เบื้องหลัง เลสเตอร์ เลื่อนชั้น… “รื้อทีมใหม่ แต่ได้ทีมแกร่ง”

เบื้องหลัง เลสเตอร์ เลื่อนชั้น… “รื้อทีมใหม่ แต่ได้ทีมแกร่ง”

เลสเตอร์ ซิตี้ ใช้เวลาปีเดียวในการเล่นในลีกรองอย่าง เดอะ แชมเปี้ยนชิพ หลังจากพวกเขาการันตีเลื่อนชั้น และการันตีแชมป์ตั้งแต่ยังไม่จบฤดูกาล 

ในวันที่ 4 พฤษภาคม ที่ผ่าน มาเลสเตอร์ ซิตี้ สามารถทำแต้มถึง 97 แต้ม ยิง 89 ประตูในลีก จาก 46 นัด … พวกเขาเป็นทีมที่ดีที่สุดจาก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ที่สามารถยืนยันได้ด้วยตารางคะแนน 

นี่คือเรื่องราวเบื้องหลังที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า เลสเตอร์ ซิตี้ เปลี่ยนแปลงแนวทางของทีมไปมากแค่ไหน 

และทั้ง ๆ ที่เปลี่ยนทีมมากขนาดนี้ พวกเขายังทำตามเป้าหมายได้ตรงเป๊ะได้อย่างไร ?  ติดตามที่นี่ 

ตกชั้นเกิดขึ้นได้...แต่ยอมแพ้เกิดขึ้นไม่ได้ 

หลังจากตกชั้นไม่นาน คุณอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา เจ้าของทีม เลสเตอร์ ซิตี้ ออกมาเปิดเผยว่าเขาได้รับข้อความมากมายจากแฟนบอล ซึ่งมีทั้งที่ให้กำลังใจ และมีอีกมากมายที่วิจารณ์ถึงผลงานของทีมในแง่ลบ

"ผมได้รับข้อความมากมายจากแฟนบอล มีทั้งในแง่บวกและแง่ลบ บางคนอยากให้ผมขายสโมสร บางคนก็ใช้คำที่รุนแรงและไม่ได้คิด บางคนก็ใช้คำที่ดูหมิ่นกันตรงๆ

"แต่นอกจากทุกๆ ข้อความเจ็บปวดที่ผมได้รับ ผมก็ยังได้รับข้อความให้กำลังใจ, ข้อความที่ซาบซึ้ง และแสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน ทั้งจากทางระยะไกล รวมถึงจากคนที่ผมพบเจอตามที่สาธารณะ ซึ่งมักจะเข้ามาทักทายผมและครอบครัว มันมีความหมายต่อเรามาก

"ปฏิเสธไม่ได้ว่าการตกชั้นคือความล้มเหลว แต่มันไม่ได้นิยามถึงความเป็นตัวเรา วันนี้ เราร่วมแบ่งปันความสูญเสียและความเจ็บปวดที่ต้องตกชั้นไปด้วยกัน แต่เราจะกลับมาอีกครั้ง"

นั่นคือสัญญาที่ คุณ อัยยวัฒน์ มอบให้แฟนบอลในวันตกชั้น ซึ่งคงไม่มีค่าอะไรเลย หากไม่มีการนำบทเรียนไปปฏิบัติจริง ... และจากแถลงการณ์เดียวกันที่ คุณ อัยยวัฒน์ ออกมาพูดในวันตกชั้น เขายังบอกอีกด้วยว่าจะนำบทเรียนที่ได้รับในครั้งนั้นมาปรับปรุงให้ทีมแข็งแกร่งยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยเริ่มนับหนึ่งกับกุนซือที่เป็นโค้ชรุ่นใหม่ อย่าง เอ็นโซ่ มาเรสก้า 

เวทมนตร์ของ "มาเรสก้า"

สโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ ตัดสินใจเริ่มชีวิตใหม่ในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ด้วยการเลือก เอ็นโซ มาเรสก้า อดีตผู้ช่วยของเป๊ป กวาร์ดิโอลา เข้ามาเป็นนายใหญ่คอยจัดการเรืองการวางระบบและแผนการเล่นในสนาม

ถึงแม้ว่า มาเรสก้า จะใหม่ แต่ความตั้งใจและทุ่มเทของมาเรสก้านั้นไม่น้อยไปกว่าใคร ช่วงสัปดาห์แรกที่เข้ามาทำงานในคิง เพาเวอร์ สเตเดียม เขาถึงขั้นสั่งให้ลูกทีมนอนค้างอยู่ที่สนามซ้อม เพื่อให้ทุกคนเข้าใจแนวทางการทำทีมและปรัชญาของเขาให้ได้เร็วที่สุด เพื่อให้รูปแบบการเล่นและผลลัพธ์ออกมาในทิศทางเดียวกัน 

