อิชิอิ เปลี่ยนได้ : "ไทย" เป็นรองสุดกู่ สู้ยังไงให้ต้านไหว ?

อิชิอิ เปลี่ยนได้ : "ไทย" เป็นรองสุดกู่ สู้ยังไงให้ต้านไหว ?
ชยันธร ใจมูล

นับตั้งแต่ มาซาทาดะ อิชิอิ เข้ามาคุมทีมชาติไทย เชื่อว่าแฟนบอลไทยคนรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมาก ๆ ในการยกระดับที่แฟน ๆ ฝันว่า "เราจะไปอยูในระดับเอเชีย"

หลังเกมเสมอกับเกาหลีใต้ เขาแสดงการเปลี่ยนแปลงนั้นให้เห็นอีกครั้งว่า "ไม่ฟลุก" และการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้นคืออะไร

อ่านบทความทั้งหมดที่นี่

เริ่มต้นที่รู้จักตัวเอง

ก่อนหน้านี้เวลาที่ทีมชาติไทยเจอกับทีมระดับเอเชีย สิ่งที่เราเห็นมาตลอดคือการพยายามสู้แบบถึงที่สุด แต่เรามักจะไมได้ผลการแข่งขันที่ต้องการกลับมา ซ้ำร้ายส่วนใหญ่จะหนักไปทางแพ้ทั้งสกอร์ และแพ้ทั้งรูปเกมอยู่ร่ำไป

เหตุผลสุดคลาสสิกที่ไม่ว่ากี่โค้ชต่อกี่โค้ชก็พูดเหมือนกันนั่นคือ "นักเตะไทยไม่ชอบเล่นเกมรับ" สิ่งนี้มันเป็นเหมือนกับการฝังใน DNA คนไทยเรา เพราะเราชื่นชอบอะไรที่สนุก เอ็นเตอร์เทน มากจนเกินไป จนทำให้เราหลงลืมพื้นฐานของฟุตบอลในยามที่ต้องการผลการแข่งขันนั่นคือ "เกมรับ"

โชเซ่ มูรินโญ่ กุนซือระดับโลกในช่วง 20 ปี หลังมักจะบอกเสมอว่าการสร้างเกมรับที่ดีนั้นง่ายกว่าการเล่นเกมรุกที่ไร้เทียมทาน เพราะเกมรุกที่ไร้เทียมทานนั้นมีส่วนประกอบหลายอย่าง ไม่ว่าจะฝีเท้าของนักเตะ, คลาสของนักเตะ ไปจนจินตนาการหรือที่เรียกกันว่าเซ้นส์ในการเข้าทำ ซึ่งมักจะปรากฎในหมู่นักเตะระดับแถวหน้าของโลก เป็นสกิลที่ติดตัวมาพร้อม ๆ กับพรสวรรค์ทั้งนั้น กว่าที่เราจะได้เห็นเกมรุกที่ลื่นไหล มีลุ้นประตูตลอดเวลาขนาดนั้น

แต่การซ้อมเกมรับนั้นง่ายกว่า เพราะสิ่งนี้สามารถฝึกและสอนกันง่ายกว่า เนื่องจากมันต้องอาศัยสมาธิ ความฟิตของร่างกาย การทำงานร่วมกันแบบเป็นทีม และการยืนตำแหน่งและแท็คติกเล็ก ๆ น้อยที่คุณสามารถฝึกกันในสนามและโรงยิมได้

แน่นอนว่าระดับของทีมชาติไทยนั้นเวลาที่เจอกับทีมระดับโลก เราเป็นรองเยอะ แทบทุกด้าน ดังนั้นถ้าเรายังคิดเรื่องการเล่นเกมรุกมากกว่าเกมรับ เราจึงตายน้ำตื้นอยู่ประจำแบบที่คุณเห็นมาในยุคก่อน ๆ ลองย้อนกลับไปสัก 3-4 ปี ก็น่าจะเห็นภาพชัดอยู่

