ชูโตะ มาจิโนะ : ดาวยิงจาก “หมู่บ้านนินจา” ผู้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่เจลีก
ชูโตะ มาจิโนะ กองหน้าทีมชาติญี่ปุ่นฟอร์มแรงของ โชนัน เบลล์มาเร คือนักเตะญี่ปุ่นคนล่าสุดที่จะได้ไปเล่นในยุโรปหลังจากย้ายไปอยู่กับ โฮลสไตน์ คีล ทีมในลีกรองของ เยอรมัน
เจ้าตัวเคยทำสถิติระดับประวัติศาสตร์เจลีกด้วยการยิงคนเดียว 4 ประตู ช่วยให้ทีมเอาชนะกัมบะ โอซากา ไปได้ 4-0 เขากลายเป็นคนแรกของเจลีกนับตั้งแต่ก่อตั้งมา 30 ปี ที่ยิง 4 ประตูใน 45 นาทีแรกอีกด้วย
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือท่าดีใจของ มาจิโนะ ที่เขามักจะประสานอินแบบ “นินจา” ทุกครั้งที่ทำประตูได้ มันมีความหมายว่าอะไร และมีที่มาจากไหน?
ติดตามเรื่องราวของเขาไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
จากเจ3 สู่เจ1
อันที่จริงชีวิตของ ชูโตะ มาจิโนะ ดูจะผูกพันกับฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก เมื่อ โอซามุ พ่อของเขาเคยเป็นนักฟุตบอลให้ทีมในบริษัทมาก่อน และเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาได้ว่า ชูโตะ ที่พ้องเสียงกับกับว่า “ยิงประตู” (Shuuto) ในภาษาญี่ปุ่น
“ผมไม่ได้เอาความฝันของตัวเองมาใส่ที่ชูโตะ แต่ก็อยากให้เขาเป็นนักฟุตบอล การยิงประตูคือส่วนสำคัญของฟุตบอล มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่ทุกคนจะจำได้” โอซามุ มาจิโนะ กล่าวกับ Tokai TV
ชูโตะ เริ่มเล่นฟุตบอลตั้งแต่ 4 ขวบ ตามพี่ชาย และโดดเด่นกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นตอนอยู่ชั้นประถม 4 เขายังเคยสร้างความฮือฮา ด้วยการยิงประตูแบบ “คิกออฟโกล” หรือเขี่ยแล้วยิงมาแล้ว
“เขายิงจากตรงนี้ คนที่ใส่หมายเลข 7 นั่นแหละ เป็นคิกออฟชูต (ยิงประตู) ด้วยการเตะแค่ครั้งเดียว ดูเหมือนว่าเขาจะมั่นใจในลูกเตะ ผมคิดว่าน่าจะ 30 เมตรได้” โอซามุกล่าวต่อ
“(นอกจากชูโตะ) ไม่มีผู้เล่นคนไหนที่เล็งว่าจะทำแบบนั้น”
ตอนมัธยมปลาย เขาย้ายจากจังหวัดมิเอะ ไปจังหวัดโอซากา เพื่อเล่นฟุตบอลให้โรงเรียนมัธยมปลายริเซชะ พร้อมกับยึดตำแหน่งตัวจริงได้ตั้งแต่อยู่มัธยม 4 และได้รับเชิญจากโยโกฮามา เอฟ มารินอส ตอนอยู่ชั้น ม.5 จนได้เซ็นสัญญากับทีมหลังเรียนจบ
อย่างไรก็ดี เขาไม่ได้มีคววามทรงจำที่ดีนักกับ เอฟ มารินอส เมื่อ มาจิโนะ ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ที่อยู่ซุ้มม้านั่งสำรองข้างสนาม และไม่ได้รับโอกาสลงเล่นแม้แต่นาทีเดียว ก่อนจะถูกปล่อยให้ กิรานวานซ์ คิตะคิวชู สโมสรในเจ3 ยืมตัวไปใช้งานในซีซั่นต่อมา
