ดานโญ่ เซียก้า : จากแข้งแอฟริกันโนเนม สู่ตำนานกิเลนผยอง

ดานโญ่ เซียก้า : จากแข้งแอฟริกันโนเนม สู่ตำนานกิเลนผยอง
ธัญเทพ สังขะพงศ์

ยอมรับตามตรง ผมเคยต้องการเล่นให้ทีมชาติไทย เพราะผมอยู่ที่นี่มาก็เกือบ 10 ปีแล้ว

จากชีวิตของเด็กชายที่เกิดและเติบโตมาในไอวอรี่ โคสต์ ประเทศทางทิศตะวันตกของแอฟริกา ที่ครอบครัวมีฐานะยากจน สู่การย้ายถิ่นฐานกว่าหมื่นไมล์มายังเมืองไทย

ชีวิตใหม่ของ “ดานโญ่ เซียก้า” เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาค้าแข้งในประเทศไทยเริ่มสานฝันของตัวเองสู่การเป็นแข้งอาชีพ จนในที่สุดเขาก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นตำนานสโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด

ติดตามเรื่องราวของจอมทัพชาวไอวอรี่ โคสต์ กับชีวิตที่ผลิกผันจากเด็กยากจนไม่มีรองเท้าใส่สู่การเป็นตำนานแข้งไทยลีกไปพร้อมกันที่ Think Curve - คิดไซด์โค้ง

Photo : Muangthong United

ชีวิตเริ่มที่แอฟริกา

หากจะรับรู้เรื่องราวของ ดานโญ่ เซียก้า ก็ต้องย้อนไปถึงสมัยที่ยังอยู่ในแอฟริกา อันเป็นถิ่นฐานของเขากันเสียก่อน

ก่อนจะกลายมาเป็นแข้งตำนานไทยลีกชีวิตของ ดานโญ่ วัยเด็กมีครอบครัวฐานะยากจนพ่อและแม่ไม่สนับสนุนให้เขาเล่นฟุตบอลเพราะมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระและไม่มีประโยชน์ แต่ยังโชคดีที่เขามีพี่ชายเป็นนักฟุตบอลทำให้ได้มีโอกาสเรียนรู้ศาสตร์ลูกหนัง

ด้วยเหตุนี้ทำให้ ดานโญ่ ซึบซัมการเล่นฟุตบอลมาจากพี่ชายคนโต อย่างไรก็ตามชีวิตที่ ไอวอรี่ โคสต์ นั้นค่อนข้างยากลำบากเนื่องจากครอบครัวมีฐานะยากจนการจะซื้อรองเท้าฟุตบอลให้สักคู่คงไม่ต้องพูดถึง แล้วยิ่งสนามฟุตบอลในประเทศเป็นดินแดงทำให้เขาต้องเตะบอลเท้าเปล่า

มีบางช่วงที่เราไม่มีตังค์ซื้อรองเท้าเตะบอลเลย เล่นบอลที่ไม่ได้ใส่รองเท้าเพราะส่วนมากที่แอฟริกาประมาณ 70% มีแต่คนจนยากมากที่จะมีตังค์ไปซื้อรองเท้า” ดานโญ่ เซียก้า กล่าว

และแล้วโอกาสครั้งสำคัญของชีวิตก็มาถึงเขาใช้เท้าเปล่าเปลือยทดสอบความสามารถจนได้เข้าไปอยู่อะคาเดมีของ “JMG” สาขาไอวอรี่ โคสต์ ที่สร้างนักเตะดังระดับโลกอย่าง โคโล ตูเร่ ,เอ็มมานูเอล เอบูเอ้ สองปราการหลัง “ปืนใหญ่” อาเซน่อล รวมถึง ดิดิเยร์ โซโกรา แข้งดังในลีกเอิง และตำนาน สิงห์บูล อย่าง ดิดิเยร์ ดร็อกบา 

