Long Read

Talentspotter

Thai League

ซามูเอล โรซ่า : เส้นทางจากแข้งที่ยกเลิกสัญญากับ บุรีรัมย์ สู่ผู้แบก พีที ประจวบฯ

หลังจากจบเกม ไทย ลีก นัดที่ 25 สถานการณ์ของทีมในกลุ่มลุ้นหนีตกชั้น ถือว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปมากพอสมควร โดยเฉพาะสโมสร พีที ประจวบ เอฟซี ที่แต่เดิมนั้นรั้งอยู่ในโซนแดงของตารางในอันดับที่ 14 มีเพียงแค่ 22 แต้ม เสี่ยงต่อการหล่นชั้นสูงไม่น้อย

อย่างไรก็ตามการออกไปเยือน ขอนแก่น ยูไนเต็ด ทีมในอันดับที่ 11 ซึ่งสถานการณ์ของพวกเขาก็ยังวางใจไม่ได้ สกอร์ที่ออกมาหลังจบเกมการแข่งขัน กลายเป็นทางผู้มาเยือน ต่อพิฆาต ที่บุกไปยัดเยียดความปราชัยให้เจ้าถิ่นที่เหลือ 10 คน แบบขาดลอย 3-0

ฮีโร่ ของทัพ ต่อพิฆาต ในเกมที่ผ่านมา คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ซามูเอล โรซ่า กองหน้าชาวบราซิลที่เหมายิงคนเดียวสองประตู ทำให้เขากดไปแล้วทั้งสิ้น 13 ประตูในซีซั่นนี้ แล้วทำไปอีก 5 แอสซิสต์ มีส่วนร่วมกับประตูที่ทีมทำได้ในลีกทั้งหมดถึง 58 เปอร์เซ็นต์ ถ้าจะบอกว่าเขาคือตัวแบกของทีมคงไม่ผิดนัก

ยิ่งไปกว่านั้นตัวของ โรซ่า ยังเป็นนักเตะจากกลุ่มครึ่งล่างของตารางเพียงคนเดียว ที่ติดชาร์ตท็อป 5 ดาวซัลโวของศึก ไทย ลีกฤดูกาลนี้ เรียกว่าผลงานสวนทางกับอันดับในตารางของต้นสังกัดแบบคนละเรื่อง

หากไปย้อนดูประวัติการค้าแข้งที่ผ่านมาของ โรซ่า นับว่าเขาผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน แล้วทีมที่ไปดึงตัวเขามายังประเทศไทยเป็นทีมแรก ก็ไม่พ้นสโมสรตาคมอย่าง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ขึ้นชื่อเรื่องการคัดเกรดตัวต่างชาติเป็นทุน

แต่แล้วอนาคตที่ไม่แน่ไม่นอนของตัวต่างชาติในประเทศไทย ทำให้เขาต้องโยกย้ายไปเล่นกับทีมในกลุ่มล่างๆ ของ ไทย ลีก จนล่าสุดมาลงเอยกับ พีที ประจวบ เอฟซี เหตุผลใดกันแน่ที่ทำให้เขาต้องผันตัวเองมาเป็น เดอะ แบก ของทีมกลุ่มลุ้นหนีตกชั้น ก่อนหน้านี้เส้นทางของเขาพเนจรไปไหนมาบ้าง ร่วมหาคำตอบได้ใน Think Curve - คิดไซด์โค้ง

เส้นทางการค้าแข้ง

ซามูเอล โรซ่า เกิดและเติบโตในประเทศบราซิล เริ่มต้นเล่นฟุตบอลกับสโมสรเล็กๆ อย่าง เซา โฮเซ่ ก่อนผลงานจะไปเตะตาสโมสรใหญ่แบบ อินเตอร์นาซิอองนาล จนตัดสินใจคว้าตัวไปร่วมทีมตั้งแต่ปี 2010 ด้วยวัยยังไม่ถึง 20 ปี

เขาอยู่กับ อินเตอร์นาซิอองนาล ได้เพียงปีเดียว ก็ถูกทาง ฟลูมิเนนเซ่ อีกหนึ่งทีมดังแดนกาแฟ คว้าตัวไปเล่นในชุดเยาวชน อายุต่ำกว่า 20 ปี แล้วก็ถูกดันขึ้นไปเล่นในทีมชุดใหญ่ ผลงานในซีซั่นแรกถือว่าใช้ได้ ยิงไป 5 ประตู กับอีก 2 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 23 นัด ช่วยทีมคว้าแชมป์ลีกสมัยที่ 4 ได้สำเร็จ

