ดิโอโก หลุยส์ ซานโต : จากตำนานกองหน้าไทยลีก สู่ว่าที่ยอดเอเย่นต์
หากให้เอ่ยชื่อนักฟุตบอลของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เคยค้าแข้งกับทีมมาอย่างยาวนานจนเป็นตำนานของสโมสร แน่นอนว่าทุกคนย่อมนึกถึงนามของ “ดิโอโก หลุยส์ ซานโต”
อย่างไรก็ตาม แข้งรายนี้ฝากฝังผลงานไว้กับไทยลีกมากมายในช่วงเวลาที่อยู่กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตลอด 4 ปี ซึ่งปัจจุบันแข้งรายนี้แขวนสตั๊ดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
Think Curve - คิดไซด์โค้ง ขอพาแฟนฟุตบอลไทยทุกท่านมาติดตามเรื่องราวของ ดิโอโก หลุยส์ ซานโต จากแข้งแซมบ้า สู่ตำนานนักเตะบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เรื่องราวความเป็นมาอย่างไรติดตามได้พร้อมกันที่นี่
ของดีจากแซมบ้า
ปี 2014 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นแชมป์ไทยลีก แต่ว่ามีความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงนักเตะต่างชาติทั้งหมดภายในทีม โดยเหลือเพียงแค่ “อันเดรส ตูเญซ” แนวรับทีมชาติสเปนไว้เพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนนักเตะต่างชาติคนอื่น ๆ ถูกโละทิ้งออกทั้งหมด
ตอนนั้นเอง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จึงต้องมองหาแข้งรายใหม่เข้ามา… ซึ่งชื่อของ “ดิโอโก หลุยส์ ซานโต” ก็อยู่ในลิสต์รายชื่อแรก ๆ ที่ทีมอยากจะเสริมเข้ามา
ณ เวลานั้น ดิโอโก ยังค้าแข้งอยู่ที่ พัลเมรัส สโมสรที่มีชื่อเสียงอย่างมากในบราซิล และต้องการหาความท้าทายใหม่ ๆ ที่ประเทศไทย ปี 2015 เขาย้ายมายัง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลของปีนั้น
“ตอนที่ผมได้ข้อเสนอจาก บุรีรัมย์ ผมไม่รู้เลยว่าความจริงมันเป็นยังไง ผมไม่มีความรู้เรื่องฟุตบอลลีกประเทศไทยเลย ผมไม่สามารถโกหกเรื่องนั้นได้ แต่ผมมองว่าการที่พวกเขาเสนอสัญญามาให้ผมสองปีเป็นการการันตีชีวิตการค้าแข้งของผมได้” ดิโอโก หลุยส์ ซานโต กล่าว
การมาค้าแข้งของ นักเตะแซมบ้า รายนี้ล้วนเต็มไปด้วยความคาดหวังจากเเฟนบอล เนื่องจากดีกรีของชายคนนี้นั้นไม่ธรรมดา เคยติดทีมชาติบราซิล U23 นักเตะชุดนั้นประกอบด้วยแข้งดังมากมายไม่ว่าจะเป็น ติอาโก ซิลวา, มาร์เซโล, โรนัลดินโญ่ รวมถึง รามิเรซ
แต่น่าเสียดายที่ ดิโอโก ได้รับอาการบาดเจ็บทำให้พลาดการไปเล่น โอลิมปิก เกมส์ ที่ปักกิ่ง ในปีนั้น อย่างไรก็ตาม เขาก็เป็นหนึ่งในนักเตะที่เคยค้าแข้งอยู่กับ โอลิมเปียกอส ทีมดังจากลีกบราซิลที่เคยไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รวมถึงเคยได้รับความสนใจจากทีมยักษ์ใหญ่ใน พรีเมียร์ลีก อย่าง “ลิเวอร์พูล”
