มาราโดน่าแห่งซาอุฯ : ซาอิด อัล โอไวรัน นักเตะที่เก่งจน “King” เรียกไปตบรางวัลจนเสียคน
ประตูเดียวเปลี่ยนชีวิตคน ๆ หนึ่งไปตลอดกาล นี่คือเรื่องราวของนักเตะคนหนึ่งที่ว่ากันว่า “เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติซาอุดิ อาระเบีย” ชื่อของเขาคือ ซาอิด อัล โอไวรัน
เขาคือนักเตะที่เลี้ยงเดี่ยวผ่านนักเตะเบลเยี่ยมเป็นระยะทางกว่า 70 หลา ลากเข้าไปทำประตูประวัติศาสตร์จากฟุตบอลโลก จนกระทั่งประตูนั้นทำให้เขาได้เป็นพระสหายคนสนิทของพระมหากษัตริย์แห่ง ซาอุดิ อาระเบีย เลยทีเดียว
นั่นควรจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ทว่ากลับกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตำนาน “มาราโดน่าแห่งซาอุฯ” ต้องหายไปจากโลกฟุตบอลตลอดกาล…
ติดตามเรื่องราวที่ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
ประตูเปลี่ยนชีวิต
แม้ปัจจุบัน ซาอุดิ อาระเบีย ถือเป็นขาประจำของเอเชียที่ได้ไปแข่งฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย แต่ในช่วงยุค 80s ยังไม่ใช่ยุครุ่งเรืองของวงการฟุตบอลซาอุดิอาระเบีย พวกเขาไม่เคยมีโอกาสได้ไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ต้องอดทนดูชาติอื่นๆในตะวันออกกลางเป็นตัวเเทนไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเเทน คูเวตในปี 1982 อิรัก 1986 เเละยูเออี ในปี 1990
เเละในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ปี 1994 ที่สหรัฐอเมริกา คือ การเปิดตัวในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายครั้งเเรกของทีมชาติซาอุดิอาระเบีย ถือว่าเป็นวาระสำคัญของชาติเลยทีเดียว เเละพวกเขามี ซาอิด อัล โอไวรัน ตัวรุกหมายเลข 10 ที่ยิงไป 18 ประตู ทั้งเเมตช์อย่างเป็นทางการเเละเเมตช์กระชับมิตรก่อนจะเริ่มฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย เป็นอาวุธลับของ ฮอร์เก้ โซลารี่ เฮดโค้ชชาวอาร์เจนติน่าของซาอุดิอาระเบียในฟุตบอลโลกครั้งนี้
ในปี 1994 คือปีที่ดีที่สุดในอาชีพค้าเเข้งของกองกลางตัวรุก วัย 26 ปี อย่าง ซาอิด อัล โอไวรัน เขาคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของเอเชียในปีนั้น เเละมีชื่อติดทีมชาติไปลุยฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายที่อมเริกา กำลังอยู่ในช่วงพีคของชีวิตค้าเเข้ง
พวกเขาได้อยู่ร่วมกลุ่มกับ เนเธอร์เเลนด์ เบลเยี่ยม เเละโมร็อคโก ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะผ่านรอบเเรกไปได้ เเต่จากการเเพ้เนเธอร์เเลนด์เเบบฉิวเฉียดเเละไปเอาชนะโมร็อกโกได้ ทำให้ในนัดที่สามพวกเขายังมีโอกาสลุ้นเข้ารอบน็อคเอาท์เป็นประวัติศาสตร์ของชาติได้ หากพวกเขาเอาชนะเบลเยี่ยม
