แนวคิด “ตะปูที่โผล่จะต้องถูกตอกลงไป” ที่ทำให้แข้งญี่ปุ่นไม่เล่นนอกเกม
ฟุตบอลไทยเกิดประเด็นร้อนจากการตะลุมบอนในนัดชิงซีเกมส์กับ อินโดนีเซีย จนถูกพูดถึงไปทั่ว
แม้ว่าการใช้ความรุนแรงนอกเกมกับเพื่อนร่วมอาชีพ อาจจะเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ้าง ไม่เว้นแม้กระทั่งลีกในยุโรป (โดยเฉพาะในลีกล่างที่ไม่ได้มีกล้องถ่ายทอดสดจับจ้อง) แต่จะมีอยู่ชาติหนึ่งที่แทบจะไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้
นั่นคือญี่ปุ่น เหตุใดพวกเขาจึงไม่ค่อยมีเหตุรุนแรงในสนาม ติดตามไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
ปลูกฝังตั้งแต่เด็ก
แม้ว่าเจลีก จะไม่ได้ต่างจากลีกทั่วไป ที่อาจมีการทำฟาล์วรุนแรงจนถึงขั้นได้ใบแดง แต่หากลองสังเกตุดู จะพบว่าผู้เล่นที่ผู้เล่นที่ถูกไล่ออกมักจะก้มหน้ารับกรรม โดยไม่ได้ฮึดฮัด หรือแสดงท่าที่โกรธแค้นเข้าไปเอาเรื่องกรรมการ
หรือแม้กระทั่งการเข้าปะทะ ไม่ว่าจะจงใจหรืออุบัติเหตุ น้อยครั้งที่พวกเขาจะเข้ามาหาเรื่องกัน ผลักอก หรือตะลุมบอนใส่กัน เหมือนที่เห็นในลีกยุโรป หรือบางครั้งในลีกไทย
และสิ่งที่ทำให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นน้อยมาก หรือแทบจะไม่เกิดเลยก็มาจากการถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็กให้เห็นถึงความสำคัญของ “ความมีน้ำใจนักกีฬา” ผ่านการศึกษา
เนื่องจากโดยพื้นฐานแล้วกีฬาญี่ปุ่น อยู่ใต้แนวคิดที่เรียกว่า Shin Gi Tai (ใจ-ทักษะ-ร่างกาย) ซึ่ง Shin นอกจากจะแปลว่าพลังใจในการแข่งขัน ไม่ยอมพ่ายแพ้แล้ว ยังรวมไปถึง “หัวใจ” ในฐานะมนุษย์ ที่ต้องคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นอีกด้วย
มันคือสิ่งที่ถูกย้ำเตือนทั้งในคาบพละศึกษา ตอนทำกิจกรรมชมรม หรือแม้กระทั่งการแข่งขันในระดับเยาวชน
พวกเขามักจะให้คุณค่ากับนักเตะที่เล่นอย่างซื่อสัตย์ และเคารพผู้อื่น มากกว่านักเตะที่คิดถึงแต่ชัยชนะเพียงอย่างเดียว
ขณะเดียวกัน สมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น (JFA) ก็มีบทบาทสำคัญในการปลูกฝัง “น้ำใจนักกีฬา” ด้วยการนำระบบใบเขียว หรือ เครื่องหมายแสดงการเล่นแบบแฟร์เพลย์ มาใช้ในการแข่งขันฟุตบอลรุ่นอายุไม่เกิน 12 ปี มาตั้งแต่ปี 2008
มันคือการ์ดที่มอบให้กับผู้เล่นที่เห็นอกเห็นใจคู่แข่งที่ได้รับบาดเจ็บ, ซื่อสัตย์ยามบอลข้ามเส้น ทั้งลูกทุ่ม เตะมุม และประตู รวมไปถึงการห้ามเพื่อนร่วมทีมที่ก่อเรื่อง หรือกำลังจะไปทะเลาะกับฝ่ายตรงข้าม
“ระบบใบเขียวเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Japan Respect ซึ่งเจลีกได้เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2008 การแสดงความเคารพต่อฝ่ายตรงข้ามเป็นสิ่งสำคัญในวัฒนธรรมญี่ปุ่น และเราก็อยากให้มันเป็นสไตล์ของเรา เพื่อเพิ่มคุณค่าของกีฬา” เจ้าหน้าที่ของ JFA อธิบาย
ทั้งนี้ นี่ไม่ใช่สิ่งเดียว ที่ทำให้พวกเขาเป็นแบบนี้
