คืนชีพ ‘มารินอส’ : งานชิ้นโบว์แดงที่ทำให้ ‘อังเก้’ ไปไกลถึงขั้นได้คุม สเปอร์ส
หลังจาก ก็อดออฟทรานสเฟอร์ - ฟาบริซิโอ โรมาโน่ ออกมายืนยันด้วยคำว่า “Here we go” ในดีลของ อังเก้ ปอสเตโคกลู เทรนเนอร์จากสโมสร เซลติก ที่เพิ่งผงาดพาทีมคว้า ทริปเปิ้ล แชมป์ ในประเทศสก็อตแลนด์มาแบบสดๆ ร้อนๆ ว่าเตรียมย้ายไปคุมทัพ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ทีมดังในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ
รายละเอียดของการเจรจาตอนนี้ อังเก้ ตอบรับสัญญา 2 ปี บวกกับอ็อพชั่นขยายสัญญาอีก 1 ปี จากทาง ไก่เดือยทอง ที่ยื่นเข้ามาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่ตกลงเรื่องค่าชดเชยให้กับอดีตต้นสังกัดเก่าของผู้จัดการทีมรายนี้เท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าถ้า โรมาโน่ ออกตัวแรงขนาดนี้ โอกาสล่มคงเป็นไปได้ยากมากๆ
ผลงานของ ไก่เดือยทอง ฤดูกาลก่อน ต้องนับว่าน่าผิดหวังแบบไม่ต้องสงสัย หลังจากทุ่มงบให้ อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือชาวอิตาเลียนเสริมทัพความแข็งแกร่งมากมาย แต่สุดท้ายก็มาแตกคอแยกทางกันระหว่างทาง จนต้องดันเอา ไรอัน เมสัน มาคุมทีมแบบขัดตราทัพ แล้วจบที่อันดับ 8 ของตาราง ไม่ได้ไปบอลยุโรป ส่วนบอลถ้วยก็ตกรอบเรียบวุธ
ดังนั้นการเข้ามาของ อังเก้ ที่มีดีกรีพาทาง เซลติก เป็นทริปเปิ้ลแชมป์ รวมไปถึงความสำเร็จตั้งแต่เก่าก่อนสมัยที่คุม โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส ไปถึงตำแหน่งแชมป์ เจ ลีก ประเทศญี่ปุ่นได้ ย่อมต้องทำให้แฟนๆ ‘ยิด อาร์มี่’ คาดหวังกับบอสใหม่ดีกรีสวยไม่น้อย
การทำงานของ อังเก้ จะเข้ามาเปลี่ยนแปลง สเปอร์ส ด้วยวิธีการไหนได้บ้าง? วิธีการหลักๆ ของเขาตั้งแต่สมัยเริ่มแรกเป็นอย่างไร? ดูแล้วเข้ากับต้นสังกัดใหม่หรือไม่? ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
การเปลี่ยนแปลงขุมกำลัง
อังเก้ เป็นกุนซือสัญชาติออสเตรเลีย เริ่มสร้างชื่อจากการพาทีม เซาท์ เมลเบิร์น เป็นแชมป์ 4 รายการ ต่อเนื่องด้วยการพา บริสเบน โรอาร์ คว้าแชมป์ลีกต่างๆ 3 สมัย แถมยังครองสถิติไม่แพ้ใครมากที่สุดในประวัติศาสตร์จำนวน 36 นัด ถัดมาในระดับชาติก็พาทัพ ออสเตรเลีย เป็นแชมป์ เอเอฟซี เอเชียน คัพ ปี 2015
หลังจากนั้นผู้จัดการรายนี้ก็โยกย้ายถิ่นฐานไปรับงานคุมทีม โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส ในศึก เจ ลีก ประเทศญี่ปุ่น แล้วก็พาทีมครองแชมป์ลีกฤดูกาล 2019 เป็นสมัยแรกนับตั้งแต่ปี 2004 กลายเป็นผู้จัดการทีมชาวออสเตรเลียคนแรก ที่ประสบความสำเร็จในระดับนี้ได้
ล่าสุดกับ เซลติก ทีมยักษ์ใหญ่ในลีกสก็อตแลนด์ อังเก้ ก็พาทีมเป็นดับเบิ้ลแชมป์ในประเทศ และต่อยอดด้วยการเป็น ทริปเปิ้ล แชมป์ ในฤดูกาลล่าสุด ด้วยการใช้เวลาเพียงแค่ช่วงสั้นๆ แต่กลับปรับเปลี่ยนโครงสร้างของทีมไปมากมาย ด้วยการใช้นักเตะจากแดนปลาดิบเป็นแกนหลักของทีม