เเต่ปัญหาคือ เบลเยี่ยมที่พวกเขาต้องเจอ ในยุคนั้นเเข็งเเกร่งมากเเละชนะมาสองนัดรวด ไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะทำได้ น่าจะเเพ้เบลเยี่ยมเเบบสู้ไม่ได้เลย
ในสองนัดเเรก ซาอิด อัล โอไวรัน ตัวรุกหมายเลข 10 ของทีมยังทำประตูไม่ได้ เเต่เขามีความมั่นใจว่าเขาจะทำได้ในนัดที่สาม เเละ อีกคนที่มั่นใจในตัวเขาคือ กษัตริย์ฟาฮัด บิน อับดุลลาซิซ อัล ซาอูด พระราชาของซาอุดิอาระเบียในตอนนั้น ถึงขนาดโทรมาหาเเละให้กำลังใจ โอไวรัน เป็นการส่วนตัว
“ผมขอให้พระเจ้าอวยพรพวกคุณที่เล่นฟุตบอลได้สวยงาม ผมมีความเชื่อว่าคุณจะยิงได้ในเเมตช์ที่สาม” โอไวรัน เล่าให้ฟังถึงสิ่งที่กษัตริย์พูดกับเขา
เเละเพียงเเค่ 5 นาที ของการเเข่งขัน ก็เกิดเรื่องช็อคโลกขึ้น เมื่อ ซาอิด อัล โอไวรัน เก็บบอลได้ที่บริเวณหน้ากรอบเขตโทษฝั่งตัวเอง เเละเขาเลี้ยงบอลฝ่าทะลุกองหลังเบลเยียมไป 5 คน เป็นระยะทาง 69 เมตร เข้าไปยิงประตูสุดสวย เป็นประตูเเรกของเขาในทัวร์นาเมนท์นี้ ให้ซาอุดิอาระเบียออกนำ 1-0 เเละประตูนี้ทำให้เขาโด่งดังไปทั่วโลก
เบลเยียมพยายามโหมบุกหนักเอาคืนเเต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จบเกม ซาอุดิอาระเบีย เอาชนะไปได้ 1-0 จากประตู ของ โอไวรัน ผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์อย่างหน้าตาเฉย
“พวกเขายังเปิดคลิปประตูลูกนั้นที่อเมริกาอยู่ไหมผมไม่แน่ใจ แต่ผมดูมันซ้ำไปซ้ำมา เป็นพันๆรอบ” ซาอิด อัล โอไรวัน ให้สัมภาษณ์กับนิวยอร์กไทมส์
หลังจากนั้นพวกเขาไปพ่ายเเพ้ต่อสวีเดน 3-1 ในรอบน็อคเอาท์ ทำให้ต้องตกรอบไป เเละเดินทางกลับซาอุดิอาระเบีย เเต่เเค่นี้ก็เพียงพอเเล้วที่จะทำให้คนทั้งประเทศได้เฉลิมฉลอง
เป็นการลงเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายครั้งเเรกเเละผ่านเข้ารอบน็อคเอาท์ครั้งเเรก เเถมยังมีประตูประวัติศาสตร์สุดสวยติดอันดับ ท็อป 100 ตลอดกาล ลูกยิงสุดสวยในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
พวกเขาได้รับการต้อนรับกลับบ้านราวกับเป็นฮีโร่ของประเทศ มันกลายเป็นวาระเเห่งชาติทำให้คนทั้งประเทศชื่นใจเเละพากันเฉลิมฉลองไปทั่วท้องถนน เเละ ซาอิด อัล โอไวรัน ก็กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ขึ้นมาทันที เเละนั้นคือ จุดเริ่มต้นของการตกต่ำของ ซาอิด อัล โอไวรัน
หลงระเริงไปกับเเสงสี
“ลูกที่ยิงเบลเยียมของผม ผมว่ามันคือดาบสองคมสำหรับผมเลย ในเเง่หนึ่งมันก็ยอดเยี่ยม ในอีกเเง่ มันก็เเย่มากพอๆกัน ผมกลายเป็นจุดสนใจเเละผู้คนมาโฟกัสที่ตัวผม” ซาอิด อัล โอไวรัน ให้สัมภาษณ์
จากฟอร์มที่ดีในฟุตบอลโลกทำให้ โอไวรัน ได้รับข้อเสนอมากมายจากสโมสรในยุโรป เเต่ด้วยกฏตอนนั้นของซาอุดิอาระเบียห้ามผู้เล่นไปค้าเเข้งนอกประเทศ ทำให้เขาต้องใช้ชีวิตในช่วงพีคที่สุด ค้าเเข้งกับสโมสร อัล ชาบับ ต่อไป
