เกษตรฯ และ “ประธานโน่” : ภาพสะท้อนบอลไทยที่ทุกทีม อาจไม่โชคดีแบบนี้
เกษตรศาสตร์ เอฟซี กลายเป็นชื่อสโมสรที่ถูกกล่าวถึงบนโซเชี่ยลมีเดียบ่อยครั้งในช่วงนี้ เพราะด้วยเรื่องสตอรี่ที่เหมือนกับมังงะญี่ปุ่น การการล้มลุกคลุกคลาน และลุกขึ้นมาสู้ใหม่อีกครั้งด้วยกันในทุกข์ภาคส่วน
ทว่าในชีวิตจริง หากมันเกิดขึ้นกับสโมสรอื่น ๆ ในระบบฟุตบอลไทย พวกเขาอาจจะไม่โชคดีแบบนั้น
เรื่องนี้คือภาพสะท้อนที่ส่งสัญญาณเตือนให้วงการฟุตบอลไทยในเวลานี้อย่างไรบ้าง ?
อ่านเนื้อหาทั้งหมดในคอมเมนต์
เกษตรศาสตร์ถังแตก ?
เกษตรศาสตร์ เอฟซี คือสโมสรฟุตบอลประจำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่กลุ่มผู้บริหารเล็งเห็นถึงความสำคัญในเป็นส่วนหนึ่งของฟุตบอลลีกอย่างยั่งยืนให้ได้ แม้จะมีงบประมาณไม่เยอะ แต่พวกเขาก็ยังสามารถประคับประคองทีมให้เกาะอยู่ในกลุ่มลีกรองของประเทศได้อย่างเหนียวแน่น
หลายคนอาจจะเข้าใจว่านี่คือทีมถังแตก ไม่มีเงิน จนทำให้สโมสรเดินหน้ามาถึงจุดที่เป็นข่าวต่าง ๆ นานาบนหน้าสื่อ แต่จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แบบนั้น เรื่องจากปากกลุ่มผู้บริหารยุคเก่า และนักเตะในทีมที่อยู่กับทีมมานาน ต่างพูดตรงกันว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันคืออุบัติเหตุและการวางแผนที่ผิดพลาด ซึ่งมีจุดเริ่มต้นจากการวางโครงสร้างฟุตบอลที่ใหญ่เกินไป ในยุคที่เศรษฐกิจไม่ดี จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ และปรากฎบนหน้าข่าวอย่างที่หลายคนได้เห็นกัน
โดยในช่วงซีซั่น 2023-24 (ซีซั่นที่แล้ว) "นาคามรกต" พยายามที่จะปรับปรุงโครงสร้างฟุตบอลให้เล็กลง และทำทีมตามงบประมาณที่พอจะมีอยู่แล้ว ทว่ากลุ่มผู้บริหารทั้ง 4 คน ถือเป็น "กลุ่มใหม่" ได้ยืนยันว่าทีมสามารถขยับมาตรฐานให้ดีขึ้นกว่านี้ได้ด้วยการเสริมทัพ เพิ่มขุมกำลังนักเตะคุณภาพทั้งไทยและต่างประเทศ
เหตุผลที่พวกเขาคิดแบบนั้น มีการเปิดเผยจากจักรพันธ์ พรใส นักเตะซีเนียร์ของทีมว่าทั้ง 4 คนเชื่อว่าจะมีเงินสนับสนุนก้อนที่ 2 ที่แยกต่างหากมาจากก้อนแรก และจะเป็นเกินจำนวนที่มากพอในการทำทีมไปยังอีกระดับ ดังนั้น เกษตรศาสตร์ จึงเสริมทัพแบบน่าตื่นตาตื่นใจด้วยนักเตะดัง ๆ ทั้งไทยและเทศ อาทิ อดิศักดิ์ ไกรษร ดาวยิงดีกรีทีมชาติไทย และนักเตะต่างชาติดีกรีไทยลีกอย่าง สตีเว่น ลองจิล มาเสริมทัพก่อนช่วงซีซั่น 2024-25 เริ่ม
อย่างไรก็ตามการหวังน้ำบ่อหน้านั้นไม่เป็นผล... การเสริมทัพผ่านไปแล้ว นักเตะย้ายมาแล้ว ทว่างบประมาณที่คาดหวังไม่ได้ตามเข้ามาหลังการตกปากรับคำผ่านไปแล้ว 2 เดือน ดังนั้นเมื่อต้องจ่ายค่าเหนื่อยนักฟุตบอลทุก ๆ เดือนปัญหาเรื่องนี้จึงเกิดขึ้น ณ จุดนั้น