“เป้าหมายของผมตอนอยู่กับ โอลิมเปียกอส ผมเล่นได้ดีมากในซีซั่นแรก แล้วผมได้รับข้อเสนอจาก ลิเวอร์พูล จริง ๆ ผมมีโอกาสได้เล่นกับ เลโต้ นักเตะของ ลิเวอร์พูล ที่ย้ายมาเล่นกับ โอลิมเปียกอส แบบยืมตัว ทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ตั้งใจจะแลกตัวผมกับ เลโต้ แต่ทาง โอลิมเปียกอส ปฏิเสธข้อเสนอนั้นไป” ดิโอโก หลุยส์ ซานโต กล่าว
ยอมปฏิเสธ ลิเวอร์พูล อาร์เซน่อล และฟิออเรนตินา เพื่อเดินทางข้ามน้ำข้ามทวีปมายังเอเชีย แต่สุดท้ายแล้วการเป็นตำนานของเขา ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นที่ยุโรปเสมอไป…
เหมือนตัวอีดิท
ดิโอโก มาเยือนไทยลีกครั้งแรกในปี 2015 กับเลขไมล์ชีวิตวัย 28 ปี เรียกได้ว่าอยู่ในช่วงกำลังพีค ซึ่งการมาในครั้งนี้ของเขามาแทนตำแหน่งของ การ์เมโล กอนซาเลซ แข้งชาวสเปนที่พึ่งออกจากทีมไป
ฤดูกาลแรกบนเวทีไทยลีกของ ดิโอโก ยิงไปทั้งหมด 33 ประตูจากการลงเล่น 32 เกม ช่วยให้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คว้าทุกแชมป์ในประเทศไทย เป็นจำนวน 5 แชมป์ ประกอบด้วย (ไทยพรีเมียร์ลีก, ไทยเอฟเอคัพ, ไทยลีกคัพ, ฟุตบอลถ้วยพระราชทาน และแม่โขงคลับแชมเปี้ยนชิพ) ซึ่งยังไม่เคยมีทีมไหนในทวีปเอเชียทำได้มาก่อน
“เคล็ดลับในการปรับตัวของผมใน ไทยลีก อย่างที่ผมบอกไปว่าผู้เล่นหลายคนช่วยผมอย่างมากที่บอกไป มีโค้ชเป็นชาวบราซิล เพื่อน ๆ รอบตัวอย่าง มาเชน่า การมีผู้เล่นดี ๆ หลายคนอยู่ล้อมรอบตัวคุณมันคือสิ่งที่ดีที่สุด”
“ปี 2015 พวกเรามีกลุ่มผู้เล่นที่อยู่ในช่วงอายุที่พีคในการค้าแข้ง 25, 27 หรือ 28 ปี มาเชน่า อาจจะ 32 ปี ตูเนส ยังหนุ่มยังแน่น แล้วทีมตอนนั้นมันมีคุณภาพที่ดีจริง ๆ พวกเราโชคดีที่ทำผลงานได้ดี ถ้าโชคดีกว่านั้นอาจไปได้ไกลถึงรอบชิงในรายการ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก”
“พวกเราเล่นได้ดีมาก ๆ ในปีนั้น ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายการปรับตัวของผมใน ไทยลีก ออกมาเป็นคำพูดยังไงดี แต่ผมและผู้เล่นต่างชาติคนอื่น ๆ ปรับตัวได้ดี ใช้เวลาเร็ว แล้วผมก็เล่นได้ดี” ดิโอโก หลุยส์ ซานโต กล่าว
จนตอนนั้นถึงขั้นมีคำพูดติดปากแฟนบอลชาวไทยเลยว่า บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อยู่ได้ด้วย “ระบบดิโอโก” “อะไรก็ดิโอโก” “คิดไม่ออกบอกดิโอโก” “เดี๋ยวดิโอโกจัดให้” เป็นต้น