และที่นี่ก็ดูเหมือนจะเป็นที่ทางของ มาจิโนะ เขาใช้เวลาไม่นานก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะยิงได้ถึง 10 ประตูจาก 31 นัดในทุกรายการ พร้อมพากิราวานซ์ คว้าแชมป์เจ3 ได้สิทธิ์เลื่อนชั้นไปเล่นในเจ2 ได้สำเร็จ
ผลงานดังกล่าว ทำให้ กิรานวานซ์ ยอมควักกระเป๋ามาคว้าตัวมาร่วมทีมด้วยสัญญาถาวร และเขาก็ตอบแทนด้วยการยิงไป 7 ประตูกับอีก 7 แอสซิสต์ พาทีมจบใน 5 ของเจ2 รอดพ้นจากการตกชั้นอย่างไม่ยากเย็น
อย่างไรก็ดี นั่นก็เป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขากับกิราวานซ์ เมื่อจบซีซั่น 2020 โชนัน เบลล์มาเร ทีมในเจ1 ลีก ก็ดึงตัวเขาไปร่วมทีม ที่จะทำให้เขา ได้เล่นเป็นนักเตะไม่กี่คนที่ได้เล่นในเจ3 เจ2 และเจ1 ภายในระยะเวลาแค่ 3 ปี
ยิ่งไปกว่านั้น นั่นยังเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์
ดาวยิงจอมสร้างสถิติ
เพชรอยู่ที่ไหนก็ยังเป็นเพชรวันยังค่ำ คงจะเป็นคำจำกัดความที่ดีที่สุดของ มาจิโนะ เพราะแม้ว่าจะขึ้นมาเล่นในลีกสูงสุด แต่เขาก็ทำผลงานได้ไม่เลว ด้วยการทำไป 4 ประตูกับอีก 4 แอสซิสต์ ในฤดูกาลแรก ช่วยให้ เบลล์มาเร จบในอันดับ 12 ของตาราง
และในปี 2022 ก็กลายเป็นปีสร้างชื่อของเขาอย่างแท้จริง เมื่อจัดการพังตาข่ายคู่แข่งเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะการซัดไป 6 ประตูจาก 16 นัดในครึ่งแรกของฤดูกาล แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นการยิง 2 ประตู 2 นัดติดต่อกัน ที่ทำให้เขา กลายเป็นผู้เล่นคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสร ต่อจากวากเนอร์ โลเปซ ที่ทำไว้ตั้งแต่ปี 1998
ฟอร์มดังกล่าวทำให้ ฮาจิเมะ โมริยาสุ อดรนทนไม่ไหว ต้องเรียกเขามาติดทีมชาติเป็นการด่วน ก่อนที่เจ้าตัวจะได้ประเดิมสนามในฟุตบอลชิงแชมป์เอเชียตะวันออก พร้อมกับยิง 3 ประตูจาก 3 นัด พาทัพ “ซามูไรบลู” คว้าแชมป์ พร้อมตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของทัวร์นาเมนต์
ยิ่งไปกว่านั้น หลังกลับมารับใช้ชาติ ดูเหมือนจะยิ่งสร้างความมั่นใจให้ มาจิโนะ มากขึ้น เมื่อเขารัวตาข่ายคู่แข่งแบบไม่พัก ยิงไปทั้งสิ้น 13 ประตูจาก 30 นัด คว้ารองดาวซัลโวเจลีก 2022 และเป็นแข้งชาวญี่ปุ่นที่ซัดประตูได้มากที่สุดในฤดูกาล
และผลงานดังกล่าวยังได้ให้รางวัลกับเขา เมื่อในช่วงปลายปี กองหน้าจากจังหวัดมิเอะ มีชื่อติดทีมชาติญี่ปุ่นไปฟุตบอลโลก 2022 แทนที่ ยูตะ นาคายามะ ที่ได้รับบาดเจ็บ แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสได้สัมผัสเกมแม้แต่นาทีเดียว
