เจาะศุภชัย 2 เวอร์ชั่น : ทำไมเล่นให้ บุรีรัมย์ เด่นกว่าทีมชาติ ?
ปฏิเสธได้ยากว่า ศุภชัย ใจเด็ด ดาวยิงจากสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คือหนึ่งในคีย์แมนคนสำคัญ ที่ช่วยพาทัพ ปราสาทสายฟ้า คว้าแชมป์ลีกมาครองได้เป็นสมัยที่ 8 ได้ในฤดูกาลนี้ จากการซัดไปถึง 19 ประตู เฉือนทาง ซามูเอล โรซ่า ที่ตามมาเป็นอันดับที่สองในช่วงโค้งสุดท้าย ปาดหน้าคว้ารางวัลดาวซัลโวมาครองได้สำเร็จ
นับเป็นดาวยิงสัญชาติไทยคนแรกนับตั้งแต่ปี 2011 ที่คว้ารางวัลส่วนตัวชิ้นนี้มาครองได้ ตั้งแต่สมัยที่ ธีรศิลป์ แดงดา เคยทำเอาไว้ในปี 2011 ท่ามกลางความนิยมของทีมหัวแถว ไทยลีก ที่นิยมใช้กองหน้าต่างชาติในการล่าตาข่าย เพื่อสร้างความได้เปรียบ
ถึงจะร้อนแรงกับการทำผลงานในสโมสรต้นสังกัดมากแค่ไหน แต่ยามใดที่ ศุภชัย ต้องสวมเสื้อทีมชาติไทยชุดใหญ่ ลงทำหน้าที่แทนคนทั้งชาติ มักจะกลายร่างเป็นคนละคนเสมอ จนหลายครั้งหลายคราวมักจะโดนแฟนบอลมองว่า ฝีเท้าของเขาไม่ใช่ของจริง หากต้องไปเล่นบนเวทีใหญ่ๆ เขี้ยวๆ
ทั้งที่ความทุ่มเทของเจ้าตัวในสนาม แสดงออกมาเต็มร้อยไม่ต่างกัน เพียงแต่ดูเหมือนว่าจังหวะเวลาและปัจจัยต่างๆ รอบด้าน มันดูเหมือนจะไม่เข้าทางเจ้าตัวเลยแม้แต่น้อย เมื่อทำไปได้แค่ 5 ประตู จากการลงเล่นไปแล้ว 27 เกม ในในามทีมชาติชุดใหญ่
ส่งผลให้แฟนบอลยังมองว่า อาร์ม ยังเป็นตัวแทนของ มุ้ย ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วมักจะเรียกหาดาวยิงขวัญใจคนเก่าอยู่ร่ำไป เมื่อทัพช้างศึกผลงานไม่เข้าตา
สาเหตุของความแตกต่างเรื่องฟอร์มการเล่นของ ศุภชัย นั้นมีปัจจัยอะไรบ้างที่ฉุดรั้งผลงานของเจ้าตัว ไม่ให้โดดเด่นเหมือนกับการเล่นให้ บุรีรัมย์ ร่วมหาคำตอบได้ใน Think Curve - คิดไซด์โค้ง
ตำแหน่งและหน้าที่การเล่น
ศุภชัย นั้นเป็นนักสู้มาตลอดไม่ใช่นักเตะพรสวรรค์ ที่เติบโตมาจากอะคาเดมี่ของสโมสรดังๆ ในประเทศไทย เขาเริ่มต้นเล่นฟุตบอลเมื่ออายุได้ประมาณ 8 ขวบ ตามวิสัยของเด็กถิ่นในจังหวัด ปัตตานี ซึ่งอยู่ในโซนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
หลังจากนั้นก็ขยับขยายไปซ้อมที่สนามกีฬาจังหวัดปัตตานี เพื่อฝึกปรือฝีเท้าให้แกร่งกล้ามากขึ้น จนสามารถคัดตัวมีรายชื่อติดเป็น 10 คนสุดท้าย ไปแข่งขันในทัวร์นาเมนต์รุ่นอายุ 13 ปี ที่ประเทศสวีเดน จากโครงการที่มีคุณ เรย์ แมคโดนัลด์ อดีตประธานสโมสร สันติภาพ เอฟซี เป็นผู้ผลักดัน
