‘คาแรกเตอร์แชมป์’ และ ‘ความใจสู้’ สองปัจจัยสำคัญพา บุรีรัมย์ คว้าสามแต้มเหนือ ประจวบ
ชัยชนะของ บุรีรัมย์ แบบหืดจับในบ้านเหนือ พีที ประจวบ เอฟซี 1-0 เป็นอีกครั้งที่ขุนพลปราสาทสายฟ้า แสดงให้เห็นว่า ทีมแชมป์เล่นกันยังไง? การไม่ถอดใจจนถึงนาทีสุดท้าย จะส่งผลบวกแบบไหนให้กับทีมกันบ้าง?
แต่กว่าที่ทาง จอร์จินโญ่ จะพาลูกทีมคว้าสามแต้มมาครองได้นั้น พวกเขาต้องเจอกับความยากลำบาก เรื่องต่างๆ มากมาย ที่ยังไม่สามารถปรับจูนทีมได้อย่างลงตัว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขาฟอร์มสะดุดเล็กๆ น้อยๆ อยู่ในเวลานี้
การเปลี่ยนแปลงท่ามกลางปัญหาที่รุมเร้าของ บุรีรัมย์ นั้นมีที่มาจากอะไร? ปัจจัยใดที่ทำให้พวกเขาคว้าชัยเหนือทีมกลุ่มลุ้นหนีตกชั้นอย่าง ต่อพิฆาต ได้ในเกมนี้? ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
รูปแบบการเล่นที่ต่างจากเดิม
ก่อนหน้านี้ในยุคของ อาเธอร์ ปาปาส หรือแม้แต่ในยุคของ มาซาทาดะ อิชิอิ การเล่นของ บุรีรัมย์ มักจะถูกแฟนบอลคู่ต่อสู้ รวมไปถึงแฟนบอลทีมอื่นๆ ในลีก โจมตีว่า เป็นทีม ‘บอลโยน’ เน้นการเข้าทำด้วยการโดยครอสบอลเข้าไปลุ้นในกรอบเขตโทษ อาศัยผู้เล่นที่สูงใหญ่ อาทิ ศุภชัย ใจเด็ด, ลอนซาน่า ดุมบูย่า หรือ อดีตกองหน้าอย่าง โจนาธาน โบลิงกิ เข้าโจมตีจากลูกกลางอากาศ
พอทางบอร์ดบริหารอย่างคุณ เนวิน ชิดชอบ ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงเฮดโค้ชแบบฉับพลันในช่วงโค้งสุดท้ายจาก ปาปาส มาเป็นทาง จอร์จินโญ่ กุนซือมากประสบการณ์ชาวบราซิล รูปแบบการวางแท็คติกและระบบการเล่นก็แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
แน่นอนว่าสิ่งที่เห้นได้ชัดเจนที่สุด คือ จังหวะการเข้าทำประตูที่สร้างสรรค์โอกาสได้น่้อยลง เน้นการครองเกม ถ่ายบอลไปรอบๆ อาศัยบอลคิลเลอร์พาสจากแนวลึกแดนกลาง ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากผู้เล่นริมเส้นที่มีความเร็วเท่ากับในยุคก่อน
ผลงานในการคุมทีมบนเวที ไทยลีก นัดแรกของ จอร์จินโญ่ แม้ว่าจะประเดิมสวยด้วยสามแต้ม แต่ต้องยอมรับกันตามตรงว่า ฟอร์มการเล่นโดยรวมไม่น่าประทับใจเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเกมรุกที่เคยดุดันกลับตื้อลงไปดื้อๆ ต่อให้จะเป็นช่วงปรับตัว แต่การมีผู้เล่นคุณภาพเหนือกว่าคู่แข่งหลายเท่า ก็ควรจะทำได้ดีกว่าที่เป็นอยู่
พอมาเกมที่สองที่ต้องบุกไปเจองานหนักในการออกไปเยือน บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ปรากฎว่า ขุนพลปราสาทสายฟ้า มีโอกาสส่องประตูไปเพียงแค่ 7 ครั้งเท่านั้น ทั้งที่เจ้าบ้านก็ไม่ได้เล่นได้เข้าฝักอะไรมากมาย แต่เหมือนพวกเขากำลังตื้อๆ ตันๆ เองมากกว่า จนผลจบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 แบ่งกันไปทีมละแต้ม แล้วส่งผลให้ปลุกความหวังรองจ่าฝูง แบงค็อก ยูไนเต็ด กลับมาลุ้นแชมป์เต็มตัวได้อีกครั้ง
ซึ่งทาง จอร์จินโญ่ ก็รู้ตัวว่าลูกทีมของเขาโชว์ฟอร์มได้ไม่ดีนัก หลังจากที่ออกมาให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า