สิ่งที่ทำให้ระบบ ดิโอโก เกิดขึ้นจริง ในปีถัดมา ดิโอโก มีอาการบาดเจ็บทำให้สโมสรต้องถอดเขาออกจากรายชื่อแข้งที่จะลงสนามบนเวทีไทยลีก ปี 2016 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พลาดการคว้าแชมป์ไทยลีกให้กับทีมคู่คับคู่แค้นอย่าง เมืองทอง ยูไนเต็ด โดยตัวเขาลงสนามไปทั้งหมด 11 เกมทำได้เพียง 8 ประตู ตลอดฤดูกาล
อย่างไรก็ตาม ดิโอโก เองก็ออกมา ยอมรับภายหลังว่าไม่ใช่แค่อาการบาดเจ็บของตัวเขาที่ทำให้ทีมพลาดแชมป์ในปีนั้น แต่มีปัจจัยอื่น ๆ อีก รวมถึงการย้ายไปของผู้เล่นคนสำคัญของทีมอย่าง “ธีราธร บุญมาทัน” ที่ย้ายไปร่วมทีม เมืองทอง ยูไนเต็ด
“ผมรู้อยู่ว่าตัวผมสำคัญสำหรับทีม เริ่มต้นเกมแรกของฤดูกาลได้ดี กำลังไปได้สวยตั้งแต่ปีแรก แต่พอมาฤดูกาลที่สองผมได้รับบาดเจ็บ แต่ผู้เล่นเพียงคนเดียวคงไม่ได้สามารถเปลี่ยนแปลงทีมได้มากขนาดนั้น ธีราทร ย้ายออกไป ปีนั้นเรามีปัญหาเรื่องอื่น ๆ มากมาย”
“ที่ไม่ใช่แค่เรื่องอาการบาดเจ็บของผมหรอก สถานการณ์แบบนี้มันสามารถเกิดได้กับทุกทีม บางครั้ง บางเวลา ไม่ใช่แค่เรื่องของอาการบาดเจ็บของผมเพียงอย่างเดียว” ดิโอโก หลุยส์ ซานโต กล่าว
สุดท้ายปี 2016 ดิโอโก สลัดอาการบาดเจ็บคัมแบ็กกลับมาช่วยทีมคว้าแชมป์ โตโยต้า ลีกคัพ (เป็นแชมป์ร่วมกับ เมืองทอง)
หลังจากนั้นปี 2017 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ทีมต้องการหากองหน้าคนใหม่นั่นคือ ชาช่า โคเอลโญ่ กองหน้าชาวบราซิล ดังนั้น ดิโอโก จึงต้องเปลี่ยนตัวเองจาก “ดาวยิง” สู่ “ตัวป้อน” เนื่องจากการมาของกองหน้าเพื่อนร่วมชาติรายนี้
นี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น “ตำนานไทยลีก” เพราะไม่ใช่แค่เขาสามารถทำประตูได้ แต่ยังสามารถที่จะไปล้วงบอลจากแดนกลางเพื่อจ่ายให้เพื่อนร่วมทีมทำประตู
ในฤดูกาลนั้น ชาช่า โคเอลโญ่ ยิงไปทั้งหมด 38 ประตู จากการลงเล่น 40 เกม ส่วน ดิโอโก ยิงไป 29 ประตู พร้อมกับทำ 11 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 34 เกม นั่นทำให้ปี 2017 บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทวงคืนบัลลังก์กลับมาคว้าแชมป์ไทยลีกได้อีกครั้ง
เช่นเดียวกับปี 2018 ฤดูกาลที่ 4 ของ ดิโอโก ก็พา บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ไทยลีกได้อีกหนึ่งสมัยรวมถึงคว้าดาวซัลโวของดีนั้นไปได้ด้วย โดยยิงไปทั้งหมด 33 ประตู
มีเรื่องเล่าจากทีมสต๊าฟฟ์บุรีรัมย์ ว่า ดิโอโก ยอดเยี่ยมแค่ไหนแม้ในวันที่ไม่ได้อยู่ในสนามแข่งขันจริง “ดิโอโก เป็นคนที่ซีเรียสมากเวลาฝึกซ้อม เขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยแสดงอาการเหยาะแหยะ หรือไม่เต็มที่ ทุก ๆ การฝึกซ้อม จะเห็นชัดเลยว่า เขามีความตั้งใจมากเป็นพิเศษกว่าคนอื่น ๆ”
