อนาคต เบน เดวิส : กับโอกาสครั้งใหม่ในมือของ “เทกุ”
ชลบุรี เอฟซี ทีมยักษ์หลับแห่งศึก ไทยลีก ยังคงสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับแฟนบอลอย่างต่อเนื่อง สำหรับการเตรียมทีมสู้ศึกซีซั่นหน้าแต่เนิ่นๆ ทั้งในเรื่องของการตลาดโฉมใหม่ ผลิตเสื้อแข่งขันเอง รวมไปถึงการหวังพัฒนาผลงานของทีม ด้วยการดึงโค้ชมือดีอย่าง เทกุซัง - มาโกโตะ เทกุระโมริ กุนซือมากประสบการณ์ชาวญี่ปุ่นเข้ามาทำทีม แทนที่ของ อดุล หละโสะ ที่รับหน้าที่รักษาการณ์ตำแหน่งมาจนจบซีซั่นก่อน
ผลงานในช่วงหลังของ ฉลามชล ที่เคยมีดีกรีระดับแชมป์ไทยลีก 1 สมัยในปี 2007 ค่อนข้างมีมาตรฐานที่ลดต่ำลงกว่าเดิม เนื่องจากเปลี่ยนแนวทางการทำทีม ไม่มีการทุ่มงบซื้อสตาร์เบอร์ใหญ่เข้ามาเสริมทัพ เน้นใช้เด็กปั้นจากอะคาเดมี่เป็นหลัก เพื่อหวังสร้างความสำเร็จแบบยั่งยืน
กลายเป็นว่าสามฤดูกาลหลังสุด ชลบุรี เอฟซี จบในอันดับที่ 12, 7 และ 6 หลุดวงโคจรสโมสรระดับหัวแถวของลีกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแค่ชื่อชั้นความสำเร็จเก่าๆ ที่พอจะขายได้ นำมาประกอบกับแนวทางการทำทีมที่ชัดเจน พร้อมให้โอกาสเยาวชนพิสูจน์ฝีเท้า ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักให้กับทีมในอนาคต
อย่างไรก็ตามในงาน ฉลามชล อวอร์ด เมื่อวานนี้ ที่มีการเปิดตัวชุดแข่งพร้อมกิจกรรมเซอร์ไพรส์แฟนบอลต่างๆ ณ ศรีราชา ฮอลล์ ชั้น 4 ศูนย์การค้า เซ็นทรัล ศรีราชา ทางสโมสรก็มีการเปิดตัวนักเตะใหม่รายแรกอย่างเป็นทางการของทีม นั่นก็คือ เบนจามิน เดวิส แนวรุกลูกครึ่งไทย-อังกฤษ วัย 22 ปี ที่ย้ายมาร่วมทัพแบบพลิกโผ
แน่นอนว่าเมื่อผู้บริหารเปิดตัวอาวุธหนักแบบนี้ แฟนบอลย่อมต้องคาดหวังเป็นเรื่องธรรมดา เพราะจากดีกรีที่ผ่านมาของ เบน เคยผ่านการเป็นเด็กฝึกของ ฟูแล่ม ก่อนย้ายไปอยู่กับ อ็อกซ์ฟอร์ด เป็นการการันตีว่า ฝีเท้าย่อมไม่ธรรมดา
แม้ว่าช่วงเวลาของเขาในการย้ายมาเล่นแบบยืมตัวกับ การท่าเรือ เอฟซี จะเป็นไปได้ไม่สวยเท่าไหร่นัก แต่การได้ย้ายสังกัดมาอยู่กับ ชลบุรี เอฟซี ที่พร้อมให้โอกาสลงสนามแบบเต็มที่ไม่มีกั๊ก แถมยังมีโค้ชฝีมือดีอย่าง เทกุซัง คอยชี้แนะแนวทาง ดูเป็นประเด็นที่น่าสนใจไม่น้อยว่าอนาคตของ เบน กับต้นสังกัดใหม่จะเป็นเช่นไร? ร่วมหาคำตอบจากการวิเคราะห์ไปพร้อมๆ กับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
