คิม ซัง-ซิก : ตำนานแข้งแหกแคมป์เที่ยว สู่ผู้กอบกู้ฟุตบอลเวียดนาม
หลังจากแยกทางกับ ฟิลิปป์ ทรุสซิเยร์ ไปเมื่อปลายเดือนมีนาคม ในที่สุดทีมชาติเวียดนามก็ได้โค้ชใหม่เข้ามากอบกู้ศรัทธาจากแฟนบอลแล้ว เขาคนนั้นคือ คิม ซัง-ซิก ที่เซ็นสัญญาคุมทีมเป็นเวลา 2 ปี
นี่ถือเป็นการกลับมาใช้บริการโค้ชเกาหลีใต้อีกครั้งของทีมดาวทอง หลังเคยประสบความสำเร็จอย่างสวยงามในยุคของ พัค ฮัง-ซอ ซึ่งพลอยทำให้แฟน ๆ คาดหวังผลงานของทีมในยุคของ คิม ซัง-ซิก สูงขึ้นไปด้วย
แต่ก่อนที่จะได้เห็นฝีไม้ลายมือการคุมทีมของเขา Think Curve - คิดไซด์โค้ง ขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ คิม ซัง-ซิก ให้มากกว่านี้
ตำนานแข้งแหกแคมป์ทีมชาติ
คิม ซัง-ซิก เคยเป็นนักเตะอาชีพมาก่อน เขาได้รับการยกย่องว่าคือกองกลางตัวรับที่ดีที่สุดของเกาหลีใต้ในยุคนั้น ด้วยสไตล์การเล่นที่ดุดันไม่กลัวใคร เข้าบอลถึงลูกถึงคน ใช้ลูกหนักเข้าว่า พร้อมทำทุกอย่างเพื่อหยุดเกมรุกคู่แข่ง จนได้รับการขนานนามว่า "เจ้างูพิษ"
เขาคว้าแชมป์เคลีกไปครองถึง 5 สมัย กับ ซองนัม เอฟซี (3 สมัย) และ ชอนบุก ฮุนได มอเตอร์ส 2 สมัย ด้วยผลงานอันโดดเด่นในระดับสโมสร คิม ซัง-ซิก จึงเป็นขาประจำในทีมชาติเกาหลีใต้ และเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมโสมขาวชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้าย ที่ประเทศเยอรมัน
ดูเหมือนว่าอาชีพค้าแข้งของ คิม ซัง-ซิก จะดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งเกิดเรื่องงามหน้าในศึกเอเชียนคัพ 2007 ที่ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อเขาเป็นหัวโจกพาเพื่อนร่วมทีมอีก 3 คน แหกแคมป์ทีมชาติออกไปเที่ยวตอนกลางดึก
เหตุการณ์ครั้งนั้นคือรอยด่างพล้อยในอาชีพของ คิม ซัง-ซิก เลยก็ว่าได้ เพราะมันทำให้เขาถูกสมาคมฟุตบอลเกาหลีใต้ (KFA) แบนจากการลงเล่นทีมชาติเป็นเวลา 1 ปี แต่ที่หนักเลยคือบทลงโทษทางสังคม เขาโดนคนเกาหลีรุมสาปส่งและตราหน้าว่าเป็นคนไร้ความรับผิดชอบ
ยังดีที่ (KFA) อนุญาตให้ คิม ซัง-ซิก ลงเล่นเกมเคลีก ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องหมดอนาคตไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นเขาก็เสียทรงไปพักใหญ่ กว่าจะกลับมาตั้งสติและก้มหน้าก้มตาทำผลงานในสนาม