ซึ่งอดีตนักเตะในศึก ออสเตรเลีย เอ ลีก อย่าง สตีเฟ่น แม็คแกร์รี่ย์ อดีตผู้เล่นของ เพิร์ธ กลอรี่ กล่าวถึงการทำงานของ อังเก้ ในสมัยที่ตัวเขายังคงเล่นอยู่แล้วเคยเผชิญหน้ากันเอาไว้ว่า
“ตอนนั้น อังเก้ เพิ่งจะเข้ามารับงานคุมทีม บริสเบน โรอาร์ แล้วมีการเปลี่ยนแปลงทีมมากมาย เคร็ก มัวร์ และ แดนนี่ ติอัตโต รวมไปถึงทีมสตาฟฟ์ถูกโละออกไปหมด เขาเริ่มสร้างทีมของตัวเอง เซ็นสัญญานักเตะเข้ามาหลายราย ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมทั้งหมด”
“มีผู้เล่นระดับท็อปในยุโรปที่เหมาะสมกับการเล่นให้ บริสเบน ในศึก เอ ลีก แบบสบายๆ 2-3 ปี เขามองขาดว่าจะเลือกใครเข้ามาบ้าง แล้วนั่นก็แสดงผลให้เห็นไม่ต่างกันเมื่อเขาย้ายไปทำงานกับ เซลติก”
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อตอนย้ายไปทำทีม โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส กุนซือรายนี้ก็ยังคงคาแรกเตอร์ ที่กล้าเสี่ยงในการเปลี่ยนแปลงและดึงตัวเอาผู้เล่นที่เขาต้องการใช้งานจริงๆ เข้ามา จนพาทีมไปถึงตำแหน่งแชมป์ได้ตามเป้าหมาย โดยทาง แดน ออร์โลวิตซ์ นักข่าวจาก เจแปน ไทม์ส ฟุตบอล กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ว่า
“ผมคิดว่า อังเก้ มองหานักเตะในแบบเดิมที่เขาต้องการไปทั่วโลก และตัวเลือกเหล่านั้นจะเข้ามาเล่นในทีมของอย่างลงตัว ยกตัวอย่างเช่น ติอาโก้ มาร์ตินส์ ที่มีส่วนสำคัญอย่างมากในแนวรับซีซั่น 2019 รวมไปถึง ธีราทร บุญมาทัน ดาวเตะที่ไม่เคยเป็นกองหลังที่สมบูรณ์แบบมาก่อนเลย แต่ในเรื่องของความเร็วในการเล่นตำแหน่งแบ็คซ้าย และศักยภาพในการเล่นเกมรุก นั้นลงตัวกับฟุตบอลสไตล์ อังเก้ อย่างที่สุด”
แน่นอนว่าเมื่อดีลของทาง อังเก้ เสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการ แล้วเปิดตัวกับต้นสังกัดใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข่าวลือเรื่องของการเสริมทัพ ย่อมต้องโหมกระหน่ำตามหน้าสื่อต่างๆ แบบไม่ขาดสาย อันเป็นเรื่องปกติของทีมหัวแถวเมื่อได้ตัวกุนซือใหม่
เมื่อกุนซือใหม่มีลูกทีมคนโปรดจากทีมเก่า ก็ย่อมต้องถูกนำมาเชื่อมโยงเล่นข่าวอยู่แล้ว โดยนักเตะ เซลติก ที่ตกเป็นข่าวกับ ไก่เดือยทอง แบบสดๆ ร้อนๆ จนขนาดมีสื่อใหญ่ในแดนผู้ดีอย่าง บีบีซี ออกมารายงาน คือ เคียวโกะ ฟูรูฮาชิ กองหน้าชาวญี่ปุ่น ที่มีสถิติการยิงประตูสุดโหดถึง 34 ลูก จากการลงสนามทุกรายการ 50 นัด
รูปแบบแท็คติกที่ต่างจากเดิม
ในยุคของ โมเดิร์น ฟุตบอล แท็คติกที่หลายสโมสรชั้นนำในอังกฤษที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น แมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล หรือ ไบรท์ตัน เลือกนำมาใช้ คือ การเพรสซิ่ง กดดันคู่แข่งตั้งแต่แดนบน ให้เกิดความผิดพลาด แล้วฉวยโอกาสลงโทษอย่างรวดเร็ว
ซึ่งในส่วนของ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ อาจมีช่วงที่แฟนบอลได้เห็นกันบ้างช่วงท้ายฤดูกาล ที่เปลี่ยนแปลงกุนซือมาเป็น เมสัน ที่ต้องตามเทรนด์ แตกต่างกับสมัยของ คอนเต้ ที่ส่วนใหญ่จะเน้นปักหลัก ยืนตำแหน่งคุมโซนให้แน่น แล้วรอจังหวะโต้กลับเร็วมากกว่า