แม้ศักยภาพฝีเท้าจะไม่ถึงขั้นไปเล่นในลีกยุโรป แต่เขาก็มีดีที่ได้ลงเล่นให้กับทีมดังในลีก ไอวอรี่ โคสต์ อย่าง เซเว สปอร์ต เดอซานเปโตร รวมถึงเคยติดทีมชาติ ไอวอรี่ โคสต์ ตั้งแต่ U-17,18,19,20 ปี ก่อนแยกทางกับทีมเพราะแนวทางไม่ตรงกัน

มีทีมจากเบลเยี่ยมสนใจเรา แต่สัญญายังเหลืออยู่กับสโมสร 6 เดือนผู้ใหญ่ไม่ยอมปล่อยเราไป แล้วเรารู้สึกไม่โอเคจากนั้นเขาเอาสัญญามาให้เซ็น เราไม่ยอมเซ็นแล้วก็แยกย้าย” ดานโญ่ เซียก้า กล่าว

สู่ถนนลูกหนังเมืองไทย

ด้วยการชักชวนของเพื่อนซี้อย่าง “อากาซู” ที่เข้ามาค้าแข้งที่ประเทศไทยกับสโมสรเมืองทองฯก่อนแล้ว และต้องการที่จะหาความท้าทายใหม่กับ บีอีซี เทโร ศาสน สมัยนั้น ทำให้การมาของ ดานโญ่ ครั้งนี้เหมือน “ตัวตายตัวแทน

ตอนที่เพื่อนติดต่อมา ผมไม่ได้คิดอะไรมากเลย อันนี้เป็นโอกาสที่ดีผมจึงตัดสินใจมาที่นี่” 

จริง ๆ ตอนแรกไม่รู้จักประเทศไทยนะที่รู้ได้ยินสมัยก่อนแบบ คนแอฟริกาชอบเรียกว่าบางกอกมาซื้อของไปขายมาซื้อเสื้อผ้าไปขาย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินนะ” ดานโญ่ เซียก้า กล่าว

Photo : Muangthong United

เมื่อได้เข้ามาอยู่ในดินแดนใหม่ การปรับตัวเพื่อให้เข้ากับวัฒนธรรม ภาษา อาหาร ถือเป็นเรื่องสำคัญเพื่อให้ใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น และด้วยการที่เจ้าตัวไม่เก่งเรื่องภาษาอังกฤษทำให้ต้องเริ่มต้นจากการใช้ภาษา “ฟุตบอล” ในการสื่อสารกับเพื่อนเป็นอย่างแรก

ยุคนั้นนักเตะจากแอฟริกากำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะค่าเหนื่อยไม่แพง แถมคุณภาพดี ดังนั้นการมาของ ดานโญ่ สโมสรตั้งความหวังในตัวเขาไม่น้อย เพราะ กิเลนผยอง ในเวลานั้นยังอยู่ในยุคเริ่มต้นบนลีกอาชีพที่กำลังฝ่าฟันอยู่ในดิวิชั่น 1 (T2)

การมาของเขาสร้างความประหลาดใจให้กับ “โรเบิร์ต โปรคูเรอร์” ผู้จัดการทีมของกิเลนผยอง ณ เวลานั้นเพราะแทบไม่ต้องใช้เวลาปรับตัวก็สามารถเล่นร่วมกับทีมได้ดี 

Photo : Maraleina F.C.

นี่เป็นช่วงที่ผมรู้สึกใช้ชีวิตแบบนักฟุตบอลอาชีพจริง ๆ เพราะกองเชียร์เริ่มมาที่สนาม คนเริ่มรู้จักเรา เวลาเราชนะ เราดูกองเชียร์ด้วยเราก็มีความสุขดี ก็ต้องปรับตัวเพราะว่าที่นี่ดูเป็นบอลอาชีพมากขึ้น” ดานโญ่ เซียก้า กล่าว

นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเป็นกำลังหลักพาทีมสร้างประวัติศาสตร์เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดครั้งแรกในปี 2009 ก่อนจะต่อยอดความสำเร็จคว้าแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก ทันทีตั้งแต่ปีแรกที่เลื่อนชั้น กับผลงานยิง 10 ประตู รั้งอันดับ 3 ทำเนียบดาวซัลโวในฤดูกาลนั้น