"มีการยืนยันว่าจะมีงบประมาณก้อนที่ 2 เข้ามาและเป็นก้อนใหญ่ด้วย ดังนั้นทีมจึงมีนักเตะที่เบอร์ใหญ่ขึ้นมาไม่ว่าจะเป็น AK9(อดิศักดิ์), จักรพันธ์, เบรนเนอร์ หรือ ลองจิล เข้ามาในทีม ...แต่ผ่านไปแล้ว 2 เดือนเงินก้อนนั้นก็ไม่เข้ามาสักที จนสุดท้ายก็ต้องการขยับขยาย ซึ่งทั้ง 4 คนก็รับผิดชอบด้วยการออกจากตำแหน่งผู้บริหารไป"
"ที่เหลือก็จะหาทางเคลียร์กันให้จบ และกลับมาทำทีมด้วยงบก้อนนั้นที่มีต่อไป เคสนี้สโมสรเกษตรศาสตร์ ไม่ได้มาขายฝันพวกผม แล้วก็ไม่ใช่ทีมถังแตก แต่คนในบ้านหลังนี้หรือกลุ่มผู้บริหารชุดเก่าเขาอยากที่จะให้ทำทีมที่ยั่งยืน ให้สามารถลงแข่งขันได้อีกหลาย ๆ ปี ผู้บริหารเก่าเขามีเงินก้อนให้ทุกปี และจะทำทีมบริหารตามงบประมาณที่มี" จักรพันธ์ อธิบายเรื่องนี้
แม้จะยืนยันอย่างนั้น แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วไม่มีทางหายไปในทันที ... และหากพวกเขาไม่แก้มันก็จะลุกลามและอาจจะทำให้สโมสรต้องเอาเงินงบประมาณของปีต่อ ๆ ไปมาแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นจนกระทบเป็นลูกโซ่ และอาจจะทำให้ความตั้งใจเดิมที่จะทำฟุตบอลอาชีพในทุก ๆ ปี ต้องปิดตำนานลง
ทว่าใครเลยจะรู้ว่านักเตะที่แฟนบอลหัวเราะและดูแคลนมากที่สุดในทีมเกษตรศาสตร์ชุดนี้... หรืออาจจะในวงการฟุตบอลไทย จะกลายเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้วงจรของเกษตรศาสตร์ไม่ตายจากวงการฟุตบอลไทยไปง่าย ๆ
"นักเตะหิวแสง" สู่ประธานสโมสรที่ "สู้เพื่อทีม"
ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ หรือ "โตโน่" นักร้องและนักแสดงที่เป็นขวัญใจของทัวร์โซเชี่ยล ถือเป็นคนที่มักจะตกเป็นเหยื่อในแพลตฟอร์มต่าง ๆ จากคอมเมนต์อยู่เสมอ และในวงการฟุตบอลไทยของเขาก็เช่นกัน
เจ้าตัวเคยมีส่วนร่วมกับทีมอย่าง ราชบุรี เอฟซี, อยุธยา และ ขอนแก่น เอฟซี มาก่อนในฐานะนักเตะ ซึ่งอันที่จริงแล้วทุกคนต่างรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องของการตลาดของสโมสรที่จะทำให้ชื่อทีมของพวกเขาปรากฎบนสื่อ เพราะชื่อของโตโน่ เรียกคนได้เสมอ
เรื่องนี้แม้แต่ตัว โตโน่ เองก็ยอมรับความจริงว่าคอมเมนต์ส่วนใหญ่อาจจะดูแคลนเขาในบทบาทนักเตะอาชีพ แต่เขายืนยันว่าการที่เขาเซ็นสัญญากับสโมสรต่าง ๆ มันเกิดจากแพสชั่นในด้านฟุตบอลของเขาล้วน ๆ เขาไม่เคยหวังเงินจากสโมสรที่เซ็นสัญญาด้วย และการเซ็นสัญญาแต่ละครั้งของเขานั้นก็ล้วนแต่เป็นความตั้งใจที่จะเข้ามาช่วยทีมให้มีการตลาดที่ดีขึ้น และเขาก็ได้สนุกกับฟุตบอลที่เป็นกีฬาที่เขาชอบอยู่แล้ว ... ซึ่งนั่นเองที่ทำให้เขาได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพกับ ม.เกษตรฯ ในช่วงก่อนเริ่มซีซั่น 2024-25