“มันเป็นทัวร์นาเมนต์ที่น่าเสียใจ และผมจะไม่มีวันลืมเด็ดขาด” มาจิโนะ กล่าวกับ NHK
“ผมไม่ได้เล่นรอบคัดเลือกกับทุกคน ผมจึงไม่ได้รับความไว้วางใจ”
แต่เขาก็ไม่ได้ยอมแพ้ และพยายามพิสูจน์ตัวเองอยู่เสมอ และในเจลีก 2023 มาจิโนะ ก็ทำให้เห็นว่าเขาดีพอ ด้วยการประเดิมทำ 2 แอสซิสต์ ในเกมบุกถล่ม ซางัน โทสุ 5-1
ก่อนที่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ชื่อเขาจะถูกพูดถึงอีกครั้ง หลังเหมาทำคนเดียว 4 ประตูตั้งแต่ครึ่งแรก ช่วยให้ เบลล์มาเร เปิดบ้านคว้าชัยเหนือกัมบะ โอซากา 4-1 พร้อมขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 8 ของตาราง
ทั้งนี้ 4 ประตูที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่ทำให้ มาจิโนะ ทำแฮตทริคแรกของตัวเองในลีกสูงสุดเท่านั้น แต่ยังทำให้เขากลายเป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ของเจลีกที่ยิงได้ 4 ประตูตั้งแต่ 45 นาทีแรกอีกด้วย
“ในปีครบรอบ 30 ปีเจลีก ผมอยากจะเป็นผู้เล่นที่สร้างชื่อในประวัติศาสตร์เจลีกด้วยสไตล์การเล่นแบบนี้ ผมจะพยายามอย่างหนักแบบเกมต่อเกม และทำผลงานให้ดีเพื่อมีชื่อติดทีมชาติ” มาจิโนะ กล่าวเมื่อต้นฤดูกาล
อันที่จริง มาจิโนะ ถือเป็นกองหน้ารุ่นใหม่ ที่นอกจากมีร่างกายที่แข็งแกร่ง ด้วยส่วนสูง 185 เซนติเมตรแล้ว เขายังถือเป็นผู้เล่นที่มีความเร็ว แถมยังใช้เท้าซ้ายได้ไม่เลว จนสามารถซัดประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
อย่างไรก็ดี เขายังมีจุดเด่นที่สำคัญ นั่นคือท่าดีใจสไตล์ “นินจา”
ลูกหลานหมู่บ้านนินจา
มันคือท่าดีใจที่เรียบง่าย แต่เป็นเอกลักษณ์ และทุกครั้งที่ มาจิโนะ ทำประตูได้ เขาจะวิ่งไปที่กองเชียร์ พร้อมกับทำท่าประสานอิน แบบเดียวกับที่เห็นในอนิเมะอย่าง นินจาคาถา โอ้โฮเฮะ หรือนินจาฮัตโตริ ทำกัน
อย่างไรก็ดี ท่าดีใจของเขา ไม่ได้มาจากอนิเมะ หรือมังงะ แต่มาจากเรื่องจริง จากการที่เมืองอิงะ จังหวัดมิเอะ บ้านเกิดของ มาจิโนะ นั้นคือหมู่บ้านนินจาที่แท้จริงของสำนักนินจาอิงะ ที่สืบทอดวิชานินจามาตั้งแต่สมัยโบราณ
“ผมอยากจะสร้างการแสดงออกที่มีแค่ผม ก็เลยเริ่มจากนินจา ซึ่งดังในเมืองอิงะบ้านเกิดของผม” มาจิโนะกล่าวกับ Tokai TV
“มีผู้คนจากบ้านเกิดมากเลยที่เชียร์ผม ผมอยากจะแสดงความขอบคุณพวกเขา ผมไม่มีทางเลือกนอกจากตอบแทนคนที่สนับสนุนผม และจะทำให้เห็นวิธีการเล่นที่มุ่งมั่นของผมให้พวกเขาดู”