ถัดมาก็ได้ลงเล่นในศึก คัมปีโอนาโต คาริโอกา รายการชิงแชมป์ระดับรัฐ แล้วก็พาทีมเป็นแชมป์สมัยที่ 31 ได้สำเร็จ นับรวมแล้ว โรซ่า ได้ลงสนามทุกรายการรวมไปถึง 65 นัด ยิงได้ 9 ประตู มีส่วนร่วมลงเล่นในรายการชิงแชมป์ทวีปอเมริกาใต้อย่าง โกปา ลิเบอร์ตาดอเรส อีกด้วย

หลังจากนั้นเขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ ไปกับการถูกปล่อยให้หลายทีมยืมตัวไปใช้งาน อาทิ แอลเอ กาแล็กซี่, โกยาส, สปอร์ต เรซิเฟ่, เฟร์โรเวียเรีย และย้ายมาผจญภัยในทวีปเอเชียกับ ฮัตตา คลับ สโมสรฟุตบอลในลีกประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ ยูเออี ในปี 2016 ด้วยสัญญายืมตัวก่อนในข้อตกลงเบื้องต้น

ผลงานของ โรซ่า ฤดูกาลแรกกับ ฮัตตา ยิงไป 10 ประตู กับทำอีก 5 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 21 นัดในเกมลีก ส่งผลให้เขาได้ย้ายมาเล่นกับทีมนี้แบบถาวรแบบไม่เปิดเผยค่าตัว ก่อนที่ซีซั่นที่สองจะยิงเพิ่มให้ทีมไปอีก 11 ประตู บวกกับอีก 2 แอสซิสต์ จนไปเตะตา อัล นาสเซอร์ ยักษ์ใหญ่ประจำลีก ที่ตัดสินใจดึงตัวเขาไปร่วมทีมในเวลาต่อมา

ฟอร์มของเขากับ อัล นาสเซอร์ ดร็อปลงไปแบบน่าใจหาย ยิงไปได้แค่ลูกเดียวจากการเล่น 13 นัดในฤดูกาล 2018/19 ช่วงครึ่งแรก ทำให้ถูกปล่อยตัวออกไปเรียกความมั่นใจกับ อัล ฟูไจราห์ เอสซี ด้วยสัญญายืมตัว แต่ผลงานก็ไม่กระเตื้องขึ้นเท่าไหร่ ลงสนามไป 13 นัด ทำไปแค่ 1 ประตู กับอีก 2 แอสซิสต์

ต่อมาเลยถูกส่งออกไปเล่นกัน ชอนบุก ฮุนได มอร์เตอร์ส และ ฮัตตา แต่ฟอร์มรวมๆ ก็ยังทรงๆ ทรุดๆ ยิงรวมกันได้ไม่ถึง 10 ลูก สุดท้ายเป็นทาง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งมองเห็นว่า โรซ่า ยังเป็นนักเตะที่มีของ สามารถเล่นใน ไทย ลีก ได้สบาย จึงไปรับเซ้งมาจาก อัล นาสเซอร์ แบบไม่เปิดเผยราคาในปี 2020

ในเวลานั้นแฟนบอลชาวไทย ยังไม่คุ้นเคยกับ โรซ่า มากนัก จะบอกว่าเป็นนักเตะที่อยู่นอกสารบบข้อมูลก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดนัก ซึ่งทางตัวนักเตะได้นิยามสไตล์การเล่นของตัวเองแบบคร่าวๆ เอาไว้ว่า

“ผมเป็นผู้เล่นที่มีความแข็งแกร่ง มีความเร็วจัด ด้วยความสามารถเฉพาะตัวนี้ ทำให้ผมสามารถเล่นได้ทั้งกองหน้าตัวเป้าและปีกตัวริมเส้น”

“ผมชื่นชอบในการดวลกับคู่แข่งแบบหนึ่งต่อหนึ่ง เพราะมีความมั่นใจว่าจะเอาชนะพวกเขาได้”