อาร์ม ในวัยเพียงแค่ 10 ปี แบกอายุถึง 3 ปี ไปแข่งขันกับนักเตะรุ่นที่โตกว่า แล้วก็สามารถพาทีมจบในอันดับที่ 9 ในรายการดังกล่าว พร้อมฟอร์มที่เริ่มเตะตาแมวมองจากหลายโรงเรียน ที่สนับสนุนด้านกีฬาฟุตบอลในประเทศไทย
แล้วก็เป็นทางโรงเรียน ปทุมคงคา ที่มอบโอกาสให้เขาไปคัดตัว ซึ่งตอนแรกครอบครัวของเขาไม่ได้สนับสนุนให้เดินทางนี้อย่างจริงจัง แต่เขาก็เลือกที่จะขอทำตามความฝัน เก็บเสื้อผ้า ข้าวของ พร้อมเงิน 1,500 บาท เพื่อหวังมาวัดดวงกับโอกาสที่ได้รับ
แล้วหวังเอาไว้ว่าสักวันหนึ่ง จะสามารถตามรอยพี่ๆ ในทีมชาติไทย ได้ลงเล่นในสนาม ราชมังคลากีฬาสถาน เหมือนที่เคยเข้ามาเป็นเพียงแค่ผู้ชมในวัยเด็ก
แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลกเมื่อ ศุภชัย ไม่มีชื่อติดในรอบแรกที่ทาง ปทุมคงคา ประกาศออกมา แล้วต้องเดินทางกลับบ้านไปพร้อมน้ำตา อย่างไรก็ตามเพียงไม่นานชะตาของเขาก็พลิกผัน เมื่อทางสตาฟฟ์แจ้งว่ารายชื่อของเขาตกหล่นไป ความจริงแล้วคัดผ่าน พร้อมช่วยกล่อมพ่อ-แม่ของ อาร์ม ให่ยอมปล่อยตัวมาเผชิญโชคที่เมืองหลวงได้สำเร็จ
การฝึกซ้อมที่ ปทุมคงคา นั้นมีความเข้มข้นตามสไตล์ เต้ยแห่งวงการฟุตบอลขาสั้นบ้านเรา ทำให้ อาร์ม ที่ไม่มีพื้นฐานที่ดีเหมือนคนอื่นๆ ต้องพยายามอย่างหนักด้วยการใช้พรแสวง รวมไปถึงการเสริมสร้างร่างกาย จากการกินอาหารที่มีประโยชน์ จนทำให้รูปร่างและศักยภาพการเล่นของเขาพัฒนาควบคู่ไปด้วยกัน
ผลงานจากเวทีบอลนักเรียนต่างๆ ทำให้เขามีชื่อติดทีมชาติไทย ชุดอายุต่ำกว่า 14 ปี แต่ต้องปฏิเสธโอกาสไปเพราะต้องการเล่นให้ทีมโรงเรียนในเวลานั้น แต่อย่างน้อยเขาก็ถูกดึงตัวไปเข้าอะคาเดมี่ของ โอสถสภาพ เอ็ม-150 ด้วยวัย 15 ปี เป็นการทดแทนในเวลาต่อมา
ประตูในทีมชาติของ อาร์ม เปิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อได้มีโอกาสไปคัดตัวกับทีมชาติชุดอายต่ำกว่า 19 ปี ที่มีโปรแกรมต้องไปชิงแชมป์อาเซียน ที่ประเทศลาว ภายใต้การนำทัพของ โค้ชจุ่น - อนุรักษ์ ศรีเกิด แม้ว่าจะถูกจับไปเล่นตำแหน่งไม่ถนัดอย่างมิดฟิลด์ตัวรับ แต่เขาก็ผ่านด่านการคัดตัวมาได้ด้วยการมองเห็นทักษะอื่นๆ จากสายตาของโค้ช
หลังจากนั้นชื่อของ ศุภชัย ก็เริ่มเป็นที่พูดถึงในวงการฟุตบอลไทยมากขึ้น แล้วก็ได้รับโอกาสจาก โค้ชโต่ย - ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย ให้ลงเล่นกับทีมชุดใหญ่ของสโมสร โอสถสภา เอ็ม-150 ในวัยเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้นเมื่อปี 2016 แล้วได้ลงสนามไปถึง 20 นัด จนเป็นบันไดเบิกทางให้เขามาอยู่กับ บุรีรัมย์ ในฤดูกาลต่อมา