ดังนั้น อิชิอิ เปลี่ยนแปลงสิ่งแรกให้กับทีมชาติไทยชุดนี้คือการรู้จักระดับของตัวเอง มวยเก่งเล็ก ยากจะชนะเก่งใหญ่ได้หากบวกหมัดเเลกกันซึ่ง ๆ หน้า เพราะพวกเขาเก่งกว่า แข็งแรงกว่า หมัดหนักกว่า วัดกันทีต่อที ถ้าเขาซัดมาแบบแม่น ๆ สักเปรี้ยง เก่งเล็กอย่างไทยก็น็อคได้ง่าย ๆ

เก่งเล็กอย่างไทยในยุคของ อิชิอิ จึงเป็นฟุตบอลที่มีทั้งความฟิต สมาธิ ความสามามัคคีในการเล่นเกมรับสูงมาก จะได้เห็นมาตั้งแต่ในช่วงเอเชียน คัพ ที่ไทยมักจะเล่นเกมรับพร้อมกันทั้ง 11 กัน แม้กระเราจะมีการวางตัวรุกถึง 4 คน แต่เมื่อถึงเวลาต้องเล่นเกมรับเมื่อไหร่ "4 ตัวบน" ของไทยเอาสุดเสมอ ถอยลงมาช่วยเล่นเกมรับ มาช่วยซ้อนแบ็ค และเข้าคู่ประกบ ไม่ปล่อยให้คู่แข่งสลัดได้ง่าย ๆ

และเมื่อทุกคนเล่นเกมรับแบบพร้อมหน้าพร้อมตา พร้อมใจกันวิ่ง มันช่วยให้ช่องในการโจมตีของคู่แข่งน้อยลง ไล่มาตั้งแต่ ซาอุดิอาระเบีย ในเอเชี่ยน คัพ หรือ เกาหลีใต้ ในเกมนี้ หากใครได้ดูเกม 90 นาทีเต็ม ก็จะเห็นว่า เราแทบไม่ปล่อยให้พวกเขาหลุดเดี่ยวเข้ามาล่อเป้าชนิดที่ต้องพึ่งดวงให้ไม่เสียประตูเลย

และสิ่งที่เห็นเป็นประจำคือทุกคนช่วยกันบัง ช่วยกันพุ่งตัวกันสกัดในพื้นที่สุดท้าย หรือแม้กระทั่งการเกะกะใส่นักเตะคู่แข่งให้ทำอะไรได้ยากขึ้น ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้เราไม่ได้โดนตั้งป้อม หรือล่อเป้ายิง ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

จิตใจตลอด 90 นาที

นอกจากเรื่องเกมรับและวิธีการเล่นที่ควรได้รับการชื่นชมแล้ว สิ่งหนึ่งที่ลืมไมได้เลยคือ อิชิอิ สร้างทัศนคติให้กับทีมชุดนี้ได้ดีมาก จังหวะการเดิน หรือจ็อกกิ้ง ปล่อยให้เป็นภาระเพื่อนในการป้องกัน แทบไม่มีให้เห็น

เหนือสิ่งอื่นใดคือการพยายามมีสมาธิ กระตุ้นกันอยู่ตลอดเวลา อย่างในเกมกับเกาหลีใต้ที่เพิ่งผ่านไป เราได้เห็นจังนักเตะไทยชี้ไม้ชี้มือ และตะโกนเรียกกันตลอดในการปิดพื้นที่เวลาที่เราเป็นฝ่ายรับโดยเฉพาะช่วงท้ายเกม

ซึ่งการบอก การเตือน การสื่อสารกันนี้เองทำให้นักเตะเเต่ละคนมีสมาธิกับเกมมากขึ้น แม้ว่าอาจจะไม่ได้มีสมาธิเข้มเขม็งเกลียวตลอด 90 นาที และยังห่างไกลจากคำว่าสมบูรณ์แบบ แต่การเปลี่ยนแปลงแบบที่เราได้เห็นในทีมชาติไทยชุดนี้ ก็ถึอเป็นการเริ่มต้นที่ดีมาก ๆ แล้ว