คิม ซัง-ซิก กลับตัวกลับใจ เปลี่ยนตัวเองใหม่ มีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น จนฟอร์มการเล่นของเขากลับมาโดดเด่นอีกครั้ง และในที่สุดเขาก็ถูกเรียกกลับไปติดทีมชาติอีกครั้งในปี 2012 พร้อมช่วยขุนพล แทกุก วอริเออร์ ผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย
คิม ซัง-ซิก กอบกู้ภาพลักษณ์ของตัวเองกลับมาได้ในช่วงบั้นปลายอาชีพ ก่อนที่เขาจะประกาศแขวนสตั๊ดอย่างสวยงาม ในฐานะหนึ่งในนักเตะที่ประสบความสำเร็จที่สุดของวงการลูกหนังเกาหลีใต้
โค้ชดีกรีแชมป์เคลีก
หลังจากอำลาอาชีพนักฟุตบอล คิม ซัง-ซิก ก็ผันตัวไปเอาดีกับงานโค้ช และผ่านการอบรมโค้ชระดับ 'โปร ไลเซนซ์' ของ สมาพันธ์ฟุตบอลเอเชีย ในปี 2020 ก่อนปีต่อมาจะได้รับการแต่งตั้งเป็นเฮดโค้ชของ ชอนบุก ฮุนได มอเตอร์ส ซึ่งถือเป็นงานคุมทีมแบบเต็มตัวครั้งแรกของเขา
คิม ซัง-ซิก ประกาศกร้าวก่อนเข้ารับตำแหน่งว่า เขาจะสร้าง ชอนบุก เป็นทีมที่เน้นเล่นฟุตบอลเกมรุกเอนเตอร์เทนคนดูเป็นหลัก พร้อมเผยว่าเขาได้เรียนรู้แท็คติคจาก โธมัส ทูเคิ่ล และ คริสตอฟ กัลติเยร์ สองโค้ชที่เน้นการเล่นฟุตบอลสวยงามและมีประสิทธิภาพ
ปรากฏว่า คิม ซัง-ซิก ทำอย่างที่พูดไว้ได้จริง ๆ เมื่อเขาสามารถพา ชอนบุก ฮุนได มอเตอร์ส คว้าแชมป์เคลีกได้ทันที ด้วยเกมรุกสุดดุดัน ยิงไป 71 ประตู จาก 38 เกมในลีก ยิ่งกว่านั้นเขายังทำให้ ชอนบุก เป็นทีมที่มีเกมรับแข็งแกร่งที่สุดในลีก เสียไปแค่ 37 ประตูเท่านั้น
ชื่อของ คิม ซัง-ซิก จึงถูกจัดอยู่ในทำเนียบโค้ชมือทองของลีกเกาหลีใต้ทันที แค่ปีแรกเขาก็พาทีมไปยืนบนจุดสูงสุดได้แล้ว แถมวิธีการที่ได้มานั้น ก็ยอดเยี่ยมแบบไร้ที่ติ จนถูกจับตามองว่ามีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นโค้ชทีมชาติได้ในอนาคต
จากนั้นฤดูกาล 2022 แม้ว่า ชอนบุก จะป้องกันแชมป์เคลีกไม่ได้ แต่ คิม ซัง-ซิก ยังพาทีมคว้าแชมป์ฟุตบอลถ้วยในประเทศอย่าง เอฟเอ คัพ มาครองได้สำเร็จ ทดแทนความผิดหวังจากฟุตบอลลีก
เส้นทางของ คิม ซัง-ซิก กับ ชอนบุก กำลังก้าวเดินไปอย่างมั่นคง แต่แล้วในฤดูกาล 2023 ก็เกิดจุดเปลี่ยนจนได้ เมื่ออยู่ ๆ ฟอร์มของ ชอนบุก ก็ร่วงลงเหวเสียอย่างนั้น ตกรอบบอลถ้วยด้วยน้ำมือของทีมรองบ่อน, โดนทีมคู่รักคู่แค้นอย่าง อุลซาน ฮุนได เขี่ยตกรอบจากถ้วยสโมสรเอเชีย ส่วนผลงานในลีกก็ลูกผีลูกคน ยิ่งเล่นยิ่งแย่ อันดับก็รูดลงเรื่อย ๆ