อย่างไรก็ตามการวิ่งไล่กดดันสูง เป็นแท็คติกสำคัญที่ อังเก้ ชื่นชอบใช้งานมายาวนานตั้งแต่สมัยคุมทีมใน เจ ลีก ตามที่ ออร์โลวิตซ์ นักข่าวจาก เจแปน ไทม์ส ฟุตบอล จากการวิเคราะห์เอาไว้ว่า
“วิธีการหลักของ อังเก้ คือ การเพรสซิ่งแบบหนักหน่วง เล่นเกมบุกแบบเต็มตัวเข้มข้น ครองบอลกดดันในแดนคู่แข่งเหมือนกับแนวคิดทั่วไป แต่สิ่งที่ทำให้ทีมของเขาแตกต่าง คือ ลดจังหวะการเล่นที่ผิดพลาด เล่นให้ฉลาดแน่นอนมากขึ้น เสี่ยงการดันกองหลังขึ้นมาตัดบอลสูงขึ้น เพื่อหยุดยั้งจังหวะโต้กลับของคู่แข่ง”
นอกจากนี้ อังเก้ ในสมัยที่ยังคุมทีม โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส ยังเพิ่มเติมรายละเอียดเรื่องของความดุดัน แตกต่างจากโค้ชรายอื่นๆ ในลีก จนหลายทีมต้องปรับแผนมาเดินรอยตามแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตามที่ ชิเงกิ ซูกิยาม่า นักเขียนที่คร่ำหวอดในวงการฟุตบอลญี่ปุ่น กล่าวเสริมไว้ว่า
“โค้ชของทีมใน เจ ลีก มักจะพูดถึงเรื่องการเล่นฟุตบอลที่ดุดัน ไม่เว้นแม้แต่ในระดับทีมชาติ แต่ไม่มีการถกเถียงเพื่อนิยามเรื่องนี้อย่างจริงจัง มันจึงถูกวางไว้เป็นเพียงแค่แนวคิดทางด้านอารมณ์ ไม่มีอะไรที่แสดงออกมาภาพที่ชัดเจน”
“อังเก้ ประสบความสำเร็จในการถ่ายทอดการเล่นฟุตบอลเกมรุกให้กับ โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส ตามแบบฉบับที่เขาต้องการ แม้ว่ามันจะถูกมองออกจากคู่แข่งได้ง่ายๆ แต่ทีมของเขาก็หาทางทลายแนวรับคู่แข่งได้ตลอด”
“ไม่มีทีมไหนเลยใน เจ ลีก จะเน้นการโจมตีจากริมเส้น ใช้ประโยชน์จากปีกทั้งสองฝั่ง ใช้พื้นที่สนามด้านกว้างให้เป็นประโยชน์แบบที่ อังเก้ วางการเล่นให้ทีมของเขา”
เมื่อมองภาพรวมคร่าวๆ ด้านแท็คติก บวกกับตัวผู้เล่นในมือ ที่มีจอมขยันอย่าง ซอน-เฮือง มิน, ปิแอร์ เอมิล-ฮอยเบิร์ก, เดยัน คูลูเซฟสกี้ และ ริชาร์ลิสัน แฟนๆ คงพอจะเดาทางการเล่นของ ไก่เดือยทอง โฉมใหม่ของ อังเก้ ได้ไม่ยากว่าจะออกมาเป็นแบบใด
เพราะตัวริมเส้นที่มีความเร็วนั้นเป็นจุดขายของทีมอยู่แล้ว ส่วนการปรับเปลี่ยนมาใช้ฟูลแบ็คหรือวิงแบ็ค ที่สามารถรับบทบาท อินเวิร์ท สามารถหุบเข้ามาตรงกลางเพื่อสร้างสรรค์เกมได้ ก็มีตัวเลือกอย่าง เปโดร ปอร์โร่ หรือ ไรอัน เซสเซยง ที่ดูแล้วพอจะดันได้ไม่ยาก
งานสำคัญที่หนักหนาที่สุด
จากผลงานอันน่าผิดหวังในซีซั่นก่อน ส่งผลกระทบถึงสปิริตภายในทีม ไก่เดือยทอง พอสมควรแน่นอน แล้วยิ่งตัวนักเตะเจอผู้จัดการทีมแนวจวกแหลกแบบ คอนเต้ ที่โทษทุกอย่างทั้งบอร์ดบริหารและฟอร์มของลูกทีม ยกเว้นตัวเอง เรื่องของสปิริตภายในทีมย่อมสูญสลายหายไปพอควร
ซึ่งสิ่งที่อังเก้ พอจะมาแก้ทางในส่วนนี้ได้ คือ คาแรกเตอร์ของตัวเขา ที่ดุดันแค่ภายในสนามซ้อม แต่ไม่มีการจวกลูกทีมออกสื่อให้เสียหน้า เสียความมั่นใจ แล้วกลายเป็นรอยร้าว ตามที่ทางอดีตลูกทีมเก่าอย่าง “อุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน ออกมายืนยันไว้ว่า
