เมื่อ‘ทักษิณ ชินวัตร’ พยายามเป็น ‘เฮดของเฮดโค้ช’ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
"เฮดของเฮดโค้ช" อาจจะสิ่งที่คุ้นเคยสำหรับแฟนบอลไทย แต่ครั้งหนึ่งแม้แต่ลีกยักษ์ใหญ่อย่าง พรีเมียร์ลีก ก็เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้ ในยุคที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มี ทักษิณ ชินวัตร เป็นเจ้าของ
เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น และสุดท้ายมันลงเอยอย่างไร ? ติดตามไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
ช่วงฮันนีมูน
ทักษิณ ชินวัตร กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างในหมู่แฟนบอลอังกฤษ ในปี 2007 หลังอดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ที่โดนรัฐประหาร เมื่อ 1 ปีก่อน กลายเป็นเจ้าของคนใหม่ ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้
ภารกิจแรกของเขาคือการแต่งตั้ง สเวน โกรัน อีริคส์สัน อดีตกุนซือทีมชาติอังกฤษขึ้นเป็นเฮดโค้ชคนใหม่ พร้อมอนุมัติเงิน 30 ล้านปอนด์ เป็นค่าใช้จ่ายในการเสริมทัพ
“ผมไม่เคยติดต่อกับทักษิณเลยก่อนที่เขาจะเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสร แต่หลังจากนั้น ตัวแทนเขาที่ผมจำชื่อไม่ได้ก็บอกว่า ทักษิณ และคนของเขาสนใจที่จะจ้างผมมาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่” อีริคส์สัน ย้อนความหลังกับ Planet Football
“ผมรู้ว่าตอนนั้นแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ได้ยิ่งใหญ่ แต่พวกเขาบอกว่า พวกเขาจะลงทุนไปกับการซื้อนักเตะใหม่ๆ ดังนั้นหลังจากพูดคุยกันหลายครั้งที่ลอนดอน ผมก็ตอบว่า โอเค มาลุยกัน”
อีริคส์สัน ใช้เงินทุกปอนด์ได้อย่างคุ้มค่า และทำให้เขาได้ผู้เล่นมาเสริมทัพถึง 8 ราย อาธิ โรลันโด เบียงคี, แกลซง แฟร์นองเดซ, จิโอวานนี, เอลาโน, มาร์ติน เปตรอฟ, เวดราน ชอร์ลูก้า, วาเลรี โบยินอฟ และ ฮาเวียร์ การ์ริโด ที่ทำให้ ทีมที่ต้องดิ้นรนหนีตกชั้น ดูดีขึ้นมาทันตาเห็น
ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่ดูดี เพราะผลงานของแมนฯ ซิตี้ ก็โดดเด่นอย่างผิดหูผิดตา พวกเขาคว้าชัย 3 เกมรวดในพรีเมียร์ลีก รวมถึงคู่แข่งร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และแม้จะมาสะดุดแพ้ในนัดที่ 4 และ 5 แต่พวกเขาก็คว้าชัยได้ถึง 6 เกมจาก 10 นัดหลังจากนั้น
ผลงานที่ยอดเยี่ยม ทำให้บรรยากาศในทีมดีขึ้นไปตามกัน เช่นกันกับความสัมพันธ์ระหว่าง เจ้าของทีมและเฮดโค้ช อย่าง ทักษิณ และ อีริคส์สัน ที่ กุนซือชาวสวีเดน บอกว่าเขาจะมีเงินช็อปปิ้งนักเตะในตลาดหน้าหนาวถึง 50 ล้านปอนด์
“ทักษิณบอกว่าผมจะได้เงินใช้ 50 ล้านปอนด์ในเดือนมกราคม” อีริคส์สันบอกกับเจ้าหน้าที่สโมสร