แน่นอนว่า ศุภชัย ต้องเจอกระแสต่อต้านของแฟนบอล จากการวิจารณ์ว่าเลือกทีมไม่เหมาะสมกับฝีเท้าตัวเอง แล้วอาจต้องมานั่งตบยุงกับต้นสังกัดใหม่ ที่มีแนวรุกระดับพระกาฬอย่าง ออสวัลโด้, ฮาเวียร์ ปาตินโญ่ หรือ เอ็ดการ์ บรูโน่ ที่เป็นกำแพงตัวต่างชาติฝีเท้าดีขวางหน้าอยู่
สามฤดูกาลแรกของเขากับ บุรีรัมย์ ไม่ได้อยู่ในฟอร์มที่ดีเอาเสียเลย เพราะไม่สามารถยิงประตูรวมแตะสองหลักได้ด้วยซ้ำ จนบางคนอาจมองว่า อาร์ม มีโอกาสที่จะแจ้งดับมากกว่าแจ้งเกิด แต่เจ้าตัวก็ไม่ย่อท้อ เลือกที่จะสู้ต่อ พิสูจน์ตัวเองจนก้าวมาประสบความสำเร็จอย่างที่เห็น
การเปลี่ยนโค้ชของ ปราสาทสายฟ้า ย่อมส่งผลถึงตำแหน่งการเล่นของ ศุภชัย แบบเลี่ยงไม่ได้ เคยถูกจับไม่ใช้งานแบบหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกองหน้าตัวเป้า, กองหน้ากึ่งปีก หรือถอยต่ำลงไปยืนเป็นมิดฟิลด์ตัวรุก แต่ตัวของเขาก็ไม่เคยบ่นและมุ่งมั่นในการทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีที่สุด
ต้นแบบในการเล่นของเขา คือ โธมัส มุลเลอร์ ดาวเตะทีมชาติเยอรมัน ที่มีตำแหน่งเฉพาะตัวชื่อว่า “รอมดอยเตอร์” คอยเคลื่อนที่ไปทั่วทั้งสนาม อยู่ในจุดอับสายตาของคู่แข่งในมุมที่คาดไม่ถึง แล้วค่อยหาจังหวะสอดขึ้นไปยิงประตู
การเล่นของ ศุภชัย กับสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จึงถูกใช้งานในลักษณะคล้ายคลึงกับ มุลเลอร์ ด้วยการให้อิสระเจ้าตัวในการเคลื่อนที่ หาตำแหน่งพื้นที่ว่างคอยรับบอล บางครั้งก็ลงต่ำมาเชื่อมเกมหรือลากเลื้อย ไม่ใช่เป็นหน้าเป้ายืนค้ำแบบตายตัว เหมือนกับการใช้งานเขาในทีมชาติไทย
ความอันตรายของ ศุภชัย ในการเล่นเกมบุก ได้รับการชื่นชมจาก ชาลี คลัฟ แนวรับจากสโมสร นครราชสีมา เคยเอ่ยปากชมในการให้สัมภาษณ์กับ คิดไซด์โค้ง เอาไว้ว่า
“ศุภชัย ผู้เล่นของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นนักเตะที่เก่งมาก มีการเคลื่อนที่ที่ดี จับบอลแรกเยี่ยม ทำงานหนักในสนาม เหมือนเขาอยู่ไปทุกทั่วทุกพื้นที่ในแนวรุก ทำให้ผมรับมือกับเขาได้ยากมากจริงๆ”
ศักยภาพที่ ศุภชัย งัดเอาไม้เด็ดของตัวเองออกมาเล่นงานแนวรับของคู่แข่งใน ไทยลีก ไม่ได้มาจากพรสวรรค์อันล้นเหลือ แต่เขาต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มามากมาย กว่าจะเพาะบ่มฝีเท้าของตัวเอง จนเจอตำแหน่งและบทบาทที่เหมาะสม เป็นประโยชน์กับทีมมากที่สุด แล้วผลลัพธ์ก็ออกมาอย่างที่แฟนบอลเห็น
ขนาดทาง อิชิอิ กุนซือของทีมก็เคยกล่าวชมผมงานของ อาร์ม เอาไว้ว่า