“ตั้งแต่ปี 2019 ซึ่งเป็นปีที่สองที่ อังเก้ เข้ามารับงานที่ มารินอส สปิริตในทีมเปลี่ยนไป เขาไม่เพียงสอนแค่เรื่องของแทคติก แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดการแรงจูงใจของผู้เล่นด้วย”
“เขาไม่เคยวิจารณ์ผู้เล่นต่อหน้าสื่อ แม้สีหน้าตอนนั้นจะโกรธจัดแค่ไหน เขาเป็นคนเเข้มงวดที่จริงใจมาก มีความตรงไปตรงมา ดังนั้นเขาจึงเป็นที่รักของผู้เล่นในทีม”
แต่การรวมใจของผู้เล่น สเปอร์ส อาจจะกลับมาไม่ได้เต็มร้อย หากขาดจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญในทีมอย่าง แฮร์รี่ เคน ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวยังไม่มีการเปิดปากถึงอนาคตออกมาอย่างชัดเจนว่า ตกลงแล้วจะอยู่กับทีมต่อไปหรือไม่ในฤดูกาลหน้า ท่ามกลางข่าวลือที่ว่า เขาแจ้งเรื่องไปยังสโมสรเรียบร้อยแล้วว่า ต้องการย้ายไปอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แน่นอนว่าเมื่อ อังเก้ เข้ามารับงานแบบเต็มร้อย ภารกิจแรกของเขาย่อมเป็นการพูดคุยกับ เคน ซึ่งเป็นสตาร์ตัวหลักในแนวรุกของทีม ดีกรีเป็นดาวยิงเบอร์หนึ่งทีมชาติอังกฤษ อายุย่าง 30 ปี ที่เป็นช่วงพีคของการค้าแข้ง มีทุกอย่างที่สมบูรณ์พร้อมขาดเพียงอย่างเดียว คือ ‘โทรฟี่’ ประดับเกียรติประวัติไม่ให้จบอาชีพแบบ ราชาไร้มงกุฎ
การจูงใจ ปลุกใจ ของ อังเก้ ที่พูดกันตรงๆ แมนๆ กับ เคน จะสามารถโน้มน้าวให้ดาวยิงรายนี้อยู่ต่อกับทีมได้สำเร็จหรือไม่? ไม่ได้อยู่กับโปรไฟล์ความสำเร็จต่างๆ ของเขาที่เอามาอ้างอิงได้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องทำการพัฒนาให้เห็นกันจริง เพราะก่อนหน้านี้กุนซือชื่อดังระดับตัวท็อปของวงการอย่าง มูรินโญ่ หรือ คอนเต้ ก็เคยเสียรังวัดให้เห็นกันมาแล้วกับคลับไก่
ถ้าภารกิจรั้ง เคน ให้อยู่ในถิ่น ลอนดอน สเตเดี้ยม ของ อังเก้ ไม่สมดั่งใจหมาย อย่างน้อยก็ต้องฝากความหวังไว้กับทีมซื้อ-ขาย ให้เรียกราคาให้ได้มากที่สุด เพื่อนำเงินก้อนดังกล่าวไปต่อยอดสร้างทีม ให้เป็นแบบที่เขาต้องการจริงๆ จะได้วัดฝีมือกันได้จริงๆ แบบไร้ข้ออ้าง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
https://www.bbc.com/sport/articles/crg70nl74kno
https://sport.optus.com.au/news/j1-league/os2390/how-japan-sees-ange
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เทพนิยายภูธร : ‘สโมสร ดอนมูล’ ตำนานทีมระดับตำบลผู้พิชิตแชมป์ เอฟเอ คัพ
เมื่อครั้งหนึ่ง “อิชิอิ” เคยทำงานในโรงอาหาร หลังคว้ารองแชมป์สโมสรโลก
คล้ายตรงไหนบ้าง? : ศุภณัฏฐ์ นักเตะเงา โลซาโน่ ในสายตาสื่อต่างประเทศ
เวียดนามกร้าวก่อนซีเกมส์ : "4 ปีก่อน ทรุสซิเย่ร์ ก็เคยพาทีมเวียดนามยู 19 เอาชนะไทยมาแล้ว
เก่งในสนามไม่พอ : สาเหตุใด บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ถึงครองความยิ่งใหญ่ได้แบบยั่งยืน ?
บุรีรัมย์ ยังห่างแค่ไหน ? 10 สถิติไร้พ่ายนานที่สุดในโลก ณ ตอนนี้