ปีแรกที่เราเป็นแชมป์ ผมเห็นคนร้องไห้ นี่เป็นความสุขของเรานะ ทุกครั้งที่นั่งดูบอลเราชนะ เรายิงเข้า คนดีใจ” ดานโญ่ เซียก้า กล่าว

หลังประสบความสำเร็จบนลีกสูงสุดสโมสรมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทีม ผู้เล่นฝีเท้าดีมีชื่อเสียงระดับทีมชาติเริ่มเข้ามา และต่างชาติถูกคว้ามาเสริมทัพไปพร้อม ๆ กับมาตรฐานของ เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ยกระดับสู่ยักษ์ใหญ่ไทยลีก ทว่า ดานโญ่ ยังคงยืนโดดเด่นในแผงมิดฟิลด์ และเป็นตัวเลือกแรกเสมอ รวมถึงได้รับโอกาสสวมปลอกแขน “กัปตันทีม” อีกด้วย

Photo : Muangthong United

สำหรับ ดานโญ่ เมืองทอง เปรียบเสมือน “บ้านหลังที่สอง” ทุกนาทีในสีเสื้อลงเล่นด้วยความทุ่มเทแพชชั่นเกินร้อยเสมอไม่นานก็กลายเป็นขวัญใจแฟนกิเลนผยองได้ทันที ถัดมาในปี 2010 เขามีส่วนนำต้นสังกัดป้องกันแชมป์ไว้ได้ซึ่งถือเป็นแชมป์ไทยลีกสมัยที่ 2 ของเขากับสโมสร 

แต่ปีถัดมา 2011 กลับต้องเสียแชมป์ให้ บุรีรัมย์ พีอีเอ ทีมคู่แค้นที่เริ่มต้นสร้างความยิ่งใหญ่เป็นมหาอำนาจลูกหนังทีมใหม่ของไทย

อย่างไรก็ตามในปี 2012 เป็นปีที่ “กิเลนผยอง” ทวงคืนบัลลังก์แชมป์อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยขุมกำลังผู้เล่นชั้นยอดที่ประสานงานกันยอดเยี่ยม แดนกลางมี ดานโญ่ เซียก้า ยืมบัญชาเกม อีกทั้งการมาของ มาริโอ ยูรอฟสกี้ เข้ามาเติมเต็มเกมรุกได้อย่างลงตัว ภายใต้การคุมทัพของ “สลาวิซา โยคาโนวิช” กุนซือชาวเซอร์เบีย

ปี 2012 ผมว่าเป็นปีที่ผมฟอร์มระดับผมรู้สึกว่าสูงถึงขนาดนี้หมายความว่า คุณเก่งแล้ว ปีนั้นเราไม่ได้แพ้ใครด้วย และเราเล่นดีมากชนะตลอดเวลาทำยังไงยากแค่ไหน พวกเราก็ชนะ” ดานโญ่ เซียก้า กล่าว 

ปี 2012 ผลงานตลอดการลงเล่นให้ กิเลนผยอง เขาคือฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้ทีมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม จากการลงเล่น 34 นัด ช่วยเมืองทองเก็บชัยชนะ 25 เสมอ 9 ไม่เคยแพ้ใคร พร้อมทวงคืนบัลลังก์แชมป์อย่างยิ่งใหญ่จาก บุรีรัมย์ ในฐานะแชมป์ไร้พ่ายทีมแรก นอกจากนี้เขายังลงเล่นให้ทีมครบ 100 นัด และถูกยกย่องเป็น “ตำนานสโมสร

ตลอด 7 ปี ในสีเสื้อ เมืองทองฯ ดานโญ่ เซียก้า ช่วยทีมคว้าแชมป์ไทยลีก 3 สมัยในปี 2009, 2010, 2012 พ่วงด้วยแชมป์พระราชทาน ก. ในปี 2010 จากนั้นก็ย้ายไปร่วมทีม อินทรีเพื่อนตำรวจ,ขอนแก่น ยูไนเต็ด และ บางกอก เอฟซี โดยสองทีมหลังเจ้าตัวไม่ได้เล่นเนื่องจากมีอาการบาดเจ็บเรื้อรังจนตัดสินใจแขวนสตั๊ดในเวลาต่อมา

