‘เชียงราย’ เปิดบ้านรับมือ ‘บีจี’ ศึกศักดิ์ศรีคู่ค้านักเตะ สู่คู่แข่งเวที ‘ไทย ลีก’
ศึก ไทยลีก ช่วงสุดสัปดาห์นี้ จะเป็นโปรแกรมนัดส่งท้าย ก่อนจะเข้าสู่ช่วงพักเบรกสั้นๆ ในเทศกาล สงกรานต์ เพื่อให้เหล่านักเตะได้มีเวลาในการพักฟื้นร่างกายและจิตใจ แล้วค่อยมาสู้กันต่อในช่วงโค้งสุดท้าย ที่จะเป็นการตัดสินผลงานว่าแต่ละสโมสรทำได้ตามเป้าหรือไม่?
แน่นอนว่าช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา เกมที่แฟนบอลให้ความสำคัญมากที่สุด คงหนีไม่พ้นบิ๊กแมตช์ระหว่าง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ที่เปิดบ้านเสมอกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไปแบบสุดมัน 1-1 ต่างฝ่ายต่างสู้กันได้อย่างสมศักดิ์ศรี รูปเกมที่ออกมาจึงเป็นความมันระดับห้าดาว
อย่างไรก็ตามศึกหนักของทัพ กระต่ายแก้ว ยังไม่หมดไป เพราะพวกเขามีคิวที่ต้องบุกไปเยือน เชียงราย ยูไนเต็ด ในเกมลีกประจำวันเสาร์ที่ 6 เมษายน เวลา 18.00 น. โดยผลงานของทั้งสองทีมต่างอยู่ในช่วง 3 วันดี 4 วันไข้ไม่ต่างกัน โดยหากวัดกันเรื่องของศักดิ์ศรีการเป็นทีมใหญ่ คงไม่มีใครยอมใครเป็นแน่ เพราะต่างฝ่ายต่างเคยมีดีกรีเป็นแชมป์ลีกมาแล้ว
แม้ว่า เชียงราย และ บีจี จะเป็นคู่ปรับกันในสนาม แต่เรื่องการเป็นคู่ค้านอกสนาม ทั้งสองสโมสรต่างมีการทำธุรกิจซื้อ-ขาย และปล่อยยืมผู้เล่น ข้ามฝั่งกันไปมาโดยตลอด ต่อให้จะสถานะจะเป็นทีมในกลุ่มหัวตารางไม่ต่างกัน ดังนั้นการโตจรมาเจอกันรอบนี้คงต้องเปลี่ยนจาก ‘คู่ค้าที่ดี’ มาเป็น ‘คู่ปรับในสนาม’ แบบชั่วคราว
ดีลไหนกันบ้างที่ บีจี ไปคว้าสตาร์มาจาก เชียงราย? ผลงานของผู้เล่นแต่ละคนนั้นออกมาเป็นเช่นไรเมื่อย้ายสังกัด? ความพร้อมล่าสุดของทั้งสองทีมก่อนจะเจอกันเป็นอย่างไร? ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
ถึงเป็นสตาร์แต่ใช่ว่าย้ายแล้วจะปัง!