แคร์สายตาคนอื่น
ด้วยความที่ญี่ปุ่นเป็นสังคมแบบกลุ่ม จึงทำให้พวกเขามักจะทำอะไรเหมือนกัน ไม่ผิดแผกไปจากคนในกลุ่ม หรือมาตรฐานของสังคม เพราะมันจะทำให้พวกเขาหลุดจากกลุ่ม หรือถูกกลั่นแกล้ง
มันสะท้อนได้จากการที่พวกเขามีสุภาษิต 出る杭は打たれる (deru kui wa utareru) หรือ “ตะปูที่โผล่ออกมาจะต้องถูกตอกลงไป” ซึ่งมีความหมายว่าการกระทำที่ออกนอกหน้าคนอื่น หรือแตกต่างจากคนอื่น ย่อมถูกรังเกียจ หรือโดนลงโทษ
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ชาวญี่ปุ่น กลายเป็นชาติที่เคร่งครัดกับกฎระเบียบมากที่สุดของโลก พวกเขายินยอมพร้อมใจที่จะทำตามกฎหมาย เพื่อความเป็นระเบียบของสังคม ที่มักมีเรื่องเล่าจากคนต่างประเทศที่ไปญี่ปุ่นว่า แม้ว่าบนถนนจะไม่มีรถ หากไฟบนทางข้ามยังไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียว คนญี่ปุ่นก็จะไม่ยอมข้ามไปเด็ดขาด
“มันเป็นสถานที่ที่ใช้ชีวิตอยู่ง่าย แต่สิ่งเดียวที่ยากคือพวกเขาเข้มงวดกับกฎและระเบียบมาก” เจย์ โบธรอยด์ อดีตกองหน้าเมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ค้าแข้งอยู่ในญี่ปุ่นราว 6 ปีกล่าวกับ The Athletic
“กฎมันชัดเจน และคุณต้องทำตาม ในช่วงแรกมันสร้างความหงุดหงิดให้ผม แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็เริ่มชินกับมัน ผมเริ่มปรับตัวได้ดีขึ้น และผู้คนก็เริ่มยอมรับผม”
เช่นกันกับฟุตบอล พวกเขายึดมั่นกับกฎกติกาเป็นสำคัญ ไม่ตุกติกหรือเล่นนอกเกม หรือพุ่งล้ม ด้วยความเคารพคู่แข่ง ดังนั้น การปะทะกันถึงขั้นชกต่อยกับเพื่อนร่วมอาชีพ หรือทำร้ายกรรมการ จึงลืมไปได้เลย
“พวกเราชาวญี่ปุ่นค่อนข้างละเอียดอ่อนมากเกี่ยวกับชื่อเสียงในสายตาคนอื่น” ไมโกะ อาวาเนะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการรัฐบาลเมืองฮิโรชิมา กล่าวกับ BBC
“เราไม่อยากให้คนอื่นคิดว่า เราเป็นคนไม่ดี ที่ไม่ได้รับการศึกษาเพียงพอ”
ฟิลิปป์ ทรุสซิเยร์ กุนซือทีมชาติเวียดนาม ที่เคยคุมทัพซามูไรบลูช่วงปี 1998-2002 ก็เคยมีประสบการณ์นี้ เขายอมรับว่าบางครั้งความซื่อสัตย์ของนักเตะญี่ปุ่น ก็กลายเป็นอุปสรรคในการต่อกรกับชาติจากต่างทวีป
“ในช่วงเวลานั้น เวลาเราพูดถึงฟุตบอลญี่ปุ่น มักจะมีคำพูดว่าเราโง่และซื่อเกินไป” กุนซือชาวฝรั่งเศสกล่าวกับ Football Asian
“ตามกฎของฟีฟ่าบอกว่าไม่ควรสัมผัสคู่ต่อสู้ที่มีบอล แต่ในยุโรป พวกเขาใช้ศอกกันโดยไม่สนใจอะไร แต่มันไม่เป็นแบบนั้นในญี่ปุ่น”
“ตอนที่ผมเตรียมทีมสำหรับฟุตบอลโลก ผมบอกผู้เล่นญี่ปุ่นให้ลืมกฎฟีฟ่าเวลาเจอทีมจากยุโรป กฎของฟีฟ่าทำให้คุณโง่ และคุณจะไม่ชนะ คู่ต่อสู้จะเหยียบเท้าเรา ตีเราดึงเสื้อเราและยั่วยุเรา เราต้องเตรียมตัวเพื่อสิ่งนั้น”
อย่างไรก็ดี เจลีกเองก็มีบทบาทไม่น้อยในเรื่องนี้
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
คอร์สลดคนหัวร้อน