สิ่งที่ต้องชมมาก ๆ คือการหานักเตะใหม่มาเสริมทัพที่ออกมาดูดีลงล็อคมาก ๆ เพราะนักเตะเหล่านี้ที่ได้มา อาทิ แฮร์รี่ วิงค์ส ที่เข้ามาเป็นจอมทัพได้อย่างลงตัว สเตฟี่ มาวิดิดี้ และ อับดุล ฟาตาวู ที่จะมาเลื้อยริมเส้นเป็นอาวุธหลักของทีมในซีซั่นนี้

พร้อมกันนี้ยังมีการปรับตำแหน่งเปลี่ยนวิธีเล่นให้นักเตะบางคนจนเรียกได้ว่าเกิดใหม่แบบสุด ๆ ไม่ว่าจะเป็น ยานนิค เวสเตอร์การ์ด ที่กลายเป็นตัวหลักในปีนี้, ริคาร์โด้ เปร์ไรร่า ในตำแหน่ง Inverted wing back และ วิลเฟร็ดด เอ็นดิดี้ ในตำแหน่งตัวรุกหลังกองหน้าเป็นต้น 

ซึ่งการปรับเปลี่ยนตรงนี้ทำให้ทีมมีสมดุล เกมรุกเกมรับขึ้นอย่างมาก แม้ว่า เลสเตอร์ ซิตี้ จะไม่ใช่ทีมที่ยิงประตูได้เยอะที่สุด แต่ถ้ามองเรื่องความสมดุลระหว่างเกมรุก - เกมรับ ไม่มีทีมไหนทำได้ดีกว่าพวกเขาอีกแล้ว 

ถ้าใครได้ดู เลสเตอร์ ซิตี้ ในปีนี้จะเห็นถึงความยืดหยุ่นในแต่ละเกม ซึ่งมาจากแผนของ มาเรสก้า ในบางครั้งถ้าพวกเขาต้องการโหมเกมบุก นักเตะก็จะเริ่มขยับตำแหน่งการยืนในสนาม มิดฟิลด์ 2 ตัวขึ้นไปอยู่หลังกองหน้า แบ็คซ้าย ขึ้นไปช่วยปีกขึงริมเส้น แบ็คขวาที่เป็นตัว “อินเวิร์ต” จะเข้ามาช่วยต่อบอลตรงกลางกับจอมทัพอย่าง วิงค์ส ขณะที่ 2 เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ จะเป็นคนที่ยืนอยู่ท้ายสุด แบ่งพื้นที่รับผิดชอบคนละครึ่งสนาม (ซ้าย - ขวา)   

การปรับแผนแบบนี้ทำให้ เลสเตอร์ ซิตี้ มีตัวเล่นเกมรุกเวลาเปิดหน้าแลกแบบสุดถึง 8 ตัว เป็นสาเหตุที่ว่าทำไม เลสเตอร์ ซิตี้ มักเป็นทีมที่จะยิงประตูในช่วงท้ายเกมในซีซั่นนี้ได้บ่อย ๆ 

ในขณะเดียวกันถ้าได้เล่นเกมรับ เลสเตอร์ ซิตี้ จะยืนแน่นเป็นพิเศษ เพราะกองกลางทุกคนจะลงมาช่วยไล่บอล ปีกซ้าย และขวา จะลงมาช่วยเป็นด่านแรกในการปิดริมเส้นทำให้วิงแบ็คทั้ง 2 ฝั่งงานเบาลง นั่นคือสาเหตุที่ทำไมเวลา เลสเตอร์ ซิตี้  หากเล่นเกมรับจริง ๆ แทบไม่มีใครเจาะได้ เว้นเสียแต่การเกิดความผิดพลาดส่วนบุคคลเท่านั้น 

สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ มาเรสก้า คือคนที่สามารถบริหารจัดการลูกทีมได้เก่งมาก ๆ เขาปกครองทีมชุดนี้แบบมีกฎระเบียบที่ชัดเจน แต่ก็เข้าถึงเบื้องลึกและจิตใจของนักเตะหลายคน บางครั้งกฎของเขาก็แอบ ๆ โดนแหกจากตัวเขาเอง เพราะเขาเชื่อว่าบางอย่างควรหย่อนได้บ้าง เพื่อประโยชน์ที่จะตามมาในภายภาคหน้า เช่น เขาให้ เจมี่ วาร์ดี้ ในวัย 37 ปี ซ้อมน้อยลงกว่าใคร ในช่วงท้ายซีซั่น เพราะรู้ว่าสิ่งสำคัญของ วาร์ดี้ ไม่ใช่การฝึก แต่การเก็บพละกำลังเอาไว้ใช้ในการแข่งขันจริงดีกว่า 

แล้วมันก็เป็นจริงอย่างที่เขาได้คาดการณ์ เพราะช่วงท้ายซีซั่น ช่วง 16 เกมสุดท้าย เจมี่ วาร์ดี้ ที่ได้ถูกปรับการซ้อมให้ลดลงเพื่อเน้นฟื้นฟูร่างกายมากขึ้น ก็ทำประตูได้ถึง 12 ลูก และทำไปอีก 1 แอสซิสต์ ซึ่งถือว่าเป็นการมาที่ถูกที่ ถูกเวลา ช่วยให้ เลสเตอร์ เข้าป้ายตั้งแต่ก่อนซีซั่นจะจบลง 