หากพูดถึงทีมที่มีงบประมาณเสริมทัพเป็นอันดับต้นๆ ของ ไทยลีก ต้องยอมรับกันตามตรงว่า บีจี ปทุม ยูไนเต็ด หรือ บางกอก กลาส เดิม นั้นมีทุนรอนใรคงคลัง ‘หนา’ กว่าสโมสรอื่นๆ พอสมควร เทียบเคียงได้กับทีมหัวแถวอย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และ การท่าเรือ เอฟซี
โลกฟุตบอลไม่ว่าจะเป็นสโมสรจากลีกไหน การทำธุรกิจกับทีมในระดับใกล้เคียงกัน ซื้อ-ขาย ตัวผู้เล่นข้ามฟากระหว่างทีมยักษ์ใหญ่กับทีมหัวตาราง จะทำให้ดีลเกิดขึ้นแล้วตกลงราคากันได้แบบสมน้ำสมเนื้อเป็นเรื่องยากเอามากๆ เพราะคงไม่มีทีมไหนอยากปล่อย สตาร์ ของทีมให้กลายเป็น หอกข้างแคร่ กลับมาทิ่มแทงพวกเขาในอนาคต
อย่างไรก็ตาม เชียงราย ยูไนเต็ด กับ บีจี ปทุม กลับไม่ได้มีสายสัมพันธ์ที่ปิดกั้นเรื่องของการทำธุรกิจ เพราะต้องยอมรับกันตามตรงว่า กว่างโซ้งมหาภัย เป็นสโมสรที่จำเป็นต้องใช้งบประมาณทำทีมแบบ ‘ทุนต่อทุน’ มีช่วงทุ่มซื้อและช่วงขายออก เพื่อปรับสมดุลย์ทางการเงินให้ทีมไปต่อได้โดยที่บัญชีไม่ติดตัวแดง ตามแนวคิดของผู้บริหารอย่าง ‘บิ๊กฮั่น-มิตติ ติยะไพรัช’
โดยดีลใหญ่ดีลแรกๆ ที่ทาง บีจี ไปดึงตัวผู้เล่นมาจาก เชียงราย คือ ศุภชัย คมศิลป์ แบ็คซ้ายมากประสบการณ์ดีกรีทีมชาติไทยชุดใหญ่ ที่ย้ายมาร่วมทีมแบบฟรีๆ ในฤดูกาล 2013/14 เป็นการดึงตัวหลังจากปล่อยฟรีไปให้อยู่กับทีมยักษ์ใหญ่แดนเหนือเพียงหนึ่งซีซั่น แล้วผลงานก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลยทีเดียว คอยประคองน้องๆ พร้อมกับสอนสั่งประสบการณ์ลูกหนัง ส่งผ่านสิ่งที่เป็นประโยชน์ไปให้กับดาวเตะรุ่นต่อๆ ไป
ถัดมาที่นับว่าเป็นดีลใหญ่และมีความคาดหวังสูงมากจริงๆ คือ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ที่ย้ายจาก เชียงราย มาอยู่กับ บางกอกกลาส (ชื่อเดิม) ด้วยสนนราคาราว 30 ล้านบาท ช่วงตลาดเลกแรกไป 2018 แต่เมื่อทีมยังไม่ดีขึ้นเลกสองจึงมีการดึง ธนบูรณ์ เกษารัตน์ อดีตเพื่อนร่วมทีม เชียงราย และ ทีมชาติไทย ของเจ้านิว เข้ามาเพิ่มเติมด้วยสนนราคาราว 40 ล้านบาท แต่เมื่อผสมผสานทีมกันได้ไม่ลงตัวนัก ผลงานของทั้งคู่กลับเล่นได้ไม่ดีเหมือนเดิม จึงเป็นที่มาของการตกชั้น ต้องไปเริ่มต้นใหม่กันที่ศึก ไทยลีก สอง
ต่อมาในฤดูกาล 2018/19 บีจี ก็เสริมทัพผู้เล่นจาก เชียงราย อีกครั้ง ด้วยการคว้าตัว ฉัตรชัย บุตรพรม นายทหารมากประสบการณ์ ด้วยสนนราคาราว 10 ล้านบาท ซึ่งผลงานของนายทวารรายนี้ก็จัดอยู่ในเกณฑ์ที่พึ่งพาได้ แต่ก็มีช่วงฟอร์มตกและประสบปัญหาอาการบาดเจ็บอยู่เนืองๆ เรื่องของความต่อเนื่องค่อนข้างน่าเป็นห่วง แล้วซีซั่น 2019/20 ก็มีการดึงตัว พีรพงศ์ พิชิตโชติรัตน์ กลับมาร่วมทีมจาก เชียงราย แบบฟรีๆ แต่ด้วยอายุอานามและสภาพสังขารที่อยู่ในช่วงบั้นปลาย ผลงานก็ไม่ได้ถึงกับโดดเด่นมากนัก