“ศุภชัย เป็นนักเตะที่มหัศจรรย์มากสำหรับผม ผมพูดแบบนั้นเสมอเมื่อต้องพูดถึงเขา ด้วยผลงาน ผลการแข่งขันของทีม เขาแสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่าเป็นอย่างไร และคงไม่ต้องพูดอะไรมากสำหรับผลงานของ ศุภชัย ใจเด็ด”
มันแตกต่างกับการใช้งานเขา ยามลงเล่นในนามของ ทีมชาติไทยชุดใหญ่ ที่ต้องรับหน้าที่เป็นหน้าเป้าคอยค้ำแดนบน รอพักบอล หาจังหวะเข้าจบสกอร์ จำกัดการเคลื่อนที่อันเป็นจุดเด่นของเขา ให้อยู่เพียงแค่ในวงพื้นที่แคบๆ จนเป็นหนึ่งในปัจจัยที่อาจทำให้เขาขาดอิสระในการเล่นจนฟอร์มไม่เข้าตา
คุณภาพของทีม
นอกจากประเด็นเรื่องของตำแหน่งและหน้าที่ ซึ่งได้รับมอบหมายจากโค้ชที่แตกต่างกัน สิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลย คือ คุณภาพทีมโดยรวม ที่มีศักยภาพไม่เท่าเทียมกัน เมื่อเปรียบเทียบสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ ทีมชาติไทยชุดใหญ่
แน่นอนว่า ปราสาทสายฟ้า เป็นสโมสรฟุตบอล ที่สามารถใช้ตัวนักเตะต่างชาติได้ มีเวลาร่วมซ้อม ทำความเข้าใจเรื่องของแทคติกส์ โค้ชอย่าง มาซาทาดะ อิชิอิ สามารถลงรายละเอียดให้กับนักเตะแต่ละคนได้ครบถ้วน เพราะมีเวลาทั้งฤดูกาลตั้งแต่ปรีซีซั่น ในการปรับแต่งทีมได้ตามต้องการ
แต่เมื่อมองในมุมกลับกัน มาโน่ โพลกิ้ง กุนซือทัพ ช้างศึก มีเวลาเตรียมทีมในการแข่งขันแต่ละทัวร์นาเมนต์จำกัด อย่างมากก็เป็นเกือบเดือน อย่างน้อยก็ไม่ถึงอาทิตย์ เรื่องของการปรับจูนทัศนคติ วางแทคติกส์ต่างๆ ทำความรู้จักผู้เล่นแต่ละราย ย่อมมีเวลาน้อยกว่ากันจนเทียบไม่ได้ แถมแนวทางในการทำทีมก็ต่างกันอีก
ศักยภาพของนักเตะไทย ต้องยอมรับว่า บางคนยังเป็นรองแนวรุกตัวต่างชาติของ ปราสาทสายฟ้า ที่เป็นเพื่อนร่วมทีมของ ศุภชัย ที่สามารถช่วยดึงศักยภาพของเขาออกมาใช้งานได้อย่างเต็มที่ ซึ่งทางเจ้าตัวเองก็เคยพูดถึงความต่างเรื่องของการทำทีมระหว่าง ทีมชาติ กับ สโมสร เอาไว้ว่า
“การเล่นของผมกับ ทีมชาติไทย มันแตกต่างกันกับโค้ชที่ต้องร่วมงานด้วยแต่ละคน ผมมองว่าเราก็ต้องหาวิธีการ หรือ ระบบที่มันดี ให้มันเข้ากับสไตล์ของนักเตะไทย”
“โค้ชควรจะรู้ว่าต้องการเลือกใช้นักเตะแบบไหน ในระบบไหน ต้องรู้ว่าจะใช้นักเตะคนนี้แบบไหน ยังไง ให้เกิดประโยชน์สูงสุด”
“การเลือกผู้เล่นที่เหมาะสมกับแทคติกส์ โค้ชแต่ละคนมีวิธีการของเขา เขารู้ว่าต้องทำอย่างไร ซึ่งถ้ามันมีวิธีการที่ชัดเจน นักเตะก็จะไปได้ด้วย ทีมชาติก็จะไปได้ด้วย”