จากนั้นปัญหาก็เกิดขึ้น และนักเตะอย่าง โตโน่ นี่แหละที่เป็นคนลุกขึ้นยืนและปลุกให้ทุกคนไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมให้เรื่องนี้จบลงง่าย ๆ เพื่อให้สโมสรยังคงมีอยู่ต่อไป และที่สำคัญที่สุดคือรุ่นน้องในทีมยังมีอาชีพ และมีรายได้ไปจุนเจือครอบครัวในยุคข้าวยากหมากแพงแบบนี้
"ผมไม่ได้ตั้งใจจะเป็นฮีโร่ หรืออยากจะถูกพูดถึงในฐานะพระเอกของทีมอะไรเลย อันที่จริงผมมาที่นี่(เกษตรฯ) เพราะมีคนรู้จักหลายคนทั้ง จักรพันธ์, อุกฤษณ์ วงมีณา และ โค้ชใหม่ สันติ ไชยเผือก ที่อยากให้เรามาช่วยโปรโมต มาช่วยขายเสื้อ ผมตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้น ผมมาที่นี่เพื่อความสนุก"
"แต่พอเรื่องมันเกิดขึ้น สถานการณ์ก็เปลี่ยนไป ทุกคนเครียดมาก และนักเตะรุ่นน้องในทีมหลายคนก็เข้ามาปรึกษากับผมในฐานะที่ผมอายุมากที่สุด และมีน้อง ๆ ที่อยากให้ผมเข้ามาแก้ปัญหาเรื่องนี้ พอมีการคุยกันเรื่องตำแหน่งประธานสโมสร เขาก็เชียร์ให้เรารับตำแหน่งนี้ ดังนั้นผมจึงตั้งใจรับตำแหน่ง แต่เป็นการรับตำแหน่งในฐานะรักษาการณ์เท่านั้น หน้าที่ของผมคือการพาทีมฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้"
"สิ่งสำคัญที่ผมตัดสินใจก็คือมันมีแค่ 2 ทางเลือกจริง ๆ ... ผมทิ้งทีมนี้ไปและไม่ต้องมองว่ามันเป็นเรื่องของเราก็ได้ เพราะผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ส่วนทางที่ 2 คือการช่วย ... ซึ่งเมื่อผมได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมทีม และครอบครัวของนักเตะ-ทีมงานทุกคน ผมรับรู้ว่าพวกเขามีอีกหลายชีวิตที่มีหน้าที่จะต้องดู ผมจึงตัดสินใจไม่ยาก ผมเลือกข้อ 2 และอยากจะเข้ามาช่วยทีมนี้ให้ผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกันให้ได้"
แก้ปัญหา และกลับไปสู่จุดที่ยั่งยืนที่แท้จริง ?
การเข้ามาของ "ประธานโน่" นำมาสู่สิ่งใหม่ ๆ หลายเรื่อง อย่างแรกคือเขาเปิดใจแบบตรงไปตรงมากับนักเตะในทีมทุกคน ไม่มีการซ่อนปัญหาไว้ข้างหลังและบอกนักเตะทุกคนว่าทุกอย่างโอเคอีกต่อไป เขารู้เท่าไหร่ นักเตะรู้เท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้ความเข้าใจเกิดขึ้นจากจุดนั้น
จากนักเตะและทีมงานที่แทบจะหมดใจ พอได้รับความจริงใจแบบนั้น รวมถึงการได้ฟังแนวทางการแก้ปัญหา การไล่สเต็ปก้าวต่อ ๆ ไปของทีมอย่างชัดเจน มันทำให้ทีมที่หมดใจไปแล้ว กลับมารวมกันเป็นหนึ่งเพื่อสู้ต่ออีกครั้ง
เรื่องนอกสนาม โตโน่ พยายามเดินหน้าไปออกรายการต่าง ๆ เกี่ยวกับฟุตบอลไทยหรือสื่อกีฬาแถวหน้าของประเทศ เขาพูดความจริง และอธิบายทุกสิ่งให้ทุกคนรู้ เกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อจะบอกว่าเราควรจะหยุดเรื่องเหล่านี้อย่างไร เพราะถ้าไม่มีการแก้ไข จะไมใช่แค่ทีมเกษตรศาสตร์ทีมเดียว ทีมสุดท้าย ที่จะต้องเจอเรื่องเหล่านี้แน่นอน ซึ่งการตระเวนออกรายการนี้ ทำให้เกิดความเข้าใจของปัญหาที่มากขึ้น และชื่อของเกษตรศาสตร์ ก็เป็นที่สนใจมากขึ้นในวงการ