เกมเปิดตัวของ โรซ่า ในสีเสื้อ ปราสาทสายฟ้า ทำผลงานได้อย่างน่าจับตามองสุดๆ ด้วยการทำไป 1 ประตู กับ 1 แอสซิสต์ พาทีมบุกไปเอาชนะ ชลบุรี เอฟซี ได้ถึงถิ่น 2-0 แถมยังต่อยอดความร้อนแรง ด้วยการคว้านักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนศึก ไทย ลีก ในเดือนตุลาคม ควงคู่กับ อเล็กซานเดร กาม่า ที่คว้ารางวัลกุนซือยอดเยี่ยมไปพร้อมๆ กัน

แฟนบอลคงไม่คาดคิดว่า โรซ่า ซึ่งมีสถิติการยิงประตูไปถึง 14 ลูก บวกกับการทำอีก 5 แอสซิสต์ ในช่วงเวลาหนึ่งฤดูกาลครึ่งกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะไม่ผ่านเกณฑ์ของทีมสตาฟฟ์ แล้วถูกปล่อยออกไปให้ สมุทรปราการ ซิตี้ ยืมตัวไปช่วยลุ้นหนีตกชั้นในเลกที่สองของซีซั่น 2021/22

ประสบการณ์ในประเทศไทย

การโยกย้ายพเนจรไปเรื่อยของ โรซ่า อาจจะเป็นสิ่งที่ชินชาของเจ้าตัวไปแล้ว แต่การเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ในแต่ละประเทศ ย่อมมีความประทับใจที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งเขาเปิดเผยความประทับใจช่วงแรกที่ได้ลงสนามสัมผัสในประเทศไทย เอาไว้ว่า

“ผมมีความทรงจำที่ดีจากการที่ลงเกมแรกก็ทั้งยิง ทั้งจ่าย ได้เลย”

“ผมมีความสุขมากและพยายามเรียนรู้อยู่เสมอ เพื่อที่จะเอาชนะทุกๆ เกมการแข่งขัน”

แม้ว่าผลงานของเขากับ ปราสาทสายฟ้า จะไม่ได้ย่ำแย่อะไร ถือว่าอยู่ในมาตรฐานที่ใช้ได้ แต่กลับต้องย้ายทีมแบบสุดช็อคแบบชั่วคราวไปอยู่กับ เขี้ยวสมุทร แล้วก็ไม่สามารถพาทีมรอดพ้นการตกชั้นได้ ปิดสถิติส่วนตัวไว้ที่ 2 ประตู กับอีก 3 แอสซิสต์ จากการลงเล่นทุกรายการ 14 เกม

เมื่อมีนักเตะต่างชาติหน้าใหม่ เข้ามาเป็นตัวเลือกให้กับ ปราสาทสายฟ้า ผู้เล่นอย่าง โรซ่า จึงจำเป็นต้องย้ายออกไปหาความท้าทายใหม่ๆ ซึ่งเขากล่าวถึงการย้ายมาอยู่กับ พีที ประจวบ เอฟซี เอาไว้ว่า

“ตอนแรกผมย้ายมาอยู่กับ บุรีรัมย์ แค่ครึ่งฤดูกาล แล้วก็ตกลงต่อสัญญากันออกไปเป็นเวลาสองปีครึ่ง ตอนที่ผมตัดสินใจที่จะสิ้นสุดเส้นทางกับสโมสร ผมยังเหลือสัญญาอีกหนึ่งปีด้วยซ้ำ”

“พวกเราทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเลย ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการเล่น หรือปัจจัยอื่นๆ มันเป็นแค่เรื่องการตัดสินใจที่เห็นพ้องต้องกัน แล้วตัวผมก็รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่เคยเล่นให้กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด”

อย่างไรก็ตามการที่ ต่อพิฆาต คว้าตัว โรซ่า มาร่วมทีมในฤดูกาลนี้ แฟนบอลย่อมต้องเกิดความสงสัยเรื่องฝีเท้าของเขาเป็นธรรมดา เพราะฟอร์มของดาวยิงรายนี้กับ เขี้ยวสมุทร ถือว่าปืนฝืดกว่าที่เคยเป็น

ไม่สามารถช่วยยิงประตูให้ทีมรอดตกชั้นได้ตามที่คาดหวัง ซึ่งนับว่าเป็นการเดิมพันที่มีความเสี่ยงสูงไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับ พีที ประจวบ เอฟซี