โอกาสลงสนามที่มากขึ้น
ถ้าย้อนกลับไปพูดถึงโอกาสการลงเล่น นับตั้งแต่ เบน เดวิส เป็นนักเตะในอะคาเดมี่ของ ฟูแล่ม ช่วงเวลาที่เขาได้ลงสนามต่อเนื่องที่สุดคงเป็นตอนที่อยู่กับ เจ้าสัวน้อย ชุดอายุต่ำกว่า-21 ปี (25 นัด) และรองลงมาคือ ชุดอายุต่ำกว่า-18 ปี (20 นัด) แต่พอย้ายสังกัดมาอยู่กับ อ็อกซ์ฟอร์ด กลับได้ลงสนามไปเพียงแค่เกมเดียว
นั่นเป็นที่มาให้เขาตัดสินใจย้ายมาอยู่กับ การท่าเรือ เอฟซี ในฤดูกาลก่อน ด้วยสัญญายืมตัวแบบชั่วคราว ด้วยความหวังว่าจะได้โอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาฝีเท้าให้เหมาะสมกับช่วงวัย ไม่ขาดพัฒนาการเสียเวลาไปเปล่าๆ ตามที่เจ้าตัวให้สัมภาษณ์เอาไว้ตอนการย้ายทีมเสร็จสิ้นว่า
“ผมมีความสุขมากที่ได้ย้ายมาที่นี่ ผมรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่ดีของผม ที่จะแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่าผมทำอะไรได้บ้าง แล้วกำลังตั้งหน้าตั้งตารอที่จะช่วยทีม”
“มันเป็นการตัดสินใจที่ยาก ผมมีตัวเลือกที่อังกฤษ แต่เป็นดิวิชั่นล่างๆ ระดับ ดิวิชั่น 4 หรือ 5 ซึ่งเล่นคนละสไตล์กับผม พวกเขาเล่นบอลยาว ไม่ค่อยเล่นบอลกับพื้นในสิ่งที่ผมถนัด”
“ผมรู้สึกว่า ไทย ลีก กำลังดีขึ้นเรื่อยๆ มีนักเตะต่างชาติที่เต็มไปด้วยคุณภาพ ส่วนนักเตะไทยก็พัฒนาฝีเท้าขึ้นเช่นกัน ที่นี่เป็นลีกที่ดีกว่าในสิ่งที่หลายคนคิด”
“หลายคนมองว่า การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการถอยหลังลงคลอง แต่ส่วนตัวผมมองว่าการก้าวไปข้างหน้ามากกว่า บางครั้งคุณต้องยอมถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อเดินไปข้างหน้า”
อย่างไรก็ตามเป้าหมายที่ เบน ตั้งความคาดหวังเอาไว้กลับไม่ออกมาเป็นอย่างที่เขาคาดการณ์ สิงห์เจ้าท่า มีการปรับเปลี่ยนกุนซือของทีม แผนการเล่นและแนวทางต่างๆ ก็แตกต่างไปจากเดิม บวกกับตัวเลือกในแนวรุกที่มีให้ใช้งานจนล้นมือ ส่งผลให้เขาได้ลงเล่นรวมทุกรายการไปแค่ 17 เกม รวมทั้งหมด 592 นาทีเท่านั้น
ระหว่างที่อนาคตของเขากำลังสั่นคลอน ข่าวลือต่างๆ มากมายที่ไม่มีการยืนยันก็กระจายไปต่างๆ นาๆ อาทิ เรื่องของวินัยที่เป็นปัญหา, ทัศนคติในการเล่นที่ไม่เข้ากับทีม และการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ไม่ได้ อันเป็นสิ่งที่ไม่มีการพิสูจน์ได้ว่าจริงหรือไม่?