จุดนี้ถ้าไม่ชม อิชิอิ ก็ไม่ได้อีก หลังจบเอเชียย คัพ สิ่งที่เขาบอกกับนักเตะคือการขยับมาตรฐานตัวเองขึ้นในครั้งหน้าที่เจอกัน และมีการพูดกระตุ้นในเชิงที่เราเป็นแฟนบอลได้ฟังก็ยังพาลฮึกเหิมไปด้วยเลยด้วยซ้ำ

ซึ่งการกลับมาเจอกันหนนี้ ทุกคนก็ยกระดับได้ดีขึ้นจริง ๆ ถามว่ารู้ได้ยังไง ? ... ผลการแข่งขันเกมนี้มันบอกเราหมดแล้ว ก่อนเกมใครจะคิดว่าเราทำได้ขนาดนี้บ้าง ? นี่คือการทำงานหนักร่วมกันอย่างแน่นอน 100% เพราะในโลกฟุตบอลนั้นคำว่าฟลุ๊กไม่มีอยู่จริง

ไม่ลืมที่หารูชนะ

เราเน้นที่เกมรับกันก็จริง แต่เกมรุกเราก็ทำหน้าที่ได้ดีตามอัตภาพ สิ่งหนึ่งที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ และมองเห็นในเกมนี้คือการชิงจังหวะ เพราะเราในฐานะทีมที่เป็นรองสุดกู่ เรารู้ดีว่าการต่อบอล หรือใช้สกิลเลี้ยงเลาะ เจาะทำชิ่งเข้าไปยิงมันไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่าย ๆ

ดังนั้นในเกมนี้หากเราสังเกตุดี ๆ คือในช่วงที่เราตามหลัง เราพยายามเล่นเกมรับเพื่อให้ความห่างยังอยู่ที่ลูกเดียวเพื่อความหวังในการตีเสมอ ... และเมื่อเกาหลีใต้ ชะล่าใจพวกเขาไม่พยายามโหมบุก แต่เปลี่ยนไปเคาะบอลและรอให้ไทยขึ้นมาไล่เพื่อจะรอโจมตีพื้นที่ว่าง เราก็ใช้จังหวะนั้นย้อนศรเกาหลีใต้ได้สำเร็จ จากสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถกดดันเราได้นั่นคือ "ลูกทุ่ม"

จังหวะก่อนที่ไทยจะได้ประตู เราจะได้เห็นการทุ่ม ที่มีการข้ามหลอก และทำให้ ชนาธิป ได้ยิงแต่บอลปลิ้นออกข้างไป .. นี่เป็นครั้งแรกเลยทีเราเจาะเข้าไปยิงในกรอบได้ โดยมีจุดเริ่มต้นจากลูกทุ่ม

อีกไม่กี่อึดใจเท่านั้นลูกทุ่มจากฝั่งซ้ายก็ได้ผล ไทย ทุ่มและข้ามหลอกก่อนเล่นบอลให้น้อยจังหวะที่สุดถ่ายออกมาที่ว่าง และเป็น มิคเคลสัน ที่อัดกึ่งยิ่งกึ่งผ่านและนำไปสู่การเข้าชาร์จของ ศุภณัฎฐ์ เหมือนตา นำไปสู่ประตูตีเสมอได้ในท้ายที่สุด

ซึ่งหลัจากนั้นเราวนกลับที่ 2 ข้อด้านบนที่เรากล่าวมา สมาธิ ความฟิต ความสามัคคี และวินัยในการเล่นเกมรับที่ดีแบบผิดหูผิดตา ช่วยให้เราได้แต้มประวัติศาสตร์ครั้งนี้ ... แน่นอนว่านักเตะและทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ชทุกคนสมควรได้รับคำชมเป็นอย่างยิ่ง

แชร์บทความนี้
หัวหน้ากองบรรณาธิการ, คิดไซด์โค้ง-ThinkCurve
mask-bg
logo-black

SOCIAL MEDIA

สนใจโฆษณาติดต่อ