“ไม่ว่าจะร่วมงานกับโค้ชคนไหน เขาเป็นคนที่รับฟัง แล้วทำตามทุกอย่างที่โค้ชบอก ทำให้เขาเข้าใจแท็กติกได้เร็ว และสามารถเล่นได้หลากหลายตำแหน่ง อีกอย่างคงเป็นเพราะ ดิโอโก้ มีความสามารถเฉพาะตัวสูง ไม่ว่าจะจับเขาไปเล่นตรงไหน แท็กติกอะไร เขาก็จะทำให้สิ่งที่ดูยาก ๆ ของฟุตบอล ให้ดูเป็นเรื่องง่ายไปหมด” จ๊อบบี้ - บริพัทธ์ สูนรอด ผู้จัดการทีม กล่าว
อย่างที่ทราบกันดี บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตั้งความหวังกับต่างชาติที่เข้ามาในทีมว่าต้องมีมาตรฐานสูง หรือบางครั้งนักเตะที่เข้ามาขาดวินัย มีอีโก้ อยู่กับเพื่อนร่วมทีมไม่ได้ ซึ่งทั้งหมดนั้นไม่มีในตัวของ ดิโอโก เลย นอกจากจะทัศนคติดีแล้ว เขายังเป็นส่วนหนึ่งของการยกระดับผู้เล่นดาวรุ่งหลายคน
ไม่ว่าจะเป็น ศุภชัย ใจเด็ด, รัตนากร ใหม่คามิ, สุภโชค สารชาติ, ศุภณัฎฐ์ เหมือนตา และดาวรุ่ง บุรีรัมย์ อีกหลายคน รวมถึง ศศลักษณ์ ไหประโคน ที่ยกย่องให้เขาเปรียบเสมือน “พี่ชาย”
“อย่างที่ทุกคนเห็น เขากล้าที่จะจ่ายบอลให้ดาวรุ่งบ่อยครั้ง ทั้งที่เขาสามารถเลี้ยงไปยิงเองได้ เขาไม่เคยแบ่งแยกว่าตัวเองเป็นซูเปอร์สตาร์ แล้วเราเป็นดาวรุ่ง” ศศลักษณ์ ไหประโคน กล่าว
โดย ดิโอโก ได้มาเปิดเผยเบื้องหลังผ่านรายการ คุยไซด์โค้ง กับพิธีกรชื่อดังอย่าง ต้อง พุฒิพงศ์ ว่าที่จริงแล้วเขาไม่ได้สอนอะไรแข้งดาวรุ่งมากมาย แต่เป็นพวกเขาเองที่สามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่าง ๆ จากตัวเขาเองได้
“ผมว่าผมอาจไม่ได้สอนอะไรพวกเขามากนะ พวกเขาเติบโตขึ้นจากการเก็บประสบการณ์ด้วยตัวเอง แต่บางครั้งผมอาจพูดถึงเรื่องการยืนตำแหน่ง แล้วทำให้พวกเขาดูว่ามันควรเป็นแบบนี้ แบบนี้ อาจมีพูดถึงเรื่องสภาพจิตใจ แต่พวกเขามีความสามารถอยู่แล้ว สิ่งที่ผมช่วยมันก็แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” ดิโอโก หลุยส์ ซานโต กล่าว
แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ดิโอโก จบฉาก 4 ปีกับค้าแข้งที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยิงไปทั้งหมด 132 ประตู 43 แอสซิสต์ และ 8 แฮตทริก จากการลงเล่นรวมทุกรายการ
“ในความคิดของผมทุกปีที่อยู่ที่นั่นคือช่วงเวลาที่แสนพิเศษ ทุก ๆ อย่างทำให้ผมรู้สึกประทับใจ ผลงานปีแรกของผมก็เริ่มต้นได้ดี แต่พอมาฤดูกาลที่สองผมโชคร้ายได้รับอาการบาดเจ็บ แต่ผมก็ได้รับการสนับสนุนจากผู้คนที่นั่น พวกเขาไม่ปล่อยให้ผมต้องเผชิญเรื่องร้าย ๆ เพียงลำพัง”