ความมั่นใจที่กลับมา

เป็นเรื่องปกติธรรมดาของนักฟุตบอลอาชีพ ที่ต้องเจอกับช่วงเวลาที่ผลงานไม่เป็นใจ ขนาดนักเตะระดับโลก ยังไม่สามารถหลีกหนีความจริงนี้ได้พ้น เช่นเดียวกับ โรซ่า ที่กล่าวถึงช่วงเวลาของเขากับ สมุทรปราการ ซิตี้ เอาไว้ว่า

“ผมเป็น ซามูเอล โรซ่า คนเดิมที่ซ้อมอย่างหนักหน่วง ทุ่มเทในการลงเล่นอย่างเต็มที่เสมอมา แต่ตัวผมต้องการเวลาปรับตัวเข้ากับแทคติกส์ที่แตกต่างกันออกไป”

“ผมทำไปได้สองประตูกับแอสซิสต์อีกจำนวนหนึ่ง แต่มันมีเวลาให้ผมปรับตัวสั้นมากๆ พวกเราพยายามอย่างเต็มที่แล้วในสนาม แต่บางครั้งโชคก็ไม่เข้าข้างเรา”

“นี่แหละคือธรรมชาติของฟุตบอล บางครั้งต่อให้คุณพยายามอย่างดีที่สุดมากแค่ไหน ผลลัพธ์มันอาจออกมาไม่ตรงตามที่คาดหวัง แต่ตัวผมก็รู้สึกเป็นเกียรติที่ครั้งหนึ่งเคยลงเล่นในฐานะนักเตะของ สมุทรปราการ ซิตี้”

การเริ่มต้นการผจญภัยครั้งใหม่ของเขากับ พีที ประจวบ เอฟซี มีสัญญาณที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แบบต่อเนื่อง เหมือนว่าตัวเขาสามารถปลดล็อค เรื่องของความกดดันและตอบทุกข้อสงสัยเรื่องฝีเท้า ด้วยผลงานในสนามที่ยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำ

จนตอนนี้กระแสของแฟนบอลไทยที่เอาแน่เอานอนเรื่องอารมณ์ไม่ได้ เริ่มตีกลับมาเป็นทิศทางบวก พร้อมยกย่องว่า โรซ่า คือหนึ่งในกองหน้าต่างชาติที่ดีที่สุดของ ไทย ลีก ซึ่งเจ้าตัวตอบถึงประเด็นนี้เอาไว้ว่า

“ผมต้องขอขอบคุณทุกความคิดเห็นจากแฟนบอล ที่ยกย่องให้ผมเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดของ ไทย ลีก จริงๆ”

“ผมทำงานอย่างหนักมาตลอดเพื่อหวังช่วยให้ พีที ประจวบ บรรลุเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้”

“ต้องขอขอบคุณประธานสโมสร, เหล่าสตาฟฟ์ เพื่อนร่วมทีม และแฟนๆ ที่เชื่อมั่นในตัวผม”

“ความเชื่อมั่นเหล่านั้นทำให้ผมสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งผมหวังจะรักษามาตรฐานนี้ไปจนสุดทาง”

แน่นอนว่าภารกิจหนีตายของ ต่อพิฆาต ยังไม่บรรลุตามเป้าหมายร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ผลงานของทีมกำลังอยู่ในช่วงที่มั่นใจ หลังสามารถเก็บชัยชนะได้ในเกมล่าสุดกับสโมสร ที่กำลังเผชิญชะตากรรมคล้ายๆ กันอย่าง ขอนแก่น ยูไนเต็ด

แฟนบอลของ พีที ประจวบ คงได้แต่ภาวนาให้ โรซ่า และเพื่อนร่วมทีมของเขา จะยังคงความร้อนแรงนี้ไปได้จนจบฤดูกาล แล้วสามารถพาทีมหนีตาย รอดพ้นจากการตกชั้นได้สำเร็จ

ส่วนเป้าหมายส่วนตัวของ โรซ่า ที่จะยิงแตะหลัก 20 ประตูรวมทุกรายการเป็นครั้งแรกในชีวิตนั้นอยู่ไม่ไกล ขาดอีกเพียงแค่สามลูกเท่านั้น ซึ่งถ้ามองจากโปรแกรมที่เหลืออยู่ทั้งหมด การันตีเลยว่า มีลุ้นแบบเต็มตัว หากสามารถเล่นได้อย่างมั่นใจเหมือนที่เป็นมาตลอดทั้งฤดูกาล