คุณมาประเทศวันแรกไม่มีใครรู้จัก คุณมาทำเต็มที่ให้สโมสร คนรู้จักคุณ แล้วก็เขาอยากให้ติดทีมชาติอีก นี่แหละที่ผมรู้สึกว่าเป็นประเทศที่ยอมรับเรา ทำให้เรามีชื่อเสียงที่ทำให้เราเป็นสิ่งที่เราเป็นวันนี้ เป็นประเทศที่เรารักมากอยากใช้ชีวิตที่นี่ตลอดไป เพราะเจอคนดีมากช่วยเราตลอด

ผมเคยนั่งคิดฝันว่า ผมใส่เสื้อทีมชาติไทย เคยฝันว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้แต่ฝันไม่ได้เป็นเรื่องจริงไม่เป็นไร ผมรักประเทศนี้และจะรักตลอดชีวิต” ดานโญ่ เซียก้า กล่าว

จากในสนามสู่บทบาทข้างสนาม

ดานโญ่ เซียก้า เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของนักฟุตบอลอาชีพที่ประสบความสำเร็จอย่างมากจากแอฟริกาที่ต้องเผชิญความยากลำบาก ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะระดับอาชีพในไทยจนถูกยกย่องเป็น “ตำนานไทยลีก

เขาไม่เคยลืมบุญคุณของ เมืองทอง ที่ให้โอกาสเข้ามาค้าแข้งในประเทศไทย อีกทั้งสโมสรยังให้การสนับสนุนในตัวเขากับบทบาทการเป็น “โค้ช” 

Photo : Muangthong United

เราคุยกับสโมสรแล้วบอกว่า ถ้าคุณเล่นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร คุณเป็นคนที่เต็มที่ให้กับสโมสรแห่งนี้ คุณเป็นคนที่ทำตลอดเวลาเพื่อสโมสรแห่งนี้ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เราดึงคุณมาเป็นสต๊าฟฟ์โค้ชก็ได้ไม่มีปัญหา” ดานโญ่ เซียก้า กล่าว

ผมได้รับโอกาสที่ดีมากในการเป็นโค้ช แม้ว่าตัวผมเองจะไม่มีไลเซนต์ในการเป็นโค้ช แต่ด้วยประสบการณ์ที่รับใช้ทีมมานาน สิ่งนี้แหละที่ผู้บริหารทีมอยากให้นำเอามาสอนนักเตะเมืองทอง

ปัจจุบัน ดานโญ่ เซียก้า รับบทบาทเป็นผู้ช่วยผู้ฝึกสอนของ เมืองทองฯ กำลังสร้างเลือด กิเลนผยอง ยุคใหม่

ถึงแม้จะปิดฉากเส้นทางค้าแข้งไม่สวยงามนัก แต่วันนี้ ดานโญ่ เซียก้า หวนกลับสู่บ้านหลังเก่า และพยายามถ่ายทอด DNA กิเลนฯ สู่แข้งรุ่นใหม่เพื่อคืนความสำเร็จของสโมสรเหมือนยุคสมัยของเขาที่เคยสร้างชื่อ และเป็นตำนานอันยิ่งใหญ่อีกครั้ง

ดานโญ่ เซียก้า ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของนักฟุตบอลต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทยแล้วประสบความสำเร็จ ก่อนก้าวขึ้นมาเป็น "ตำนานเมืองทอง" จนถึงทุกวันนี้

เขาไม่เคยลืมถึงความยากลำบากในวัยเด็ก และนั่นได้กลายเป็นหนึ่งในแนวคิดสำหรับการตอบแทนสโมสร เมืองทอง ที่ให้โอกาสเขา โดย ดานโญ่ เป็นหนึ่งในโค้ชเยาวชนของอะคาเดมี กิเลนผยอง ชุดเล็ก พร้อมเป้าหมายในการพัฒนาเยาวชนสู่ชุดใหญ่