“พวกเขาพยายามสนับสนุนผมอย่างเต็มที่ทุก ๆ ทาง ผมกลับไป บราซิล เพื่อเข้ารับการผ่าตัด เขาปล่อยให้ผมอยู่กับครอบครัวในช่วงที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ เรื่องพวกนี้มันเป็นสิ่งพิเศษที่ผมได้รับเมื่อสถานการณ์ทุกอย่างมันไม่เป็นไปตามแบบที่คุณต้องการ”
“ปี 2017 ก็เป็นช่วงเวลาที่พิเศษเพราะเราเป็นแชมป์ ปี 2018 เราก็ป้องกันแชมป์ได้ ทุก ๆ ปีทุก ๆ ช่วงเวลามันแตกต่างกัน แต่สำหรับผมทุกปีมันแสนพิเศษ” ดิโอโก หลุยส์ ซานโต กล่าว
นี่คือทั้งหมดที่ทำให้ ดิโอโก หลุยส์ ซานโต กลายเป็น “นักเตะที่ดีที่สุดเท่าที่ไทยลีกเคยมีมา” หลังจากออกจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ก็ย้ายไปอยู่ที่ ยะโฮร์ ดารุล ต๊ะซิม ทีมดังจากลีกมาเลเซีย แต่ก็อยู่ได้ไม่นานด้วยความรักประเทศไทยจึงทำให้มาอยู่ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ก่อนจะกลับไปแขวนสตั๊ดที่ ยะโฮร์ อีกครั้ง
สายสัมพันธ์ที่เหมือน “ปลั๊กพ่วง”
ตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ค้าแข้งอยู่ในประเทศไทย หลังจากแขวนสตั๊ดไม่นานพ่วงด้วยสายสัมพันธ์กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เปรียบเสมือน “ปลั๊กพ่วง” ที่ บุรีรัมย์ เหมือนมี สเก๊าท์ อยู่ที่บราซิล โดยตัวเขาเองก็ได้แนะนำ กิลเยร์เม บิสโซลี รวมถึงนักเตะบราซิลคนอื่น ๆ อาทิ ลูคัส คริสปิม และ คริกอร์ โมราเอส ก็ล้วนแต่เป็นการติดต่อจาก ดิโอโก ทั้งนั้น
“ เขา (บิสโซลี่) เป็นผู้เล่นที่ดีมาก เขาเป็นนักเตะที่ดีจริง ๆ แล้วเพิ่งได้รับโอกาสครั้งใหญ่ที่จะได้แสดงศักยภาพให้กับ บุรีรัมย์ และไทยลีกได้เห็นกัน นอกจากนั้นเขายังเป็นคนนิสัยดี”
“ผมมีโอกาสแนะนำเขา คุยกับเขา และสิ่งที่สำคัญในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ผมพูดถึงการเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ ๆ ไปเยอะมาก พวกเขาต้องศึกษาสิ่งเหล่านี้เพื่อพัฒนาตัวเอง เขาเป็นผู้เล่นที่ดีและยังเป็นคนดีอีกด้วย” ดิโอโก หลุยส์ ซานโต กล่าว
จากดีลนี้ทำให้แฟนบอลชาวไทยหลายคนยกย่องให้ ดิโอโก เป็น “เอเย่นต์” ฟุตบอลคนใหม่ แต่อย่างไรก็ตามเขายังคงมองว่าอาชีพนี้ยังห่างไกลกับตัวเขามาก รวมถึงเส้นทางการเป็นโค้ชอีกด้วย
“ตอนนี้คงยังไม่ใช่ ผมอยากดู ๆ ไปก่อน ผมคิดว่าผมอยากทำเกี่ยวกับการเป็นเอเย่นต์ นำพาผู้เล่นไปยังที่ต่าง ๆ แบบที่คุณรู้ไปแล้ว อาชีพนี้ยังเป็นเรื่องใหม่สำหรับผม แต่สำหรับบทบาทการเป็นโค้ชตอนนี้คงไม่ ผมคิดว่าไม่ เพราะผมไม่ได้เตรียมตัวกับสิ่งนี้มาล่วงหน้า” ดิโอโก หลุยส์ ซานโต กล่าว
