กรานิต ชาก้า : จากเก็บข้าวของพร้อมยอมแพ้สู่ตัวแปร อาร์เซน่อล ยุค "นิว เจเนอเรชั่น"

กรานิต ชาก้า : จากเก็บข้าวของพร้อมยอมแพ้สู่ตัวแปร อาร์เซน่อล ยุค "นิว เจเนอเรชั่น"
ธนกรณ์ ปราโมกข์ชน

ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน กรานิต ชาก้า คือนักเตะเต็งหนึ่งในการย้ายออกจากทีมอาร์เซนอล

สาเหตุเกิดขึ้นวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม ปี 2019 เวลาแข่งขัน 23.30 น. ในเกมพรีเมียร์ลีกระหว่างอาร์เซนอลและคริสตัล พาเลซ ซึ่งจบลงด้วยการเสมอกัน 2-2 ในขณะนั้นเขาได้รับตำแหน่งเป็นกัปตันทีม

ในเกมวันนั้น ชาก้า ถูกเปลี่ยนตัวออกจากสนามในครึ่งหลัง ก่อนที่จะถูกแฟนบอลของตัวเองโห่ไล่อย่างป่าเถื่อน จนทำให้เขาระเบิดอารมณ์ตอบโต้ด้วยการทำท่าป้องหู พร้อมถอดปลอกแขนกัปตันอัน “ศักดิ์สิทธิ์” โยนทิ้ง เดินเข้าห้องแต่งตัวทันที โดยไม่คิดจะหวนกลับมาสนใจสิ่งต่างๆในสนามอีก และเหตุการณ์ในวันนั้นทำให้เขาถูกปลดออกจากการเป็นกัปตันทีมทันที

เหตุการณ์ผ่านไปราวๆ 4 วัน ชาก้า ได้ออกมาแถลงถึงสิ่งที่เขาได้เจอจากแฟนบอลบางส่วน ซึ่งบอกเล่าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของตัวเอง ชาก้าได้เปิดเผยความรู้สึกของเขาเป็นครั้งแรกว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาถูกแฟนบอล “กระทำ” อย่างโหดร้ายมาโดยตลอด โดยเฉพาะบนสื่อโซเชียลมีเดีย คงไม่ใช่ปัญหาเท่าไหร่สำหรับการจะต่อว่าหรือตำหนิตัวเขาที่ทำผลงานได้ไม่เป็นที่น่าพอใจ แต่ปัญหาคือการที่มีแฟนบอลบางส่วน “ล้ำเส้น” ไปถึงครอบครัว และพบข้อความเลยเถิดถึงขั้น “จะฆ่าเมียแก” หรือ “ขอให้ลูกแกเป็นมะเร็ง” และมันทำให้เขาเกิดความรู้สึกวิตกกังวลต่อความปลอดภัยของสมาชิกครอบครัวและความรู้สึกกับแฟนบอลที่ไม่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันเหมือนเคย

สุดท้ายก็นำไปสู่ ความเศร้า ความวิตกกังวล ที่กัดกินตัวเขาเองไปทีละเล็กทีละน้อย และเมื่อมันเหลือน้อยเต็มที ทำให้เขาไม่สามารถกักเก็บความโกรธแค้นได้อีก เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาตอบโต้ด้วยการบันดาลโทสะออกมาในสนาม

หลังจากเหตุการณ์นั้น ชาก้าเล่าผ่าน The Player’s Tribune ไว้ว่า “ผมเก็บกระเป๋าแล้ว พาสปอร์ตก็พร้อมแล้ว ผมพอแล้วกับอาร์เซนอล ตอนนั้นมีข้อเสนอเข้ามา แล้วสิ่งที่เหลือคือแค่ผมเซ็นเอกสารเท่านั้น ผมคุยกับลีโอนิตา ภรรยา และเราก็ตัดสินใจว่าเราจะไป”

กัปตันทีมอาร์เซนอลในเวลานั้นบอกว่า ถึงตอนนี้เขายังหลับตาและจำภาพแฟนบอลที่ด่าทอเขาจากบนอัฒจันทร์ได้

“มันไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ชอบผม มันต่างออกไปเลย มันคือความเกลียดชัง ความเกลียดชังที่แท้จริง”

ความเชื่อมั่น นำมาสู่ การเปลี่ยนแปลง

ในตอนนั้นทีมที่มีข่าวพร้อมเปิดรับ ชาก้า ไปร่วมทีมนั่นก็คือ โรม่า แต่แล้วดีลก็ถูกพับเก็บ เพราะชายที่ชื่อ “มิเกล อาร์เตต้า”

อาร์เตต้าไม่ได้เพียงแค่พยายามรั้งชาก้าไว้ แต่พยายายามจะพัฒนาเขาอีกด้วย อาร์เตต้าได้เปิดอกคุยกับ ชาก้า อย่างจริงจัง อธิบายถึงความสำคัญที่เขามีต่อทีม อาร์เตต้าเชื่อมั่นในความสามารถของ ชาก้า และตั้งใจจะให้เขาเป็นผู้นำในแดนกลาง กุนซือคนนี้มอบความเชื่อใจให้ชาก้าทั้งที่ทุกคนมองว่า ชาก้า มีดีแค่ความขยัน

เหนือสิ่งอื่นใดอาร์เตต้ามองขาดว่ากองกลางคนนี้ไม่ใช่นักฟุตบอลที่ไม่ดี เมื่อเขาอายุมากขึ้นมันทำให้เขามีประสบการณ์มากขึ้น เปรียบ ชาก้า เหมือนภูเขาไฟที่เริ่มสงบ ข้างในยังคงร้อนระอุ แต่สามารถควบคุมได้ สิ่งที่มีเพิ่มเติมคือความนิ่งและความแข็งแกร่ง ไม่ใช่แค่เรื่องของการเล่นในสนาม แต่รวมถึงจิตใจด้วย แต่เขาก็ยังมีจุดอ่อนอีกมากมายทั้งการเข้าบอลหนักเกินความจำเป็น อารมณ์ร้อน ไม่มีทีเด็ดแบบกองกลางทีมใหญ่ทีมอื่นมี


“ชาก้าคือนักเตะที่มีความสม่ำเสมอมากที่สุดคนนึง และเขาเป็นคนที่มีความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจอย่างไม่น่าเชื่อ” อาร์เตต้ากล่าว

“ยิ่งเขาเจอช่วงเวลาที่ยากลำบากขนาดไหน เขายิ่งทุ่มเทมากขึ้น พยายามทำให้ดีขึ้นในทุกๆวัน”

จากเหตุการณ์ในวันนั้น ชาก้า นำคำวิจารณ์ที่เคยได้รับกลับมาพัฒนาตัวเอง และให้ผลงานในสนามพูดแทนสิ่งที่อยู่ในใจ” กรานิต ชาก้า โชว์ผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในฤดูกาลนี้ที่ขยับขึ้นไปเล่นสูงกว่าเดิม

From Comfort Zone to Growth Zone

บทบาทใหม่ของชาก้าในเวลานี้เปลี่ยนจากการยืนเป็น Deep-Lying Midfielder มาเป็นบท “หมายเลข 8” ที่ยืนทางซ้ายร่วมกับ มาร์ติน โอเดการ์ด เขาได้รับอนุญาตให้ทำเกมขึ้นหน้าเองมากขึ้น ลงมาต่ำเพื่อจ่ายบอลน้อยลง แต่ออกบอลสร้างสรรค์เกมได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมี โธมัส ปาเตย์ คอยสกรีนบอลให้อยู่ด้านหลัง

อาร์เตต้า พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า “บางครั้งเราต้องพานักเตะออกมาจากคอมฟอร์ตโซนของพวกเขาเอง เปิดประตูบานใหม่ๆ เพื่อลองดูว่าทีมจะตอบสนองอย่างไรและคู่แข่งจะตอบสนองอย่างไร”

The Athletic เผยว่า สถิติการสัมผัสบอลของชาก้าในแดนตัวเองทั้งหมด 36% ซึ่งคิดเป็น 1 ส่วน 3 เท่านั้น ที่เหลือจะเป็นแดนของคู่แข่งทั้งหมด และเขาเข้าไปจับบอลในกรอบเขตโทษสูงถึง 3.6 ครั้งหรือคิดเป็น 6%