ดีลธุรกิจของ บีจี กับ เชียงราย ยังเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ทั้งในส่วนของตัวบิ๊กเนมและดาวรุ่ง ที่มีการสลับขั้วไปฟักตัวกันไปมาหลายต่อหลายคน จนมาถึงปี 2022/23 บิ๊กดีลการย้ายทีมของ พิธิวัต สุขจิตธรรมกุล กองกลางตัวรับทีมชาติไทยและกัปตันทีม กว่างโซ้งมหาภัย ที่ย้ายมาคุมแดนกลาง ด้วยสนนราคาราว 40-50 ล้านบาท ทำให้ทาง เชียงราย ฟันกำไรจาก บีจี แบบเหนาะๆ ราว 150 ล้านบาทไปแล้ว
แต่ผลงานของ พิธิวัต กับ บีจี กลับไม่ปังแบบที่แฟนบอลและโค้ชตั้งความหวังไว้ แม้ว่าจะมีคู่ขาทีมชาติอย่าง สารัช อยู่เย็น คอยประคอง แต่เนื่องด้วยสภาพร่างกายที่เจออาการบาดเจ็บบ่อยครั้ง ความต่อเนื่องของจังหวะการเล่น ความเฉียบคมในการตัดเกมและให้บอล ก็ลอดน้อยถอยลงไปแบบน่าใจหาย
นอกจากนั้นในฤดูกาลนี้ บีจี ยังไปคว้าตัว ลีเอาะ มาจาก เชียงราย ยูไนเต็ด เพื่อเติมความแข็งแกร่งในแนวรับ พร้อมกับการดึงตัว วิคเตอร์ คาร์โดโซ่ กลับมาขันแนวรับเมื่อหมดสัญญายืมตัว แต่ผลงานของทั้งคู่ก็ยังไม่ปัง จากการที่ทัพ กระต่ายแก้ว ยังคงเสียประตูเป็นว่าเล่นอย่างที่ผ่านๆ มา
การทำธุรกิจทุกดีลที่ผ่านมา เชียงราย ไม่ได้เป็นฝ่าย ย้อมแมว ขายผู้เล่นให้กับ บีจี เพียงแต่ว่าเฮดโค้ชแต่ละคนกลับไม่มีคู่มือการใช้งานนักเตะในตำแหน่งที่เหมาะสม แล้วสามารถดึงศักยภาพสูงสุดออกมาได้ อย่างรายล่าสุด มาโกโตะ เทกุระโมริ ก็จับเอา ชินภัทร ที่ถนัดในการเล่นเซนเตอร์แบ็ค ไปยืนเป็นแบ็คขวา ซึ่งทำให้ตัวนักเตะไม่สามารถเค้นฟอร์มที่ดีที่สุดออกมาได้
สภาพความพร้อมของทั้งสองทีม
ทางฝั่งเจ้าบ้าน เชียงราย เกมนี้ผลงานในบนเวที ไทยลีก ถือว่าค่อนข้างน่าเป็นห่วงเลยทีเดียว เพราะไร้การคว้าชัยมาแล้ว 6 นัดติดต่อกัน เริ่มตั้งแต่ บุกเสมอ ขอนแก่น 0-0, แพ้คาบ้านให้กับ ลำพูน วอริเออร์ 0-2, บุกไปแพ้ สุโขทัย เอฟซี 1-2, แพ้ แบงค็อก ยูไนเต็ด คาบ้าน 0-1, บุกพ่าย บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 1-2 และบุกไปแพ้ให้กับ ชลบุรี เอฟซี 0-2 เห็นได้ชัดเจนว่าผู้เล่นมีอาการเหนื่อยล้าและหมดแรงช่วง 20 นาทีสุดท้าย
ปัญหาผู้เล่นการติดโทษแบนของ กว่างโซ้งมหาภัย นั้นไม่มี แต่ยังอดใช้งานแบ็คซ้ายตัวหลักอย่าง สุริยา สิงห์มุ้ย ที่บาดเจ็บเอ็นเข่าด้านนอกฉีกขาด ซึ่งขุมกำลังที่จะจัดลงสนามคงเป็นตัวหลักหน้าเดิม ไม่ว่าจะเป็น ศิวกรณ์ เตียตระกูล เพลย์เมคเกอร์คนเก่ง และ โรดริกินโญ่ แนวรุกชาวบราซิลที่กำลังปรับตัวได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วเพิ่งยิงประตูสุดสวยได้ในเกมที่บุกไปเยือน ปราสาทสายฟ้า