แต่สิ่งที่การันตีได้แน่นอน คือ เบน ไม่สามารถเบียดแย่งตำแหน่งกับคู่แข่งในทีม การท่าเรือ ได้ หากวัดจากฟอร์มการเล่นตรงๆ ทั้งที่เขาสามารถเล่นตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก ซึ่งรประจำการอยู่หลังกองหน้าตัวเป้าได้ทุกพื้นที่ อาทิ ริมเส้นซ้าย-ขวา และ เพลย์เมคเกอร์
ตำแหน่งริมเส้นฝั่งซ้าย บดินทร์ ผาลา แทบจะยึดครองตัวจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ หากไม่มีอาการบาดเจ็บรบกวน เพราะผลงานนั้นโดดเด่นจนไปถึงระดับก้าวไปเป็นตัวหลักของทีมชาติไทยชุดใหญ่
มาถึงตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์หรือหน้าต่ำ จากเดิมมีตัวตึงชาวต่างชาติอย่าง เซร์คิโอ ซัวเรซ ยึดพื้นที่อยู่แล้ว พอเลกสอง สิงห์เจ้าท่า ไปคว้าตัว วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ มาจาก บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ด้วยสัญญายืมตัวจนจบฤดูกาล แล้วดันโชว์ฟอร์มดีเบียดขึ้นเป็นตัวหลักได้ โอกาสของ เบน ก็เหมือนปิดตายไปสนิท
ส่วนริมเส้นฝั่งขวาก็มีตัวเลือกหน้าเดิมอย่าง ปกรณ์ เปรมภักดิ์ ที่รักษามาตรฐานฟอร์มการเล่นได้อย่างคงเส้นคงวา บวกกับนักเตะหน้าใหม่อย่าง ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ ที่ย้ายมาจาก บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ด้วยสัญญายืมตัวเช่นกัน ทั้งคู่ล้วนโชว์ผลงานได้เข้าตากว่า เบน แบบเทียบกันไม่ได้ หากวัดกันด้วยสถิติจำนวนประตูและแอสซิสต์ ไม่ใช่จังหวะวูบวาบอย่างเดียว
การปรับตัวเข้ากับแนวทางของ เทกุ
การมีประธานเทคนิคอย่าง โค้ชเฮง - วิทยา เลาหกุล ที่รับหน้าที่หลักเกี่ยวกับการดูแลอะคาเดมี่ของทีม ซึ่งชื่นชอบแนวทางการทำทีมสไตล์แดนอาทิตย์อุทัย เน้นการพัฒนาเยาวชนอยู่แล้ว เชื่อว่า เทกุ และ โค้ชเฮง คงปรับทัศนคติ มองเห็นแนวทางการทำทีมไปในภาพรวมเดียวกันแน่นอน
ซึ่งบทสัมภาษณ์สั้นๆ ของ เทกุ ก็กล่าวถึงเรื่องเป้าหมายของเขาเอาไว้อย่างชัดเจนว่า
“สวัสดีแฟนบอล ชลบุรี เอฟซี ทุกคน ผม มาโกโตะ เทกุระโมริ ฤดูกาลหน้า เรามาสู้ด้วยกันนะครับ”
“การได้โอกาสเข้ามาทำทีมใหม่ ก็เป็นความรู้สึกใหม่ๆ เหมือนได้รีเฟรชตัวเอง ต้องขอบคุณโอกาสในครั้งนี้ ที่ได้กลับมาไทยลีกอีกครั้ง เป็นการท้าทายครั้งใหม่ของผม”
“ชลบุรี เป็นทีมที่มีคุณภาพ มีศักยภาพสูง เป็นทีมที่มีการพัฒนา สามารถเติบโตไปด้วยได้”
“เป้าหมายอย่างแรกของผม คือ การคว้าแชมป์มาให้กับสโมสร ส่วนเป้าหมายที่สองของผม คือ ผมอยากช่วยพัฒนานักฟุตบอลไทยให้ไปสู่ระดับนานาชาติให้ได้”
“ผมรู้สึกว่าแฟนบอลชลบุรี มีการเชียร์ที่สนุก เหมือนพร้อมที่จะสู้ไปกับทีม ดังนั้นเรามาสู้ไปด้วยกันนะครับ”