สิ่งเหล่านี้เผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่ากองกลางหัวใจแกร่งชาวสวิตคนนี้ถูกดันขึ้นไปเล่นในแดนบนมากขึ้น ทำให้เขาสามารถหามิติหรือหาวิธีการเล่นใหม่ๆของตัวเองมากขึ้น และเขาทำมันได้ดีทีเดียว

นับตั้งแต่ฤดูกาล 2019/20 ชาก้า มีค่าเฉลี่ยยิงประตูได้เพียงปีละ 1 ลูกเท่านั้น แต่ในฤดูกาลนี้เขาทำไปแล้ว 4 ประตู 3 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 14 เกมทุกรายการ

สถิติในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ เขาจ่ายบอลสำเร็จไป 404 ครั้ง คิดเป็นความแม่นยำ 85% สร้างโอกาสทำประตู 18 ครั้ง แท็กเกิ้ลชนะ 5 ครั้ง เคลียร์บอลช่วยทีม 16 ครั้ง แต่ตัดบอลแย่งบอลสำเร็จอีก 7 ครั้ง และมีผลงานโดดเด่นคือการทำประตูใส่ ท็อตแนมป์ ฮอตสเปอร์ ได้ในลอนดอน ดาร์บี้ แมตซ์ และได้ Man of The Match

จากคนที่เข้าบอลโฉ่งฉ่าง ได้ใบเหลืองใบแดงแบบง่ายๆในวันนั้น ในวันนี้ไม่มีเขาคนนั้นอีกแล้ว ในฤดูกาลนี้จนถึงตอนนี้เขาได้ใบเหลืองไปเพียง 2 ใบในพรีเมียร์ลีกเท่านั้น เขาอ่านเกมขาดมากขึ้น จ่ายบอลฉลาดมากขึ้น เป็นมิดฟิลด์พลังไดนาโม วิ่งไม่มีหมด และที่เพิ่มเติมมาคือการทำประตู

หากนักฟุตบอลคนนึงต้องเผชิญสถานการณ์เดียวกับชาก้า มันง่ายมากที่พวกเขาจะไม่หันหลังกลับมา แต่ชาก้าตัดสินใจจะสู้ต่อที่นี่ ทุกวันนี้ชาก้ากลายมาเป็นหนึ่งใน Leader ของทีมที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดไม่ใช่แค่กับนักเตะภายในทีม แต่รวมถึงแฟน ๆ ปืนใหญ่ด้วย

สิ่งที่เขาตั้งใจและความมุ่งมั่นได้ตอบแทนเขาแล้ว หากเรามองเรื่องนี้ว่าเป็นชัยชนะ เขาได้รับชัยในวันที่เขาชนะใจตัวเองได้แล้ว แถมตอนนี้ยังสามารถเอาใจของแฟนๆอาร์เซนอลกลับคืนมาเป็นที่เรียบร้อย และเสียงร้องเพลงเชียร์จากแฟนๆ ที่ก้องกังวาน มันยิ่งทำให้หัวใจของเขาพองโตขึ้นไปอีก

“GRANIT XHAKA, WE'VE GOT”
“GRANIT XHAKA, WE'VE GOT”
“GRANIT XHAKA, WE'VE GOT”
“GRANIT XHAKA, WE'VE GOT

“ลองดูแฟนๆ ร้องเพลงให้กับเขา มันยิ่งทำให้เขารู้สึกมากยิ่งขึ้น มันทำให้เขายิ่งพยายามมากกว่าเดิม ผมดีใจกับเขาด้วย เพราะในความคิดของผม เขาสมควรที่จะได้รับสิ่งนี้” และสิ่งนี้ในความหมายของอาร์เตตาก็คือ ‘ความรัก’ นั่นเอง

แชร์บทความนี้
Content Creator - คิดไซด์โค้ง-ThinkCurve
mask-bg
logo-black

SOCIAL MEDIA

สนใจโฆษณาติดต่อ