ซาอิด อัล โอไวรัน กลับมาค้าเเข้งต่อที่ซาอุดิอาระเบีย ผู้คนต่างชื่นชมเเละยกย่องให้เขาเป็น “มาราโดน่าเเห่งซาอุดิอาระเบีย” จากการทำประตูลูกนั้น เเละผู้คนเริ่มปฏิบัติกับเขานอกสนามราวกับว่าเขาเป็นดาราชื่อดัง มีเเต่คนเข้าหา มีโฆษณาติดต่อเข้ามามากมาย
“ผมเป็นคนตะวันออกกลางคนเเรกที่ได้ร่วมโฆษณาของเป๊บซี่เลยนะ!” อัล โอไวรัน เล่าอย่างภาคภูมิใจ
เท่านั้นยังไม่พอเขากลายเป็นคนสนิทของกษัตริย์ซาอุดิอาระเบีย เเละได้รับการสปอยล์อย่างเต็มกราฟจากทางราชวงศ์ ทั้งเงินตราเเละรถหรูๆมากมาย
ทำให้ซาอิด อัล โอไวรันเริ่มหันหลังให้ศาสนาเเละใช้ชีวิตเเบบชาวตะวันตก ทั้ง กิน ดื่ม เที่ยวผู้หญิง เที่ยวกลางคืน เริ่มเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ
ซาอุดิอาระเบียถูกปกครองด้วยกฏหมายอิสลาม การดื่มในประเทศยังเป็นเรื่องต้องห้าม ทำ โอไวรัน ต้องบินไปต่างประเทศบ่อยๆ เพื่อใช้ชีวิตกลางคืน เเละทำให้ฟอร์มของเขาดร็อปลงเรื่อยๆ เขาไม่ค่อยสนใจเรื่องในสนามเท่าไหร่ หันไปโฟกัสชีวิตนอกสนามมากกว่า
เคยมีรายงานว่าเขาออกจากสโมสร อัล ชาบับ โดยที่ไม่ได้ขออนุญาตเเละบินไปพักผ่อนที่คาซาบลังก้าเป็นเวลาสองอาทิตย์ ทำให้เขาถูกสโมสรลงโทษด้วยการปรับเงินเเละตักเตือน
“ทุกคนในซาอุดิอาระเบียต้องประพฤติตนตามกฎหมายของศาสนาและรัฐบาล และสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสตาร์ดังคือการปฏิบัติตัวให้เป็นแบบอย่าง เหล่าสตาร์คือผู้นำในการสร้างประเทศที่ดีได้เสมอ พวกเขาเป็นบุคคลผู้ควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้ทุกคนในประเทศได้ประพฤติตาม” อาเหม็ด อีด ซาอัด อัลฮาร์บี ผู้จัดการทีมชาติ ซาอุดิ อาระเบีย กล่าว เตือน อัล โอไวรัน แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ทันเเล้ว…
คืนหนึ่งในช่วงรอมฎอนปี 1996 คือตอนที่ทุกอย่างมันดิ่งลงเหว ซาอิด อัล โอไวรัน ถูกตำรวจอาหรับจับได้ระหว่างที่กำลังสังสรรค์กับเพื่อนๆเเละกลุ่มผู้หญิงที่ไม่ใช่ชาวอาหรับ กลายเป็นเรื่องใหญ่โตเเละผิดกฏหมายของประเทศอย่างรุนเเรง เเละทำให้เขาต้องติดคุกเเละถูกเเบนจากการเล่นฟุตบอลในซาอุดิอาระเบียเป็นเวลาหนึ่งปี
อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่เชิงคุกซะทีเดียว… มันคล้ายๆกับสถานกักกันมากกว่า เขายังได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ เพื่อนเเละครอบครัวมาเยี่ยมบ่อยๆเเละสามารถฝึกซ้อมคนเดียวข้างในนั้นได้ เเต่เขาก็ยอมรับว่ามันทำให้เจ็บปวดจริงๆ เพราะในช่วงที่เขาถูกเเบน ทีมชาติซาอุดิอาระเบียก้าวขึ้นไปคว้าเเชมป์ เอเอฟซี เอเชียนคัพ 1996 เเละเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส
“การถูกเเบนจากฟุตบอลเป็นเวลาหนึ่งปี คือบทลงโทษที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตผม ผมต้องดูเพื่อนร่วมทีมลงเเข่งทางทีวี โดยเฉพาะกับทีมชาติ ผมมั่นใจว่าผมควรจะเป็นหนึ่งในพวกเขา” อัล โอไวรันให้สัมภาษณ์กับ นิวยอร์ก ไทมส์
บางคนบอกว่าเขาอยู่ในนั้นไม่นานเท่าไหร่ บ้างบอกว่าเเค่ 6 เดือน ไม่มีใครทราบตัวเลขที่เเน่ชัด เเต่ที่ชัดเจนคือเขาหายไปจากวงการฟุตบอลเป็นเวลาหนึ่งปีเต็มๆเเละผู้คนต่างพากันลืมชื่อเขาไปแล้ว
เเต่ด้วยความพยายามทำงานหนักเเละต้องการจะพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง เขากลับมาได้ สโมสรอัล ชาบับ อ้าเเขนพร้อมต้อนรับเขากลับมา รวมไปถึงทีมชาติซาอุดิอาระเบีย ท้ายที่สุดเเล้วเขาก็มีชื่อติดทีมชาติไปลุยฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 1998 ที่ฝรั่งเศส
เเละเป็นปีเดียวกับที่กฏการห้ามนักเตะซาอุดิอาระเบียย้ายไปเล่นที่ต่างประเทศถูกยกเลิก ทำให้ อัล โอไวรัน หมายมั่นปั้นมือว่าเขาจะโชว์ฟอร์มที่ดีในฟุตบอลเเละสานฝันการไปเล่นในยุโรปของตัวเองให้ได้
เเต่ในวัย 30 ปี เเถมหายไปหนึ่งปีเต็มๆ ร่างกายเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ซาอุดิอาระเบีย เเละ ซาอิด อัล โอไวรัน โชว์ฟอร์มไม่ออกตกรอบเเรกไปตามระเบียบ เเละไม่มีสโมสรไหนในยุโรปต้องการตัวเขา
ท้ายที่สุดเเล้วเขากลับมาค้าเเข้งต่อที่สโมสร อัล ชาบับ ต่อไปจนเเขวนสตั๊ดในปี 2001 ทั้งชีวิตค้าเเข้งอยู่กับสโมสรเดียว ลงเล่นไป 588 ยิงไป 238 ประตู
จากมาราโดน่าเเห่งซาอุดิอาระเบียสู่คนไม่สำคัญ มีเพียงเเค่ลูกยิงสุดสวยในฟุตบอลโลกเพียง 1 ลูก ให้เเฟนบอลได้จดจำ ทุกอย่างต้องมาพังเพราะการหลงระเริงในเเสงสี ชื่อเสียง สุราเเละผู้หญิง ทำให้นึกถึงคำที่ เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน เคยพูดไว้
“ชีวิตเเต่งงานที่ดีจะช่วยนักฟุตบอล มันทำให้พวกเขามีความรับผิดชอบเเละระเบียบวินัย สามารถมีอาชีพนักฟุตบอลที่มั่นคงเเละยืนยาว อย่างน้อยเราก็รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนในเวลากลางคืน”
หรือถ้าในปี 1994 ไม่มีกฏการห้ามย้ายออกนอกประเทศ เขาอาจจะได้ย้ายไปเล่นในต่างเเดนตั้งนานเเล้ว เเละไม่โดนจับข้อหาอยากดื่มสังสรรค์กับเพื่อนๆหรอก
เเต่ก็อย่างว่า… กฏหมายบ้านใครบ้านมัน เราไม่มีสิทธิ์ไปเปลี่ยนหรือบอกว่ากฏของเขาไม่ดี เราเลือกที่จะไปหรืออาศัยอยู่เเล้ว เราต้องเคารพเเละปฏิบัติตาม ใครจะไปที่ไหนก็ต้องศึกษากฏหมายให้ดีล่ะ ไม่งั้น เเค่นั่งดื่มสังสรรค์กับเพื่อนอยู่ดีๆ อาจจะได้ไปนอนในตารางก็เป็นได้
เเหล่งอ้างอิง
https://www.dailyrecord.co.uk/sport/football/football-news/world-cup-memories-saudi-arabias-12698617