อย่างไรก็ดี ความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น
เฮดของเฮดโค้ช
แม้ว่าฟอร์มที่สวยหรู จะทำให้แฟนบอลแมนฯ ซิตี้ มีความหวัง แต่ไม่มีใครคิดไปถึงว่าทีมจะสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก รวมถึง อีริคส์สัน ยกเว้นแค่คนเดียว ‘ทักษิณ ชินวัตร’
เขาพยายามเข้ามามีส่วนร่วมกับทีมมากขึ้น และกดดันให้ อีริคส์สัน พาทีมคว้าแชมป์ให้ได้ แต่ก็ไม่ได้ให้งบเสริมทีมมากเท่าที่ กุนซือชาวสวีดิช เคยว่าเอาไว้
“เขาไม่เข้าใจเรื่องฟุตบอลเลย ตอนคริสต์มาส ผมคิดว่าตอนนั้นเราอยู่ 2 หรือ 3 เราเริ่มต้นในลีกได้ดี ผมจำได้ว่าอาร์เซน เวนเกอร์ บอกกับผมว่าเราน่าทึ่งมาก ซึ่งเราเข้ากันได้ดีในเวลาไม่กี่เดือน” อีริคส์สัน กล่าวกับ Planet Football
“ดังนั้นเราจึงแฮปปี้มาก ผมบอกกับ ทักษิณ ชินวัตร ว่าเราเป็นทีมที่ดีมาก แต่ผมไม่คิดว่าเราจะคว้าแชมป์ลีกในซีซั่นนี้ หรือจบในอันดับ 2 หรือ 3 เราดีจริง แต่ไม่ได้ดีขนาดนั้น”
อันที่จริง ทักษิณ พยายามเข้ามามีส่วนร่วมกับสโมสรมาแล้วก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะการเซ็นสัญญา 3 ผู้เล่นชาวไทย อย่าง สุรีย์ สุขะ, ธีรศิลป์ แดงดา และเกียรติประวุฒิ สายแวว ที่ลงเอยด้วยการลงเล่นให้แมนฯ ซิตี้ในเกมอย่างเป็นทางการ 0 นัด
“ไม่มีใครที่มีหวังในการเล่นที่อังกฤษ แต่ทักษิณ ก็ดึงพวกเขามาสโมสร พาไปเซ็นสัญญาที่ห้องเพรสซิเดนทัล ซูท ในโรงแรมฮิลตัน และมอบเงินต้อนรับหลายพันปอนด์ให้กับทั้งสามคนเป็นการส่วนตัว” รายงานของ Daily Mail
“พวกเขาถูกปล่อยไปให้สโมสรในสวิสและเบลเยียมยืมตัว ที่ทุกคนลงเล่นรวมกันแค่ 6 เกมเท่านั้น”
นอกจากนี้ เขายังมีไอเดียที่แปลกใหม่ ที่สร้างความประหลาดใจให้แก่คนอังกฤษ ทั้งการให้เอา ถ้วยรูปช้างสองใบ และคริสตัลฝังเอาไว้ในสนาม ซิตี้ ออฟ แมนเชสเตอร์, สั่งห้ามสโมสรใช้ชุดเยือนสีม่วง โดยให้เหตุผลว่าเป็นสีกาลกิณี ไปจนถึงจ้างหมอนวดแผนไทย มานวดให้นักเตะที่เขามองว่าไม่ฟิต
“เขามีส่วนร่วมตลอดแหละ เขามีความคิดบ้า ๆ บอ ๆ และเราก็ต้องห้ามเขา” อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของแมนฯ ซิตี้ กล่าวกับ Sportsmail
ความพยายามเป็นเฮดของเฮดโค้ช ของ ทักษิณ ยังคงดำเนินต่อไป และนอกจากจะบอก อีริคส์สัน ให้พาทีมคว้าแชมป์ลีกให้ได้แล้ว เขายังลงไปคุยกับนักเตะด้วยตัวเอง แถมยังเคยไปพูดก่อนเกมว่า ให้คิดว่านัดนี้เป็นนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก
และสุดท้าย เมื่อ อีริคส์สัน ยืนยันว่าทำไม่ได้ ก็มีกระแสข่าวลือว่า นี่จะเป็นฤดูกาลสุดท้าย ในฐานะกุนซือ แมนฯ ซิตี้ของเขา ไปพร้อมกับการที่ ทักษิณ หลบหน้าไม่ยอมเจอเฮดโค้ชชาวสวีเดนอีกเลย
“จากนั้นในเดือนมีนา-เมษา ผมก็เริ่มรู้ว่าเขาไม่ค่อยแฮปปี้ เพราะตอนที่ผมอยากคุยเรื่องฤดูกาลหน้า เพื่อทำให้ทีมดีขึ้น แต่เขาก็มีข้อแก้ตัวเสมอ และไม่ยอมเข้าประชุม” อีริคส์สัน ย้อนความหลัง