การที่ ศุภชัย ได้ร่วมซ้อมและทำงานกับนักเตะตัวต่างชาติฝีเท้าเยี่ยม ในทีม บุรีรัมย์ หลายยุคหลายสมัย ย่อมบ่มเพาะฝีเท้าของเขาให้พัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดด แถมยังมีโอกาสเดินทางไปฝึกซ้อมกับสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ ทำให้เขาได้จดจำหลายสิ่งหลายอย่างที่มีประโยชน์ นำมาเสริมสร้างศักยภาพให้กับตัวเอง
แถมสิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่าง คือ เรื่องของความอดทน และ ความเชื่อมั่นของผู้ใหญ่ในทีม ที่กล้ายอมเดิมพันเสี่ยงกับฝีเท้าของเขา ให้ผ่านสามซีซั่นแรกที่ยากลำบากมาได้ จากการยิงไปแค่ 4 ประตู แตกต่างกับแฟนบอลไทย ที่มักจะตัดสินกันเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ โดยไม่มองเลยว่า ปัจจัยในการเตรียมทีมและสภาพแวดล้อมต่างๆ มันต่างกันมากแค่ไหน
ความกดดันที่แตกต่างกัน
ยามที่ ศุภชัย ลงเล่นให้กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เขาดูมีความมั่นใจ และเล่นฟุตบอลที่สนุกตามความต้องการของตัวเองได้ แถมยังมีการอัดฉีดเดิมพันเล็กๆ น้อยๆ กับประธานสโมสรของทีมอย่างคุณ เนวิน ชิดชอบ หากยิงประตูได้ก็จะได้รับโบนัสพิเศษ หากปืนฝืดก็ต้องจ่ายให้ประธาน ใช้ชีวิตอยู่กันแบบครอบครัวใกล้ชิดกัน พร้อมให้กำลังใจยามที่ทำผิดพลาด
แตกต่างกับช่วงเวลาที่เขาลงเล่นให้กับ ทีมชาติไทย ที่เจ้าตัวต้องรับแรงกดดันมหาศาลจากคนทั้งชาติ จนเคยทำผิดพลาด น็อตหลุด จนโดนใบแดงไล่ออกในเกมสำคัญกับ ทีมชาติเวียดนาม ในศึกชิงแชมป์อาเซียน ชุดอายุต่ำกว่า 23 ปีมาแล้ว ตามที่บอกเล่าเอาไว้ว่า
“เหตุการณ์นั้นเป็นบทเรียนราคาแพงของผมในช่วงวัยนั้น เพราะ ณ ตอนนั้น ผมยังไม่สามารถควบคุมสถานการณ์หรืออารมณ์ของตัวเองได้ ท่ามกลางสิ่งเร้ารอบตัว เนื่องจากวันนั้นแฟนบอลเวียดนามเต็มสนาม สภาพทีมของเราที่ต้องเล่นบนความกดดัน มันบีบตัวเราหมด”
“พอทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ โดนยั่วยุ โดนเล่นแรงใส่ เลยทำให้ผมหลุดและทำสิ่งแย่ๆ ออกไป แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากขอโทษแฟนบอลและเพื่อนร่วมทีมกับสิ่งที่เกิดขึ้น แทบจะอยากก้มกราบในสนามเลยด้วยซ้ำ”
“ผมร้องไห้ออกมา รู้สึกดาวน์มากกับสิ่งที่เกิดขึ้น พออยู่ต่อหน้าคนอื่นเราก็พยายามทำตัวเข้มแข็งให้เขาสบายใจ แต่พอมาอยู่กับตัวเองกับครอบครัว ผมก็ยังรู้สึกเสียใจอยู่ แล้วมันต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะกลับมาเป็นตัวเราได้ร้อยเปอร์เซ็นต์”