รวมถึงยังเผยปัญหาของ ทีมชาติไทย ที่ยังไปไม่ถึงในระดับเอเชียเหมือนกับชาติอื่น ๆ อย่าง ญี่ปุ่น และ เกาหลี จากมุมมองของ ดิโอโก
“ผมคิดว่าระดับยังต่างกัน ทีมชาติไทย ต้องการเวลาอีกหลายปีเพื่อไปถึงระดับนั้น ผมจะบอกเหตุผลว่าทำไม? ทีมชาติญี่ปุ่น ใช้เวลาหลายปีในการนำตัวนักเตะต่างชาติฝีเท้าดีไปเล่นในลีกของพวกเขา แถมยังนับรวมไปถึงการพัฒนาอะคาเดมีควบคู่กันไปด้วย”
“บางทีพวกเขาอาจให้ความสำคัญกับอะคาเดมีมากกว่าด้วยซ้ำเพราะว่าอะไร พอคุณนำนักเตะมืออาชีพดี ๆ เข้าไป นำโค้ชศักยภาพเยี่ยมเข้าไป มีการดึงสตาฟฟ์ส่วนอื่น ๆ ที่มีคุณภาพเข้าไปในอะคาเดมีเพื่อทำงาน หลังจากนั้นนักเตะในอะคาเดมีจะเติบโตมามีคุณภาพสูงไปด้วย”
“ผมเชื่อว่า เกาหลีใต้ ก็เลือกแนวทางนี้เช่นกัน แล้วมีการวางรากฐานมาแล้ว 20-30 ปี พอทางญี่ปุ่นมีแนวทางการทำทีมจากอะคาเดมีแบบนี้ มันคือความแตกต่าง ถ้าสโมสรในไทยทำแบบนั้น ดึงโค้ชเก่ง ๆ ไป มีสตาฟฟ์ฝีมือดี ทำงานในอะคาเดมี เหมือนกับที่ บุรีรัมย์ ทำอยู่”
“ผมกล้าพูดถึงเรื่องนี้เพราะผมรู้แนวทางของ บุรีรัมย์ พวกเขาเข้าใจวิธีการแบบนี้เป็นอย่างดี เลยทำให้พวกเขามีนักเตะดาวรุ่งเก่ง ๆ เยอะ เรื่องนี้สำคัญกับการเติบโตของผู้เล่นมาก ๆ” ดิโอโก หลุยส์ ซานโต กล่าว
สุดท้าย ดิโอโก ก็กลับไปใช้ชีวิตในบ้านเกิด และกล่าวขอบคุณประเทศไทย รวมถึงแฟนบอลชาวไทยที่คอยซับพอร์ตเขาตลอดที่อยู่ที่นั่นหลายปี
“ผมอยากขอบคุณตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ผมมีความสุขมาก ๆ กับการใช้ชีวิตในประเทศไทย ตัวผมมีความสุขมาก ครอบครัวของผมก็มีความสุขมากเช่นกัน ผมรักประเทศไทย และขอขอบคุณแฟน ๆ ที่อยู่เคียงข้างผมเสมอมา ขอบคุณทุกข้อความเชิงบวกที่ส่งมาให้กับผม ขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ” ดิโอโก หลุยส์ ซานโต กล่าว
อ้างอิง
- https://www.youtube.com/watch?v=3ylKV8ulTVg
- https://www.youtube.com/watch?v=xjtzwHtwePI
- https://www.youtube.com/watch?v=BUdfNId_dYg
- https://thinkcurve.co/ed-a-dio-ok-chuuep-rephlyey-r-thiimephlyey-r-smbuurnaebb/
- https://docs.google.com/document/d/1auFpCy3PVGDk81doVbqiOiF6f6zDfSMALTm4ad8njC8/edit?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR2prxZzGCKZQkH5dpZIh_ubHk690BG11e0aS13aoAA0GckqeH6HhpAsOfQ_aem_AUpv1jnMIJ8MLg_WPv4tNLSn9gPxavi45GLF7eitRvDBbvFv78EqBqEyH6yUXjjyoT_BjmpQgvZNRlw-MsnvY_K8