ขณะเดียวกัน บ้านเกิดขอเขายังมีพิพิธภัณฑ์นินจา ซึ่งเป็นแห่งเดียวในญี่ปุ่น ที่นอกจะบอกเล่าความเป็นมาและเรื่องราวของนินจาแล้ว ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์การเป็นนินจา เช่น การปาดาวกระจาย อีกด้วย ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นท่าดีใจสไตล์นินจาของ มาจิโนะ
“ตอนที่ผมไปปาดาวกระจาย ผมหยอกล้อด้วยการทำท่านินจา พอยกมือขวาขึ้น เขาก็โกรธมาก และคนนั้นก็กลายเป็นอาจารย์ของผม” มาจิโนะ ย้อนความหลังกับ Nikkan Sports
มาจิโนะ เล่าว่าสต้าฟคนหนึ่งที่ผมยาวได้สอนท่าประสานอินที่ถูกต้อง นั่นคือมือซ้ายต้องตั้งขึ้น และหลังจากกลับมา เขาก็ฝึกท่านี้อย่างจริงจัง และมาใช้เป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2022 จนกลายเป็นไวรัลไปทั่วญี่ปุ่น
“ผมฝึกอยู่หน้ากระจกประมาณ 1 ชั่วโมงทุกวันก่อนไปอาบน้ำ ผมใช้เวลาครึ่งปีเห็นจะได้” มาจิโนะ กล่าวต่อ
ก่อนที่ ท่านินจา จะกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขา รวมถึงยังทำให้เขาได้รับการแต่งตั้งจากสภานินจาญี่ปุ่น ให้เป็นทูตอย่างเป็นทางการ เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา
“มาจิโนะซังที่เกิดที่เมืองอิงะ แสดงให้เห็นท่านินจาทุกครั้งหลังทำประตูได้ และตัวตนของเขาก็ถูกรายงานไปทั่วญี่ปุ่น ซึ่งมีส่วนทำให้นินจามีความแพร่หลาย” แถลงการณ์ของสภานินจาระบุ
เผยแพร่ไปทั่วโลก
“ผมยังเป็นแค่เด็กฝึกหัด จึงรู้สึกละอายที่ถูกเรียกว่าอาจารย์ แต่มันก็เป็นหนึ่งในท่าที่แสดงให้เห็นถึงการเตรียมใจ” มาซาทาดะ ผู้สอนการประสานอินที่ถูกต้องให้ มาจิโนะ กล่าวกับ Tokai TV
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ยินว่าทำได้ถูกต้อง และถูกนำไปใช้”
มาจิโนะ เคยกล่าวเอาไว้ว่า เป้าหมายของเขาในปีนี้อยู่ที่ 18 ประตู และตอนนี้เขาก็ยิงไปแล้ว 5 ลูก ซึ่งหมายความว่าแฟนบอล จะได้เห็นท่า นินจาของเขาอีกอย่างน้อย 13 ครั้งหากยิงได้ถึงเป้า
และเมื่อถึงตอนนั้น ชาวญี่ปุ่น รวมไปถึงแฟนเจลีกในต่างประเทศ อาจจะรู้จักกับนินจายิ่งขึ้น ไม่มากก็น้อย
今日は「忍者の日」だそうです🥷🥷🥷
— 湘南ベルマーレ (@bellmare_staff) February 22, 2023
湘南の忍者 #町野修斗 選手が
2月22日2時22分をお知らせします。#bellmare #ベルマーレ pic.twitter.com/f41DeviNjA
แหล่งอ้างอิง
https://www.tokai-tv.com/tokainews/feature/article_20221123_23243
https://www3.nhk.or.jp/news/special/athlete-words/article/article_335.html
https://www.nikkansports.com/soccer/japan/news/202211090000799.html
https://mainichi.jp/articles/20221127/k00/00m/050/186000c
https://www.jleague.co/en/news/shuto-machino-makes-history-with-four-first-half-goals/