แม้ว่าแข้งชาวญี่ปุ่น จะได้รับการปลูกฝังมาเป็นอย่างดีตั้งแต่ระดับเยาวชน แต่บางครั้งฮอร์โมนในวัยรุ่นก็ทำให้พวกเขาพลุ่งพล่าน และขาดสติ จนทำในสิ่งที่ไม่คาดคิด หรือเสียใจทีหลังลงไป
เจลีกรู้ดีในส่วนนี้ จึงได้มี “งานสัมมนาแข้งหน้าใหม่เจลีก” พร้อมกับการถือกำเนิดขึ้นของลีกอาชีพญี่ปุ่นในปี 1993 เพื่อเตรียมความพร้อมเหล่าแข้งวัยรุ่นสู่ความเป็นมืออาชีพ
ในช่วงแรกเจลีกใช้วิธีถามความสมัครใจ ใครจะเข้าก็ได้ไม่เข้าก็ได้ ทว่าหลังจากปี 2004 พวกเขาได้บังคับให้นักเตะสัญชาติญี่ปุ่นที่ลงเล่นในเจลีกเป็นปีแรกทุกคนต้องเข้าร่วม
โดยในงานสัมนาจะมีข้อมูลที่จำเป็นสำหรับนักฟุตบอลอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทั่วไปอย่างกฎระเบียบต่างๆ, การใช้สารกระตุ้น หรือการพนันไปจนถึงเรื่องที่อาจทำให้พวกเขาทำตัวไม่เหมาะสม เช่น การตอบคำถามกับสื่อ, ความรู้ด้านภาษี, สิทธิมนุษยชน และการเข้าสังคม
“เอาเป็นว่า สำหรับปีแรกในการเล่นอาชีพ มันจะเกิดความผิดพลาดมากมายอย่างต่อเนื่องในชีวิตเลยล่ะ”เคงโงะ นาคามูระ อดีตแข้งคาวาซากิ ฟรอนทาเล กล่าวกับรุ่นน้องผ่านทางวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ในงานเมื่อปี 2017
“แน่นอนว่าเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น อาจจะทำให้พวกนายใจฝ่อ หรือท้อถอยไม่น้อย แต่นี่แหละคือประเด็นสำคัญ พวกนายจะกลับมาสู้ต่อ แก้ตัวจากความผิดพลาด หรือเริ่มต้นใหม่ได้รึเปล่า”
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้เล่นยุคปัจจุบัน งานสัมนาจะย้ำเตือนให้พวกเขาใช้มันอย่างมีสติ และไม่ใช่อารมณ์เหนือเหตุผล เพราะบางครั้งอาจจะกลายเป็นเครื่องมือทำร้ายผู้อื่น โดยเฉพาะในแง่ของจิตใจ
มันคือ “การรับผิดชอบตัวเอง” และ “เคารพผู้อื่น” ซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานของชาวญี่ปุ่นในทุกมิติของวิถีชีวิต ที่ทำให้ฟุตบอลของพวกเขาแทบไม่มีปัญหาทะเลาะต่อยตี หรือทำร้ายคู่แข่ง
ไม่ว่าจะเกมระดับอาชีพ หรือเกมสมัครเล่นในท้องถิ่นก็ตาม
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
El Chino : ทำไมสโมสรใน ลา ลีกา จึงมีเด็กเอเชียอยู่ในเยาวชนแทบทุกทีม ?
เงินเยอะกว่า ≠ แชมป์ลีก : วิสเซล โกเบ ทีมรวยสุดในญี่ปุ่นที่ล้มเหลวเรื่องความสำเร็จ
นันคัตสึ เอสซี : ทีมนอกลีกที่คนวาด “สึบาสะ” วางปากกาเพื่อมาปลุกปั้นสู่เจลีก
แหล่งที่มา
https://www.bbc.com/travel/article/20191006-what-japan-can-teach-us-about-cleanliness
https://theathletic.com/2303080/2021/01/10/jay-bothroyd-football-soccer/
http://www.football-asian.com/news/articleView.html?idxno=34
https://www.jleague.jp/en/news/article/4725/
https://www.jleague.jp/en/news/article/4842/
https://www.jleague.jp/en/news/article/8293/
https://www.jleague.jp/news/article/11394/
https://www.jleague.jp/news/article/11409/
https://www.sponichi.co.jp/soccer/news/2018/02/01/kiji/20180201s00002000419000c.html