หากย้อนไปดูการทำทีมของ เทกุซัง จะเห็นได้ว่าระบบการเล่นที่เขาเลือกใช้ในช่วงหลังเป็นประจำ จะมีแค่ 3 แผนหลักๆ คือ 4-4-2, 4-3-3 และ 4-2-3-1 ปรับใช้ตามทรัพยากรของทีมที่รับงาน แต่ใช่ว่าจะเล่นในระบบเซนเตอร์แบ็คสามคนไม่ได้ เพราะเคยทำให้เห็นกันมาแล้วในสมัยที่คุม เวกัลตะ เซนได ในประเทศญี่ปุ่น
ถ้ายึดจากขุมกำลังในตอนนี้ของ ฉลามชล ตำแหน่งตัวรุกฝั่งซ้าย ยังมีทั้ง อมาดู อ็อตตาร่า และ ฟาอิค โบลเกียห์ เป็นสองคู่แข่งสำคัญ แต่ตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์หรือหน้าต่ำยังคงเปิดกว้าง เนื่องจากยังไม่มีตัวที่ประจำการเป็น 11 ตัวจริง ครองตำแหน่งแบบตายตัว
แม้ว่า ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว จะเป็นตัวสร้างสรรค์เกมตัวหลักของทีม แต่ก็สามารถโยกออกไปยืนทางริมเส้นด้านขวา ซึ่งก็ทำผลงานได้ดีไม่ต่างกัน เหมือนที่แฟนบอลคงเห็นมาแล้วในรายการ ซีเกมส์ ที่เพิ่งจบลงไปหมาด ส่วนทาง สุมัญญา ปุริสาย แนวรุกตัวเก๋าวัย 36 ปี น่าจะรับบทบาทเป็นเพียงแค่อะไหล่ หรือไพ่ตายในการแก้เกมมากกว่า ถ้าวัดจากอายุอานามที่มากขึ้น
ดังนั้นเมื่อมองโอกาสของ เบน เดวิส กับการลงสนามให้กับต้นสังกัดใหม่แล้ว ดูท่าจะมีอนาคตที่สดใสไม่น้อย เนื่องจากจำนวนผู้เล่นที่ทับไลน์กันยังไม่มากเท่ากับสมัยที่อยู่กับ การท่าเรือ เอฟซี แล้วการดึง ยศกร บูรพา วันเดอร์ คิดส์ วัย 17 ปี กลับมาจาก สมุทรปราการ ซิตี้ ก็เป็นผู้เล่นคนละตำแหน่งกันโดยสิ้นเชิง
แรงกระตุ้นในการพิสูจน์ตัวเอง
หลังจากดีกรีเดิมๆ ของ เบน เดวิส ที่เคยมีรายได้ระดับ 6-7 แสนบาทต่อเดือน เมื่อมานั่งยาวในถิ่น แพท สเตเดี้ยม แล้วกลายเป็นนักเตะ ฟรี เอเย่นต์ หมดสัญญากับต้นสังกัดเก่าอย่าง อ็อกซ์ฟอร์ด ทำให้ตัวของเขาต้องยอมรับรายได้ที่ต่ำกว่าเดิมลงมา
ในเมื่อ ชลบุรี เอฟซี เป็นทีมที่มีชื่อชั้นอยู่ในระดับหัวแถวของลีกมาก่อน แต่แนวทางการทำทีมนั้นจำกัดงบประมาณ ไม่ทุ่มเหมือนกับสโมสรอื่นๆ ระดับหัวแถวของลีก ตัวเลขค่าเหนื่อยของ เบน คงตกอยู่ที่ราว 150,000 - 160,000 บาทต่อเดือน ตามจำนวนที่ทาง ฉลามชล พอจะจ่ายไหว แล้วคงมีกา่รพูดคุยกันถึงเรื่องของโอกาสการลงเล่นเป็นแรงจูงใจเพิ่มเติม กล่อมให้ย้ายมาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งในเมืองไทย
แม้ว่าบุคลิกภายนอกของ เบน อาจจะดูเหมือนนักเตะที่มีคาแรกเตอร์นิ่งๆ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่ความจริงแล้วเจ้าตัวนั้นมีแพสชั่นอันแรงกล้าแฝงอยู่ภายใน ตามที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า