"ครึ่งแรก ทีมเราเล่นกันได้ดีมาก เรารู้ว่าเกมนี้เป็นเกมที่ยาก แต่พอครึ่งหลังมา เราครองบอลได้ไม่ดีเท่าไหร่...ผมว่าทุกคนเข้าใจระบบของผมดี อย่างครึ่งหลัง พอเรามีปัญหาเรา โยก ลูคัส (คริสปิม) ไปเล่นทางซ้าย และเอา ธนกฤต (โชติเมืองปัก) ลงเล่นแทน ส่วนวิงแบ็กสองข้างของเรา มีความเร็วอยู่แล้ว ทั้ง นฤบดินทร์ (วีรวัฒโนดม) หรือ ศศลักษณ์ (ไหประโคน) เอง ผมคิดว่าทุกคนเข้าใจอยู่แล้ว"
"ผมว่าไม่เกี่ยวกับเรื่องของความฟิตหรืออะไร แต่ บีจี เอง พวกเขามีนักเตะอย่าง ชนาธิป (สรงกระสินธ์) หรือ ธีรศิลป์ (แดงดา) ที่ลงไปเปลี่ยนเกมได้ ส่วนบุรีรัมย์เรา หลายคนในทีมเพิ่งหายเจ็บกลับมา มันเลยทำให้การเปลี่ยนเกมออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่"
ปัญหาสำคัญที่ทำให้ บุรีรัมย์ ทำผลงานได้กระท่อนกระแท่นในช่วงหลัง คือ การขาดหายไปของผู้เล่นตัวหลักที่มีอาการบาดเจ็บมาจากเกมทีมชาติ ซึ่งทำให้อาวุธในการโจมตีของพวกเขาหายไปหลายอย่าง แล้วนั่นก็ส่งผลยาวมาจนถึงในเกมที่ต้องเปิดบ้านรับมือกับ พีที ประจวบ ทีมในกลุ่มลุ้นหนีตกชั้น ที่มาสู้แบบสุดใจในเกมนี้
ตัวหลักไม่อยู่ถึงรู้ว่าสำคัญ
การขาดหายไปของ ธีราทร บุญมาทัน ดาวเตะสาระพัดประโยชน์มากประสบการณ์ และ พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี กองกลางไดนาโม ทำให้อาวุธในการโจมตีคู่แข่งของ บุรีรัมย์ ที่เป็นทีเด็ดหายไปหลายอย่าง จนต้องมาหวังพึ่งบอลทะลุทะลวงของ ฏรัน เคาซิช และความสามารถเฉพาะตัวของ ลูคัส คริสปิม และ กิลเยร์เม่ บิสโซลี่ เป็นทีเด็ด
อย่างไรก็ตามการออกบอลที่ได้เปรียบของ อุ้ม ทั้งระยะสั้น-ยาว, การเล่นลูกเซ็ตพีซที่แม่นยำ และ การสอดขึ้นไปยิงประตูในช่วงเวลาบีบหัวใจ คือ สิ่งที่ขาดหายไป ยังไม่นับรวมไปถึงการกระตุ้นเพื่อนร่วมทีม ยามสถานการณ์เข้าสู่ช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน
ทางฝั่ง พีรดนย์ แม้จะได้ลงเป็นตัวจริงสลับกับตัวสำรองแล้วแต่ระบบการเล่น ก็เป็นอีกหนึ่งตัวหมากในการพลิกเกม ด้วยการเอาชนะพื้นที่แดนกลางด้วยความขยัน การเข้าปะทะแบบถึงลูกถึงคน และยังมีทีเด็ดจากการยิงไกลและสอดขึ้นไปทำประตูจากแถวสองอีกด้วย
การดวลกับ ต่อพิฆาต วันนี้ ธีราทร และ พีรดนย์ ก็ยังไม่สามารถหายเจ็บกลับมาได้ทัน ทำให้ทาง จอร์จินโญ่ จำเป็นต้องใช้ตัวผู้เล่นเท่าที่มีอยู่ในมือ ซึ่งก็นับเป็นชุดที่ดีที่สุดและแข็งแกร่งกว่าทีมเยือนมาก แต่รูปเกมที่ออกมา ต่อให้ทางฝั่งเจ้าถิ่นครองบอลทำเกมบุกเข้าใส่ได้มากแค่ไหน ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทะลวงแนวรับของทีมเยือนที่เล่นกันได้อย่างมีวินัย
ก่อนเกมแฟนบอลของ พีที ประจวบ อย่าง คิง ก่อนบ่าย ก็มีการเติมรสชาติให้กับการเจอกันของทั้งสองทีม ด้วยการเติมเชื้อไฟจากการพูดไว้ว่า
‘วันนี้โค้ชเตี้ยจะสร้างประวัติศาสตร์ พาประจวบบุกอัดบุรีรัมย์ ระวัง VAR ในเขตโทษอย่างเดียว’
พอถึงจังหวะก่อนที่เกมจะเริ่มขึ้น ไม่รู้ว่า โค้ชเตี้ย-สะสม พบประเสริฐ รู้เรื่องนี้มาก่อนหรือไม่? แต่ก็มีการปลุกใจลูกทีมด้วยคำพูดในทิศทางเดียวกันว่า
‘ไม่มีใครคิดหรอกว่าเราจะชนะเค้า แต่เราต้องคิด!’