สิ่งที่ตามมาคือการขายเสื้อที่มีคนสั่งซื้อมากขึ้น บางคนแม้ไม่ใช่แฟนบอลเกษตรแต่พอทราบเรื่องราว และรู้ถึงความตั้งใจของทุกคนในทีม ก็อยากสนับสนุน ... นอกจากเรื่องของการขายเสื้อในโซเชี่ยลแล้ว ยังมีการวางแคมเปญให้คนเกษตรศาสตร์รับรู้มากขึ้น เพื่อเข้ามาช่วยเชียร์ มาสร้างรายได้ผ่านการขายสินค้าของสโมสรให้มากขึ้นจากคนภายในเองด้วย
ขณะที่เรื่องของในสนามนั้น เราคงไม่มีทางรู้ตื้นลึกหนาบางว่าพวกเขาทำอะไรกันบ้าง แต่ที่แน่ ๆ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมันยังพอบอกเราได้ว่าทีมนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดขึ้น จากเดิมที่เคยเป็นทีมหนีตกชั้นแทบทุกปีในไทยยลีก 2 ณ ตอนนี้หลังกระแสนอกสนามกำลังขับเคลื่อน พลังในสนามก็พุ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว "นาคามรกต" ยกระดับขึ้นมาจนถึงขั้นที่มีลุ้นเพลย์ออฟเลื่อนชั้นไปสู่ไทยลีก 1 แล้ว ... ซึ่งถ้าทำได้ เม็ดเงินก็จะเข้ามายังในสโมสรมากขึ้น และจะช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตได้อย่างแน่นอน
คุณไม่สามารถปฎิเสธได้ว่าสโมสรแห่งนี้เกิดใหม่ขึ้นจากความไม่ยอมแพ้ของทุกคน โดยเฉพาะคนที่เปลี่ยนแปลงเรื่องทั้งหมดอย่าง โตโน่ ... คนที่เคยเป็นตัวตลกของแฟนฟุตบอลไทย กลับกลายเป็นคนที่ทุกคนเข้าใจตัวตนของเขามากขึ้นผ่านการลงมือทำอย่างเต็มที่
ไม่มีใครตลกการกระทำของเขาอีกแล้ว มีแต่คนยอมรับหัวใจของเขาที่ทุ่มเทให้กับทีมที่ตนเองเพิ่งมาร่วมทัพได้กี่เดือน สิ่งที่ยืนยันได้คือมี 1 กระทู้ในเว็บบอร์ดอันดับ 1 ของประเทศไทยอย่าง พันทิป ที่มีชื่อกระทู้ว่า
"ความคิดของผมต่อโตโน่ ภาคิน เปลี่ยนไปเมื่อเขามาบริหารเกษตรศาสตร์ เอฟซี" ... ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดในกระทู้ ก็คือทุกสิ่งที่ได้กล่าวขึ้นในบทความนี้
ไม่มีอะไรการันตีได้ว่ากระแสนี้จะอยู่นานแค่ไหน และเป็นความยั่งยืนในระยะยาวได้หรือไม่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเกษตรศาสตร์ เอฟซี และ โตโน่ ภาคิณ ได้เป็นตัวอย่างในหลาย ๆ เรื่องให้กับวงการฟุตบอลไทย และคนที่จะเข้ามาทีทำทีมฟุตบอลในประเทศนี้อย่างแท้จริง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมันสะท้อนข้อคิดมากมายเกี่ยวกับฟุตบอลในประเทศนี้... ที่ทุกอย่างตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน และถ้าปัญหานี้แก้ยังคงดำเนินต่อไป วงการฟุตบอลไทยคงเหนื่อยหนัก สวนทางกับคำว่าการพัฒนาที่ยั่งยืน อย่างที่เราพูดคำนี้กันมาเสมอ อย่างแน่นอน