ด้านทีมเยือน บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ฟอร์มการเล่นยังคง 3 วันดี 4 วันไข้ 6 เกมล่าสุดในบอลลีก แพ้ไป 3 นัด เสมอ 2 นัด และชนะเพียงนัดเดียว เริ่มตั้งแต่ บุกพ่าย เมืองทอง ยูไนเต็ด 0-2, เสมอกับ แบงค็อก ยูไนเต็ด 2-2, บุกแพ้ ลำพูน วอริเออร์ 0-2, เปิดบ้านถล่ม สุโขทัย เอฟซี 7-1, บุกพ่าย ตราด เอฟซี 1-2 และเปิดบ้านเสมอกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 1-1
ส่วนปัญหาผู้เล่นติดโทษแบนฝั่ง บีจี นั้นไม่มีประเด็นนี้ให้ต้องกังวล แต่ยังต้องอดใช้งาน เซย์ดีน เอ็นดิอาเย่ และ อีกอร์ เซอเกเยฟ สองผํู้เล่นตัวหลักโควต้าต่างชาติ ที่ยังคงต้องพักรักษาอาการบาดเจ็บยาวอยู่ในตอนนี้ ดังนั้นตัวหลักในการบุกเยือน เชียงราย คงต้องฝากความหวังไว้กับ ชนาธิป สรงกระสินธ์, เฟร็ดดี้ อัลวาเรซ, ธีรศิลป์ แดงดา และสองพี่น้อง อิคห์ซาน-อิรฟาน ฟานดี้ แบบที่ผ่านๆ มา
เกมนี้เป็นการเดิมพันด้วยศักดิ์ศรีของทั้งสองทีม ที่ต่างฝ่ายต่างเคยมีดีกรีเป็นแชมป์ ไทยลีก มาก่อน แต่ถ้าถามถึงความคาดหวังในซีซั่นนนี้ในบอลลีก ทั้งคู่คงตั้งเป้าให้ทีมจบในอันดับที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เท่านั้น แล้วค่อยไปลุ้นแชมป์บอลถ้วยที่มรีความเป็นไปได้ที่ชัดเจนกว่า
สถิติการเจอกัน
การพบกัน 5 นัดหลังสุดของทั้งสองทีม ปรากฎว่า เป็นฝั่งเจ้าถิ่น เชียงราย ที่ทำผลงานได้ดีกว่า ชนะไป 3 นัด เสมอ 1 นัด และแพ้ไป 1 นัด โดยการเจอกับ บีจี สองเกมล่าสุดไม่พลาดท่าปราชัยแม้แต่เกมเดียว เริ่มจากเปิดบ้านเอาชนะไป 2-1 ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2023 และบุกมาเสมอ 2-2 ในวันที่ 28 ธันวาคม 2023
หากวัดกันที่ศักยภาพของทีมตอนนี้ บีจี ดูเหมือนว่าจะเหนือกว่าเจ้าถิ่น เชียงราย อยู่พอสมควร แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องมาวัดใจกุนซืออย่าง เทกุซัง ว่าจะมีการจัดแผนที่เซอร์ไพรส์ให้แฟนบอลได้กุมขมับอีกหรือไม่? เพราะบางทีก็ออกอาการอินดี้ จัดเซ็นเตอร์แบ็ค 4 คน ลงยืนเป็นแผงหลังพร้อมกัน จนทำให้เกมบุกที่เป็นจุดขายช็อตไปดื้อๆ
อย่างไรก็ตามเชื่อมั่นว่าการเสมอกับ บุรีรัมย์ แชมป์เก่า จะสร้างแรงกระตุ้นให้กับขุนพล กระต่ายแก้ว ได้มากพอสมควร แล้วการมาเจอกับ เชียงราย ที่กำลังเป๋ตอนนี้ แน่นอนวาพวกเขาต้องหวังลุ้นถึงการมาเก็บสามคะแนนกลับไป ซึ่งต้อมาดูกันหน้างานอีกทีว่าขุนพล กว่างโซ้งมหาภัย จะงัดทีเด็ดออกมากู้ศักดิ์ศรีต่อหน้าแฟนบอลในสนามเหย้าของตัวเองได้ดีแค่ไหน?
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
https://www.transfermarkt.com/singha-chiangrai-united/alletransfers/verein/6759