เมื่อไม่สามารถผลงานที่ดีได้ แฟนบอลชอนบุกก็เริ่มหันหลังให้เขา หลายคนชูป้ายประท้วงให้เขาลาออก ถึงขนาดไปรวมตัวขวางรถบัสของสโมสรหลังจบเกมก็มี จนสุดท้าย คิม ซัง-ซิก ต้องขอลาออก เพราะทนต่อกระแสต่อต้านไม่ไหว
ผู้กอบกู้ฟุตบอลเวียดนาม
คิม ซัง-ซิก พักงานคุมทีมไป 1 ปีเต็ม ๆ ก่อนล่าสุดเขาจะกลับมาอีกครั้ง ในฐานะเฮดโค้ชคนใหม่ของทีมชาติเวียดนาม ซึ่งเป็นงานคุมทีมชาติครั้งแรกของเขาด้วย เขาจึงรู้สึกว่ามันเป็นความท้าทาย
แน่นอนว่า คิม ซัง-ซิก ต้องพบกับงานสุดหิน เพราะแฟนบอลเวียดนามอยากเห็นทีมชาติกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง หลังจากต้องทนทุกข์กับฟอร์มการเล่นสุดย่ำแย่ในยุคของ ฟิลิปป์ ทรุสซิเยร์ นานนับปี
ขณะที่ สมาคมฟุตบอลเวียดนาม ก็ขีดเป้าหมายสำหรับโค้ชคนใหม่ไว้แล้ว นั่นคือการคว้าแชมป์ เอเอฟเอฟ คัพ (ชิงแชมป์เอเชียน) ในช่วงปลายปีนี้ ยิ่งทำให้ คิม ซัง-ซิก รู้สึกกดดันเข้าไปใหญ่
อย่างไรก็ดี ต้องอย่าลืมว่า คิม ซัง-ซิก มีความสัมพันธ์อันดีกับ พัค ฮัง-ซอ โค้ชขวัญใจชาวเวียดนาม ทั้งคู่เคยร่วมงานกันตั้งแต่สมัย คิม ซัง-ซิก เป็นนักเตะ ดังนั้นนี่จึงเป็นข้อได้เปรียบของ คิม ซัง-ซิก เพราะเขาสามารถขอคำปรึกษาจาก พัค ฮัง-ซอ ที่รู้จักฟุตบอลเวียดนามอย่างลึกซึ้งได้ตลอดเวลา
อย่างก่อนรับงานคุมทีมชาติเวียดนาม คิม ซัง-ซิก ก็เผยว่า เขาได้ปรึกษากับ พัค ฮัง-ซอ ก่อนตัดสินใจ ซึ่งอีกฝ่ายให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และแบ่งปันประสบการณ์ตอนคุมทีมดาวทองให้กับเขาเยอะมาก ๆ
"ปรัชญาฟุตบอลของผมคือไม่มีนักเตะคนไหนใหญ่กว่าทีม ผมยึดมั่นในสิ่งนี้ตั้งแต่สมัยเป็นนักเตะจนกระทั่งมาเป็นโค้ช ผมจะกระตุ้นให้นักเตะประสบความสำเร็จร่วมกัน ถ้าทุกคนมีความมุ่งมั่นที่จะชนะและรวมกันเป็นหนึ่ง ผมเชื่อว่าเราสามารถประสบความสำเร็จได้" คิม ซัง-ซิก กล่าวในงานแถลงข่าวเปิดตัวคุมทีมชาติเวียดนาม
ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวของ คิม ซัง-ซิก แล้วว่า จะสามารถเค้นศักยภาพนักเตะเวียดนามและทำทีมออกมาได้ดีแค่ไหน ซึ่งเราจะได้เห็นกันเต็ม ๆ ตาในโปรแกรมฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก ต้นเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่ง เวียดนาม มีโปรแกรมพบกับ อิรัก และ ฟิลิปปินส์