเท้าซ้ายชั่งทองของเขาอย่างแน่นอน" สเวน กล่าวย้อนความถึงลูกทีมคนโปรดของเขา
มิไฮโลวิช แขวนสตั๊ดกับ อินเตอร์ มิลาน ในปี 2006 และเริ่มรับงานเป็นผู้ช่วยของ โรแบร์โต้ มันชินี่ ก่อนที่จะขยับรับงานคุมทีมครั้งแรกกับสโมสร โบโลญญา ในปี 2008
ในช่วงแรก ๆ เขาไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก มีการโดนปลด และการลาออกจากต้นสังกัดบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็น คาตาเนีย, ฟิออเรนติน่า, เซอร์เบีย จนกระทั่งในปี 2013 เขาลงหลักปักฐานกับ ซามพ์โดเรีย ทีมเก่าของเขา และทำผลงานได้ดีจนทำให้ เอซี มิลาน ดึงตัวไปคุมทีมในปี 2015 ซึ่งมีช่วงเวลาดี ๆ เกิดขึ้นที่นั่น
มิไฮโลวิช ยังคงเป็นโค้ชที่ชอบช่วยเหลือและเชื่อมั่นในตัวนักเตะดาวรุ่งแบบที่เขาเคยเป็นในอดีต ที่ มิลาน เขาให้โอกาสนักเตะเยาวชนของสโมสรประเดิมสนามทีมชุดใหญ่โดยเฉพาะ จานลุยจิ ดอนนารุมม่า ผู้รักษาประตูที่ภายหลังกลายเป็นมือ 1 ทีมชาติอิตาลี โดย มิไฮโลวิช นั้นเรียก ดอนนารุมม่า มาเล่นในทีมชุดใหญ่ตั้งแต่อายุ 16 ปีเลยทีเดียว
"คุณเป็นนักรบผู้กล้าหาญมาโดยตลอด และผมรู้ว่าคุณต่อสู้มามากขนาดไหน ขอบคุณที่เชื่อมั่นในตัวผมเสมอและสำหรับทุกสิ่งที่คุณบอกผมตั้งแต่วันแรกที่เราพบกัน คุณจะอยู่ในใจผมตลอดไป, ลาก่อน" ดอนนารุมม่า กล่าวอาลัยถึงชายคนแรกที่หยิบยื่นโอกาสให้เขา
หลังจากออกมาจาก มิลาน มิไฮโลวิช สามารถเจอกับที่ของเขาจริง ๆ ได้เสียทีด้วยการหวนกลับไปคุมทีม โบโลญญ่า อีกครั้ง เขาช่วยปรับสไตล์ให้ โบโลญญา กลายเป็นทีมที่เหนียวแน่นและเต็มไปด้วยวินัย เป็นทีมตัวแสบที่มักจะโขมยแต้มทีมยักษ์ใหญ่ได้เสมอ จนได้รับความชื่นชมเป็นอย่างมาก และมันอาจจะเป็นการเริ่มเส้นทางโค้ชที่ยิ่งใหญ่ของเขาก็เป็นได้
แต่ชีวิตมนุษย์นั้นสุดจะคาดเดา บางครั้งในช่วงเวลาที่แย่ที่สุดคุณกลับมีโชคดีเกิดขึ้นในชีวิตแบบไม่น่าเชื่อ และเช่นเดียวกันกับตอนที่กราฟชีวิตคุณกำลังทะยานขึ้นสูง ก็มักจะเกิดเรื่องร้ายบางสิ่งที่ดูเหมือนจะตั้งใจฉุดคุณให้ตกลงมา ... และสำหรับ มิไฮโลวิช สิ่งนั้นคือมะเร็งเม็ดเลือด หรือที่เรียกกันว่าโรค ลูคิเมีย ในปี 2019 จากนั้นเส้นทางการต่อสู้ที่เดิมพันด้วยชีวิตของเขาก็เริ่มขึ้น
ไหนวะมะเร็ง ?