“บางคนอาจมองว่า การที่ผมมาเล่นในไทยเพราะผมไม่สามารถกลับไปเล่นในยุโรปได้ แต่อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วว่า ผมคือผู้เล่นอายุน้อยที่สุดในทีมชุดใหญ่ของสโมสร อ็อกซ์ฟอร์ด”
“จริงๆ แล้วอนาคตของผมในยุโรปมันยังไม่จบลง แต่ผมอยากจัดการมันไปทีละขั้นทีละตอน ตอนนี้ขอโฟกัสผลงานไปแบบเกมต่อเกม แล้วค่อยมาคุยกับเอเย่นต์ส่วนตัวว่า มีข้อเสนอในยุโรปที่น่าสนใจยื่นเข้ามาบ้างหรือไม่”
“ผมรู้สึกว่า ไทย ลีก กำลังดีขึ้นเรื่อยๆ มีนักเตะต่างชาติที่เต็มไปด้วยคุณภาพ ส่วนนักเตะไทยก็พัฒนาฝีเท้าขึ้นเช่นกัน ที่นี่เป็นลีกที่ดีกว่าในสิ่งที่หลายคนคิด”
ด้วยวัยย่าง 23 ปี เบน เดวิส ยังถือว่าเป็นนักเตะที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นอยู่ แม้ว่าจังหวะการพัฒนา ลับคม เรื่องของฝีเท้าของเขา อาจมีอาการสะดุดไปบ้างจากเมื่อฤดูกาลก่อน แต่มองดูเวลาที่เหลืออยู่ในอาชีพการค้าแข้ง บวกกับโปรไฟล์เก่าๆ ที่เป็นทุน เจ้าตัวยังมีโอกาสจะกลับมาแจ้งเกิดอีกรอบได้ไม่ยาก
หากทาง เทกุซัง มีคู่มือการใช้งาน เบน ให้ถูกทิศถูกทาง ปรับจูนทัศนคติต่างๆ ได้อย่างลงตัว เขาจะกลายเป็นอาวุธสำคัญให้กับทัพ ฉลามชล อย่างแน่นอน แล้วด้วยการทำทีมที่พร้อมส่งเสริมอนาคตนักเตะแบบเปิดกว้างอยู่เสมอ หากมีข้อเสนอจากต่างแดนเข้ามา แฟนบอลอาจได้เห็น เบน ย้ายออกไปเล่นในลีกชั้นนำอีกครั้งก็เป็นได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
https://thinkcurve.co/chlburii-e-fchii-thamech-raiphrs-epidtaw-ebn-edwis-ainngaanchlaamchl-w-rd/
https://www.transfermarkt.com/makoto-teguramori/profil/trainer/5121
https://www.transfermarkt.com/ben-davis/profil/spieler/532374
https://www.youtube.com/watch?v=SnsGU3pBsPE
https://www.youtube.com/watch?v=4sWn6gObZsE
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เมื่อครั้งหนึ่ง “อิชิอิ” เคยทำงานในโรงอาหาร หลังคว้ารองแชมป์สโมสรโลก
คล้ายตรงไหนบ้าง? : ศุภณัฏฐ์ นักเตะเงา โลซาโน่ ในสายตาสื่อต่างประเทศ
เวียดนามกร้าวก่อนซีเกมส์ : "4 ปีก่อน ทรุสซิเย่ร์ ก็เคยพาทีมเวียดนามยู 19 เอาชนะไทยมาแล้ว
เก่งในสนามไม่พอ : สาเหตุใด บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ถึงครองความยิ่งใหญ่ได้แบบยั่งยืน ?
บุรีรัมย์ ยังห่างแค่ไหน ? 10 สถิติไร้พ่ายนานที่สุดในโลก ณ ตอนนี้
คุณสมบัติอะไรที่ทำให้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นทีมไร้พ่ายนานที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ ?
ศุภณัฏฐ์ นำทัพ : 6 วันเดอร์คิดเอเชียที่ติดอันดับโลกปี 2019 ทุกวันนี้เป็นอย่างไร ?