และในที่สุด วาระสุดท้ายก็ดำเนินมาถึง
ทางขนานของสองผู้ยิ่งใหญ่
การออกมากดดันโค้ชของ ทักษิณ ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจในหมู่นักเตะและแฟนบอล จนทำให้กองเชียร์ แมนฯ ซิตี้ ต้องแต่งเพลงเป็นกำลังใจให้ อีริคส์สัน โดยท่อนหนึ่งร้องว่า “ทักษิณ ปล่อยให้สเวนทำงานไป”
นอกจากนี้ ในนัดสุดท้ายของฤดูกาลกับ มิดเดิลสโบรห์ ริชาร์ด ดันน์ กองหลังกัปตัน แมน ฯ ซิตี้ ได้เข้ามาคุยอย่างเปิดอกกับ อีริคส์สัน ว่าเขาไม่พอใจพฤติกรรมของเจ้าของทีม และขอประท้วงด้วยการไม่ลงเล่น
แม้ว่าสุดท้าย ดันน์ จะยอมลงนำทีมลงเตะกับโบโร่ แต่เขาก็อยู่ในสนามเพียงแค่ 5 นาที และทำให้เกมดังกล่าวจบลงด้วยสกอร์ 8-1 กลายเป็นความพ่ายแพ้ในพรีเมียร์ลีกมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีม
“ผมจำได้ว่าก่อนหน้านั้น (ที่จะถูกไล่ออก) เล็กน้อย กัปตัน ริชาร์ด ดันน์ มาหาผมที่สำนักงานและบอกว่า ‘เราไม่อยากเล่น’ แต่ผมก็บอกว่า ‘เราต้องเล่น เราต้องเป็นมืออาชีพ’” อีริคส์สันย้อนความหลัง
“เกมนัดสุดท้ายของฤดูกาล คือบุกไปเยือน มิดเดิลสโบรห์ และนั่นคือหายนะ ผมคิดว่า ดันน์ โดนใบแดงหลังผ่านไปห้านาที โชคร้ายที่ไม่มีใครอยากเล่นเกมนั้นเลย แต่เราน่าจะทำสำเร็จแล้ว”
ทั้งนี้ แม้ว่าเกือบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ ว่า อีริคส์สัน จะอยู่กับทีมแค่เพียงฤดูกาลนี้ แต่เขากลับต้องพาทีมไปทัวร์ที่ประเทศไทย ในเกมอุ่นเครื่องหลังจบฤดูกาล ก่อนจะถูกปลดหลังจากนั้น
“ไม่มีผู้เล่นคนไหนอยากไป และผมเองก็ไม่อยากไปด้วย” อีริคส์สัน กล่าวกับ Planet Football
“แต่ผมก็บอกนักเตะและตัวเองว่าเราต้องไป เรายังเป็นลูกจ้างของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเราต้องเป็นมืออาชีพ”
“แม้ว่าคุณจะรู้ว่าคุณจะถูกไล่ออก คุณต้องเป็นมืออาชีพจนวินาทีสุดท้าย และหลังจากนั้นผมก็สามารถบอกได้ว่าผมทำงานของผมเสร็จแล้ว นั่นคือสิ่งสำคัญ”
“แต่มันก็ไม่ดีเลย ในตอนนั้นทุกคนรู้ว่าผมจะไม่ได้เป็นผู้จัดการทีมต่อแล้ว แต่ทักษิณ ชินวัตรก็ไม่พูดอะไร ผมยังไม่ถูกปลดตอนนั้น จนกระทั่งวันสุดท้ายของการออกไปทัวร์ เขาบอกผมว่าเขาอยากเปลี่ยนผู้จัดการทีม”
“ผมถามเขาว่า ‘ใครจะมาแทนล่ะ?’ เขาบอกว่า ‘ผมไม่รู้ มันเป็นแค่ความรู้สึกว่าต้องทำ’ เขาไม่ได้ให้เหตุผลกับผมด้วยซ้ำ”
อย่างไรก็ดี นั่นก็เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของ “เฮดของเฮดโค้ช” แมน ฯ ซิตี้ เช่นกัน เมื่อปัญหาทางการเงิน จากบัญชีทรัพย์สินที่โดนอายัด ทำให้เขาต้องขายสโมสรให้กลุ่มทุนจากกาตาร์ ปิดฉากการเป็นเจ้าของทีมในพรีเมียร์ลีกด้วยระยะเวลาเพียงแค่ 1 ปี
และน่าจะเป็น 1 ปีที่ไม่มีวันลืม สำหรับ “สเวน โกรัน อีริคส์สัน” อย่างแน่นอน
แหล่งอ้างอิง