อย่างไรก็ตามตัวเขามองว่าเด็กไทยมีโอกาสเยอะมากทั้งในเรื่องของ สนาม, อุปกรณ์, รองเท้า และสิ่งอำนวยต่าง ๆ ที่มากกว่าเด็กประเทศอื่น แต่สิ่งที่เด็กไทยยังขาดนั่นก็คือเรื่องของ “ทัศนคติ” ในการเล่นฟุตบอล 

ตอนผมอยู่ แอฟริกา คนที่นั่นเกิน 80% เกิดมาในครอบครัวที่ไม่มีตังค์ แต่เด็กไทยส่วนใหญ่ที่เล่นฟุตบอลเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะระดับนึง ทำให้ความมีวินัยความพยายามแตกต่างกันกับเด็กที่อื่น

สิ่งที่อยากบอกเด็กไทยว่า ถ้าเราตัดสินใจว่าอยากเป็นนักฟุตบอลบางเรื่องก็ไม่ควรจะทำ เช่น นอนดึก กินเบียร์ดื่มเหล้า ไม่ได้บอกว่าคนกินเบียร์กินเหล้าเล่นไม่ดี แค่อยากจะบอกว่าบางเรื่องถ้าเราหลีกเลี่ยงได้น่าจะดีกว่า เพราะว่าชีวิตนักฟุตบอลสั้นมาก

เมื่อก่อนมีอะคาเดมีน้อยมากถ้าเทียบกับตอนนี้ คุณเล่นบอลแปปเดียวก็ 25-26 แล้วทุกคนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอายุเริ่มเยอะเเล้วทุกคนเริ่มแก่แล้วเพราะเด็กรุ่นใหม่เริ่มเยอะขึ้นแล้ว

จากการตระหนักถึงปัญหาของเยาวชนไทย ทำให้ ดานโญ่ อยากรณรงค์ให้เด็กไทยมีความตั้งใจมากกว่านี้ รวมถึงอยากที่จะถ่ายทอดทัศนคติของตัวเองเพื่อให้เยาวชนพัฒนาตัวเอง

Photo : Muangthong United

สิ่งแรกที่อยากให้เด็กไทยปรับคือเรื่องของ วินัย เวลา โดยเฉพาะเรื่องของการซ้อม อยากให้ตอนซ้อมจริงจังเหมือนแข่งกัน

ต้องยืน 11 ตัวแรกให้ได้ถ้าคุณไม่เก่งจริงคุณไม่มีวันยืน 11 ตัวแรกได้อยากให้เด็กไทยมองแบบนี้เวลาซ้อมเวลาเล่นอยากให้ตั้งใจตลอดเวลาต้องมีวินัยและสมาธิตลอดเวลา

เรามีเวลาซ้อมแค่ 2 ชม. ทำไมเรามีสมาธิ 2 ชม.ไม่ได้ หลังจากนั้นอยากจะทำอะไรก็ไปทำ 

สุดท้ายแค่อยากจะบอกเด็กไทยว่าการที่เรามีครอบครัวที่คอยซัพพอร์ต และสนับสนุนเราในทุก ๆ ด้านควรจะทำให้เต็มที่เพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้มีกันทุกคน

ผมอยากบอกเด็กไทยที่อยู่ในอะคาเดมี เห็นพ่อแม่มาส่งซ้อมตลอดเวลารอซ้อมเสร็จแล้วก็พาไปกินข้าว หรือไม่ก็ซื้อรองเท้าแพง ๆ ให้ ดูพ่อแม่จริงจังกว่าเด็ก ดานโญ่ เซียก้า ให้สัมภาษณ์กับทีมงานคิดไซด์โค้ง

นั่นหมายความว่าอยากให้เด็กทุกคนทำเต็มที่เมื่อได้รับโอกาสที่ดีแบบนี้แล้ว” 

แหล่งอ้างอิง

แชร์บทความนี้
Content Creator - คิดไซด์โค้ง-ThinkCurve
mask-bg
logo-black

SOCIAL MEDIA

สนใจโฆษณาติดต่อ