จากการบริหารทีมได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้หลังจบเกมนัดสุดท้าย เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ผ่านมา เลสเตอร์ ซิตี้ มีคะแนนมากถึง 97 แต้ม และยิงรวมไปได้ถึง 89 ประตูในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ 2023-24 ซึ่งเป็นการันตีได้อย่างชัดเจนว่าสโมสรกำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกที่ควร

ผลที่ออกมาทำให้ เลสเตอร์ ซิตี้ ถูกสื่อหลายแห่งในประเทศอังกฤษยกย่องรูปเกมของเลสเตอร์ฤดูกาลนี้ว่า เป็นทีมที่มีแนวคิดของฟุตบอลสมัยใหม่ และเล่นในสไตล์ “โมเดิร์นฟุตบอล” ที่รับและรุกด้วยกันทั้งทีม

ซึ่งท้ายที่สุดทั้งในแง่วิธีการ และผลลัพธ์ ก็ตอบโจทย์ทุกอย่าง และสามารถยืนยันได้จากการเป็นแชมป์ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ในซีซั่นนี้ 

นอกสนาม-ในสนาม เป็นหนึ่งเดียวกัน 

เลสเตอร์ ซิตี้ กลับสู้พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการเป็น 1 เดียว ทั้งทีมงาน ใน และ นอกสนาม 

ประการแรกผู้บริหารมีการพูดคุยและตกลงแนวทางร่วมกันกับเฮดโค้ชอย่างชัดเจน จนทำให้ มาเรสก้า แทบไม่โดนแทรกแซงเรื่องการจัดตัวผู้เล่นหรือเสริมทัพ และทั้ง 2 ฝ่ายต่างเสียสละตัวเองอย่างมากเพื่อเป้าหมายเดียวกันนั่นคือการเลื่อนชั้นในปีเดียว 

เพราะในบางช่วงที่ทีมฟอร์มตกก็มีเสียงวิจารณ์จากแฟนบอลเข้ามามากมาย แต่สุดท้ายก็ไม่มีการปลดโค้ช หรือการเปลี่ยนแนวทาง ในที่สุดความเชื่อมั่นในตัวเองและเพื่อนร่วมงาน ก็ทำให้ เลสเตอร์ ซิตี้ กลับมาคืนฟอร์มอีกครั้ง ก่อนจะเลื่อนชั้นอัตโนมัติก่อนซีซั่นจบ 2 เกม และการันตีตำแหน่งแชมป์ก่อนจบซีซั่น 1 เกม 

สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ลืมไม่ได้คือ นักเตะของ เลสเตอร์ ซิตี้ ชุดนี้มีความสนิทสนมเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยสโมสรมักจะลงคลิปฉลองชัยหลังเกมบ่อย ๆ และมีภาพนักเตะทุกคนสนุกสนานกัน โดยมีตัวฮาอย่าง อับดุล ฟาตาวู เป็นคนที่ทำอะไรตลก ๆ ให้พี่ ๆ ในทีมได้อำ ได้ขำตลอด 

และสิ่งที่ยืนยันได้ว่านักเตะชุดนี้มีความเป็นหนึ่งเดียวจริง ๆ คือพวกเขาไม่เคยออกมาสัมภาษณ์เชิงลบต่อผู้จัดการทีมและสโมสรเลย ไม่ว่าจะต่อหน้าสื่อหรือการใช้โซเชี่ยลส่วนตัว เพราะเท่าที่เห็นมีแต่การอำกันไปอำกันมา หรือไม่ก็โพสต์กำลังใจจากแฟนบอลให้เชื่อมั่นในทีมเสมอ 

นี่คือ The Power of Possibilities พลังแห่งความเป็นไปได้ของทีมเลสเตอร์ ซิตี้ ชุดนี้ ที่มีจุดเริ่มต้นถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันตั้งแต่ระดับผู้บริหาร ไล่เรียงมาจนถึงทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ช และนักเตะทุกคน ซึ่งต้องยอมรับว่าทีมของคนไทยทีมนี้ ได้สร้างต้นแบบและความภาคภูมิใจมากมายให้กับชาวไทยทุกคนในการทำสิ่งที่ยากให้เป็นไปได้อย่างงดงาม 

เมื่อนอกสนามและในสนามเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เลสเตอร์ ซิตี้ ก็ใช้เวลาเพียงปีเดียวเท่านั้นในลีกรอง ... ถึงเวลาที่พวกเขาจะแสดงความเป็น "เลสเตอร์ ซิตี้ โฉมใหม่" ในพรีเมียร์ลีกซีซั่นหน้าแล้ว

#LCFCSTRAIGHTBACKUP #foxesneverquit #LCFC #LeicesterCity #KingPower #เลสเตอร์ซิตี้ #จิ้งจอกสยาม  #LCFCTH #ThePowerOfPossibilities #ThePowerOfChampions #ทีมของคนไทยความภูมิใจของคนไทย 

แชร์บทความนี้
mask-bg
logo-black

SOCIAL MEDIA

สนใจโฆษณาติดต่อ