แท็คติกของอาคันตุกะวันนี้ โค้ชเตี้ย ตั้งใจมาตั้งรับลึกแบบอดทน คุมโซนเกมรับแน่น อาศัยจังหวะโต้กลับเร็วในการโจมตี อาศัยความสามารถเฉพาะตัวของแนวรุกต่างชาติสามตัวบนอย่าง แดร์เลย์, วู กึน-ยอง และ ซามูเอล โรซ่า คอยปั่นป่วนแนวรับ บุรีรัมย์ แล้วก็ค่อนข้างจะได้ผลเลยทีเดียว แม้ว่าจะไม่มีโอกาสจะๆ ในการทำประตู แต่ทุกคนก็ช่วยยื้อซื้อเวลาในการเก็บบอลประวิงเวลาไปได้หลายจังหวะ
ความใจสู้ และ วินัยในการเล่นของขุนพล ต่อพิฆาต คือ สิ่งที่ต้องชื่นชมพวกเขาในเกมนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดชัดเจน อดทนเล่นเกมป้องกันอย่างเต็มกำลัง แต่กประตูผีจับยัดของ คิม มิน-ฮยอก เป็นสิ่งที่ โค้ชเตี้ย และผู้เล่นทีมเยือนไม่ได้เตรียมใจรอรับเอาไว้มาก่อน
ไม่เคยถอดใจ
เมื่อศักดิ์ศรีแชมป์เก่าของผู้เล่น บุรีรัมย์ ยังคงค้ำคอ ย่อมเป็นสิ่งที่คอยกระตุ้นให้ผู้เล่นทุกคนในทีมมีความเชื่อมั่น มีความกระหายชัยชนะ พร้อมเดินเครื่องจนถึงนาทีสุดท้ายแบบไม่ยอมแพ้ ต่อให้ต้องเจอกับกำแพงที่สูงมากแค่ไหนก็ตาม
คู่ต่อสู้ที่เป็นทีมท้ายตารางลุ้นหนีตกชั้นอย่าง พีที ประจวบ ไม่ใช่งานง่ายเลยที่พวกเขาจะผ่านไปได้โดยง่าย การตั้งโซนเกมรับที่เหนียวแน่น คุมพื้นที่ได้อย่างยอดเยี่มฃยม ผู้เล่นแต่ละคนต่างช่วยกันเล่นอย่างมีวินัย รับลึกในจังหวะที่ถูกกดัน แล้วรอจังหวะสวนกลับด้วยตัวผู้เล่นต่างชาติ คือ แผนการที่ทาง โค้ชเตี้ย วางมาได้อย่างแยบยล
ทีมเยือนสามารถยันเสมอกับเจ้าถิ่น บุรีรัมยฺ์ กัดฟันสู้ได้อย่างสูสีนานถึง 80 นาที แต่เพียงจังหวะเดียวที่ปล่อยให้ผู้เล่นอย่าง คิม มิน-ฮยอก มีจังหวะได้สับไกเน้นๆ จากนอกกรอบเขตโทษระยะกว่า 30 หลา บอลกลับพุ่งแรงเป็นปืนใหญ่ ผ่านมือ ฉัตรชัย บุตรพรม ชนเสาในเข้าไปเป็นประตูชัยให้กับ บุรีรัมย์ เปิดบ้านเฉือนชนะไป 1-0
เป็นอีกครั้งที่ขุนพล ปราสาทสายฟ้า แสดงให้เห็นถึง คาแรกเตอร์ของผู้ชนะ ซึ่งทีมที่เคยฝ่าด่านยากๆ เป็นแชมป์มาก่อน จะขาดในส่วนนนี้ไม่ได้ นั่นเป็นแรงผลักดันที่ส่งไปถึงผู้เล่น ให้สู้สุดใจจนกว่าเสียงนกหวีดเป่าจบเกมจะดังขึ้น แล้วผลของความพยายามย่อมตอบแทนผู้มีความเชื่อมั่นอย่างคุ้มค่าเสมอ
สามแต้มเกมนี้ เป็นสามแต้มสำคัญ ที่กว่าจะได้มาแชมป์เก่า ต้องพยายามสู้สุดใจจนเกือบหมดมุกไปเช่นเดียวกัน แต่มันก็เป็นการแลกแบบสุดตัวที่คุ้มค่า เมื่อสามารถโยนความกดดันไปให้กับ แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่มีคิวต้องดวลกับทีมหัวตารางอย่าง การท่าเรือ เอฟซี ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งถ้าผลออกมารองจ่าฝูงทำได้เแค่เสมอ หรือพลาดท่าแพ้ ดูท่าถ้วยแชมป์ ไทยลีก อาจจะไม่เปลี่ยนหน้าเป็นปีที่สามติดต่อกัน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : การชมเกมถ่ายทอดสด