มิไฮโลวิช เข้ารักษาการกับแพทย์หญิง ฟรานเชสก้า โบนิฟาซี โดยแพทย์หญิงคนนี้เล่าว่าในช่วงที่ มิไฮโลวิช เข้ามารับการรักษาตัวนั้น เขามักจะปรากฎตัวด้วยท่าทีที่กล้าหาญ เตรียมพร้อมเพื่อเข้ารับการรักษาด้วยสภาพจิตใจที่สดใสเชิงว่ามันใจว่าเขาจะเอาชนะมันได้
"แต่ละเรื่องราวของเขาในช่วงการรักษาตัวนั้นทิ้งร่องรอยความพิเศษให้กับที่นี่ เขาเป็นที่รักของทุกคน เขายินดีทำทุกอย่างตามคำของหมอ ไม่อิดออดไม่มีการโต้เถียงใด ๆ ทั้งสิ้น" หมอฟรานเชสก้า กล่าว
เบื้องหน้าคือ มิไฮโลวิช คือคนที่แสดงความกล้าหาญให้คนอื่นเห็นตลอด แต่ที่สุดแล้วเขาก็คือมนุษย์คนหนึ่ง ความตายจากโรคภัย คือสิ่งที่ใครไม่อยากเผชิญโดยเฉพาะโรคอย่างมะเร็ง เรื่องนี้แม้กระทั่งตัวของเขาที่ปากบอกว่าไม่กลัวตายและเอาชนะก็เสียศูนย์ไปเหมือนกันในช่วงแรก
"ตอนที่พวกเขาบอกผม มันช็อกมากๆ ผมใช้เวลาร้องไห้อยู่ในห้อง 2 วัน มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความกลัว ผมรู้ว่าผมจะชนะ มันเป็นลูคีเมียชนิดที่รักษาได้ คุณสามารถกลับมาเป็นปกติได้ และผมจะชนะมัน"
“มันง่ายกว่าที่จะต่อสู้กับมัน ถ้าคุณจับตาดูสถานการณ์ รับการรักษาเเบบเป็นขั้นเป็นตอน และเตรียมพร้อมกับสิ่งที่รออยู่ ผมหวังว่าหลังจากที่ผมชนะการต่อสู้ครั้งนี้ ผมจะสามารถพูดคุยกับพวกคุณทุกคนทุกประสบการณ์ครั้งสำคัญนี้ได้" มิไฮโลวิช เล่าถึงหลังการตรวจพบครั้งแรก
จากนั้นก็เป็นไปตามขั้นตอนการรักษา เขาคุมทีมไปพร้อม ๆ กับการรักษาแบบคีโม เขารักษาหน้าฉากการเป็นเฮ้ดโค้ชอย่างดี นักเตะโบโลญญ่าหลายคนอาทิ ริคาร์โด้ ออร์โซลินี่ ยังเคยเล่าถึงช่วงเวลาดังกล่าวว่า มิไฮโลวิช พยายามทำให้ทุกคนในทีมไม่ตื่นตระหนกจากอาการของเขา ในการซ้อมทุกอย่างเป็นไปตามปกติ ทีมยังซ้อมอย่างเข้มข้นโดยเขาไม่ได้ขาดตกบกพร่องต่อหน้าที่ของตัวเองเลย
เขาใช้เวลารักษาราว 1 ปีจากอาการดังกล่าว ในที่สุดก็ไม่ตรวจพบเชื้อมะเร็ง เขาสามารถเอาชนะมันได้จริง ๆ .. ว่ากันว่า “มะเร็งกลัวความสุข” ใครทีเป็นมะเร็งและไม่เกรงกลัวมัน ไม่ขวัญหนีดีฝ่อ แต่กลับใช้ชีวิตอย่างกล้าหาญ ใช้ชีวิตประจำวันด้วยความสุข ไม่ต่างกับตอนไม่เป็นโรค มะเร็งจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
แม้นี่อาจจะเป็นแนวคิดที่ไม่มีวิทยาศาสตร์มายืนยัน แต่มันก็ทำให้ มิไฮโลวิช เอาชนะมะเร็งได้จริง ๆ
"ตอนที่ มิไฮโลวิช เอาชนะมะเร็งได้ทุกคนที่โรงพยาบาลยินดีกับเขาเป็นอย่างมาก เขากลายเป็นเหมือนต้นแบบการเอาชนะโรคร้าย เป็นแรงบันดาลใจให้คนไข้อีกหลายๆ คน ในช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่คนเราจะโศกเศร้า มิไฮโลวิช แสดงให้เห็นว่าคนเราควรมีชีวิตอยู่ด้วยความหวังและความกล้าหาญ" แพทย์หญิง ฟรานเชสก้า ว่าไว้ แต่โชคร้ายที่เรื่องนี้ไม่ยอมจบเเบบแฮปปี้ เอนดิ้ง
ก่อนถึงวันเดินทางไกล
มิไฮโลวิช หายจากมะเร็งในปี 2020 และเริ่มกลับมาคุมทีม โบโลญญ่า อีกครั้ง จนกระทั่งในช่วงเดือน มีนาคม ที่ผ่านมา เขาก็แจ้งข่าวว่าเชื้อร้ายได้ลุกลามในตัวเขาอีกครั้ง