“ทางพ่อเนและแม่ต่าย ก็เรียกเราเข้าไปคุยแล้วบอกว่า อาร์ม มึงกลับมาสโมสร บุรีรัมย์ แล้ว ที่นี่คือบ้านมึงกลับมาทำงานที่บ้านเรา พยายามลืมโลกแย่ๆ พวกนั้นไป อย่าไปอ่านคอมเมนท์ ตามสื่อโซเชี่ยล ยังมีเพื่อนๆในทีม มีพ่อมีแม่ ที่ดูแลเอ็ง สโมสรเราจะปกป้องกัน พ่อจะส่งมึงลงตัวจริงเกมหน้า แล้วไปทำให้พวกเขาเห็นว่ามึงก้าวผ่านมันได้ ซึ่งก็ทำให้ตัวผมใจชื้นและดีใจกัยสิ่งที่เกิดขึ้น”
การกลับมายิงระเบิดของ อาร์ม ในซีซั่นนี้ เจ้าตัวเชื่อว่า มันมีผลมาจากความมั่นใจที่เพิ่มขึ้น การผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายมาได้ ประสบการณ์ที่เจอมาหนักหนาต่างๆ ตั้งแต่เด็กมาจนโต ได้สอนให้เขาก้าวแกร่งกว่าเดิม
บวกกับการไปฝึกซ้อมที่อังกฤษ เปลี่ยนมุมมองและทัศนคติในการเล่นฟุตบอลของเขา ให้รู้สึกมีไฟกับการเล่นฟุตบอล ต้องการทำผลงานให้ดีกว่าเดิม ซึมซับความเป็นนักกีฬามืออาชีพมาได้เต็มๆ เพื่อนำมาปรับใช้กับการดูแลตัวเองในตอนนี้
เป้าหมายที่ชัดเจนของต้นสังกัด ไม่ได้เป็นการสร้างแรงกดดันสู่ตัวเขา แต่เป็นเหมือนการกระตุ้นให้เขามีแรงขับเคลื่อนที่จะก้าวไปประสบความสำเร็จให้ได้ แล้วสิ่งเหล่านั้นมันก็ออกดอกออกผลมาเป็นหนึ่งแชมป์ พร้อมกับตำแหน่งดาวซัลโวของลีก
ยังเหลืออีกสองแชมป์ให้ ศุภชัย และทัพผู้เล่นปราสาทสายฟ้า ลุ้นคว้าสามแชมป์สองปีติดต่อกัน เป็นสโมสรแรกในประเทศไทยที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นมาได้ ซึ่งแฟนบอลก็คงได้แต่หวังว่า วันหนึ่งเขาจะเจอจุดเปลี่ยนในการเล่นในนามทีมชาติ แล้วเปิดร่างทองให้ได้เห็นกันในเร็ววัน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
https://www.youtube.com/watch?v=gFJHgpGChbU
https://www.youtube.com/watch?v=NVj2htvfQJY
https://www.youtube.com/watch?v=WhMUsYRgJlo
https://www.pptvhd36.com/sport/news/87614
https://thethaiger.com/th/news/333905/
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
เมื่อครั้งหนึ่ง “อิชิอิ” เคยทำงานในโรงอาหาร หลังคว้ารองแชมป์สโมสรโลก
คล้ายตรงไหนบ้าง? : ศุภณัฏฐ์ นักเตะเงา โลซาโน่ ในสายตาสื่อต่างประเทศ
เวียดนามกร้าวก่อนซีเกมส์ : "4 ปีก่อน ทรุสซิเย่ร์ ก็เคยพาทีมเวียดนามยู 19 เอาชนะไทยมาแล้ว
เก่งในสนามไม่พอ : สาเหตุใด บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ถึงครองความยิ่งใหญ่ได้แบบยั่งยืน ?
บุรีรัมย์ ยังห่างแค่ไหน ? 10 สถิติไร้พ่ายนานที่สุดในโลก ณ ตอนนี้
คุณสมบัติอะไรที่ทำให้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นทีมไร้พ่ายนานที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ ?
ศุภณัฏฐ์ นำทัพ : 6 วันเดอร์คิดเอเชียที่ติดอันดับโลกปี 2019 ทุกวันนี้เป็นอย่างไร ?