“อย่างที่คุณทราบ ผมผ่านการวิเคราะห์เจาะลึกตามวงจร หลังจากที่ผมป่วยเป็นโรคลูคีเมียชนิดไมอีลอยด์ที่มีความเสี่ยงสูงเมื่อสองปีครึ่งที่ผ่านมา คุณต่างรู้ดีว่าผมเข้ารับการปลูกถ่ายเม็ดเลือดขาว ในช่วงที่พักฟื้นนั้นยอดเยี่ยมมาก”
“แต่โรครายนี้มันลึกลับซับซ้อนและเฮงซวย จากผลวิเคราะห์ล่าสุด มีสัญญาณเตือนว่ามันอาจมีความเสี่ยงของการกลับมากำเริบอีกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น ผมได้รับคำแนะนำให้เข้ารับการรักษา” มิไฮโลวิช ประกาศต่อหน้าสื่อ
หนนี้เขาแสดงออกแบบแตกต่างเอาไป เขาชนะมาได้แล้ว 1 รอบ และเชื่อว่าจะทำมันได้อีกครั้ง หนนี้เขาไม่ร้องไห้ และประกาศต่อหน้าสื่ออย่างมั่นใจว่าเขาแข็งแกร่งกว่าครั้งที่เเล้วมาเยอะ
“คราวนี้ผมจะไม่ต้องต่อสู้กับมันเหมือนกับเมื่อสองปีครึ่งที่แล้ว คุณเห็นได้เลยว่าไอ้โรคนี้มันกล้ามากที่จะกลับมาเผชิญหน้ากับคนอย่างผม ถ้าบทเรียนแรกมันยังไม่พอ เราจะจัดให้มันอีกสักบทเรียน”
“ผมรู้ว่าผมจะอยู่ในทีมแพทย์มือดี ไม่เหมือนกับเมื่อสองปีครึ่งที่แล้ว ตอนที่ผมแทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ คราวนี้คุณเห็นได้ว่าผมสงบยิ่งมากขึ้น ผมรู้ว่าผมต้องทำอะไร และนอกเหนือจากสถานการณ์ทั้งหมดนี้มันแตกต่างออกไปมากจากสิ่งที่เกิดขี้นในตอนนั้น”
น่าเสียดายที่หนนี้ ไม่ใช่แค่ มิไฮโลวิช ที่เตรียมพร้อมสำหรับศึกครั้งใหม่ เพราะเจ้ามะเร็งร้ายก็กลับมาอีกรอบด้วยอาการที่รุนแรงกว่าเดิม หนนี้ มิไฮโลวิช ทรุดลงภายในเวลาเพียง 6 เดือนหลังจากตรวจพบโรค และสุดท้ายก็อย่างที่เราได้รับข่าวเศร้า เขาเสียชีวิตเพราะโรคร้ายด้วยวัย 53 ปี ในวันที่ 17 ธันวาคม ที่ผ่านมา
"เราต่อสู้อย่างหนักหน่วงและยาวนานร่วมกับเขา โดยอยู่เคียงข้างเขาเสมอ การตระหนักว่าโรคนี้ไม่สามารถเอาชนะได้ตลอดไปและทุก ๆ ครั้ง แม้จะมีการรักษาขั้นสูงและความมุ่งมั่นที่น่าประทับใจ ก็ไม่สามารถบรรเทาความเจ็บปวดลึก ๆ ของการจากไปของเขาได้อย่างแน่นอน” แพทย์ผู้ดูแลอาการของ มิไฮโลวิช กล่าวหลังจากที่เขาต้องจากโลกนี้ไปตลอดกาล
ในวันที่ชาวเมือง โบโลญญา รู้ข่าวมิไฮโลวิช มีประชาชนมากมายมาที่โรงพยาบาลเพื่อวางดอกไม้ ผ้าพันคอ และร้องเพลงเพื่อส่ง ซินิซา มิไฮโลวิช เป็นครั้งสุดท้าย
"พวกเราทุกคนจะร้องเพลงเพื่อคุณต่อไป ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง มิสเตอร์ ซินิซา อย่าลืมไปสอนเหล่าเทวดาบนสวรรค์เตะฟรีคิกล่ะ” ข้อความบนผ้าพันคอของสโมสรที่แฟน ๆ เตรียมมาเขียนไว้แบบนั้น และนั่นคือการบอกลาที่ทำให้เราได้รู้ว่านอกจากจะเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมแล้ว ซินิซา มิไฮโลวิช ยังเป็นนักสู้ที่ทุกคนให้การยอมรับเป็นอย่างยิ่ง
แหล่งอ้างอิง
https://thelaziali.com/2022/12/16/eriksson-mihajlovic-more-than-player/
https://football-italia.net/tomiyasu-and-hickey-join-bologna-players-saying-goodbye-to-their-former-coach-mihajlovic/
https://thelaziali.com/2022/12/16/eriksson-mihajlovic-more-than-player/
https://www.thesun.co.uk/sport/football/18413002/bologna-squad-visit-boss-mihajlovic-hospital-leukaemia/