‘นีล เอเธอริดจ์’ แข้งอาเซียนคนแรกบนเวที ‘พรีเมียร์ลีก’ สู่นายทวาร ‘บุรีรัมย์’
การเสริมทัพของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ฤดูกาลหน้า ยังคงดุเดือดอย่างต่อเนื่องในตลาดรอบนี้ เพราะแชมป์ ไทย ลีก คงไม่ได้มองแค่การประสบความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ถ้วยต่างๆ ภายในประเทศ แต่คงมองถึงเป้าหมายที่ไปได้ไม่ไกลสักทีบนเวที เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก หรือศึกชิงแชมป์สโมสรเอเชีย
แม้ว่าพวกเขาจะสามารถรักษาแชมป์ ไทย ลีก เอาไว้ได้เป็นสมัยที่ 10 แต่ต้องยอมรับว่าผลงานก่อนหน้านี้เมื่อสองปีก่อนที่คว้าสามแชมป์ในประเทศติดต่อกันเป็นทีมแรก คือ ผลงานระดับมาสเตอร์พีซของ มาซาทาดะ อิชิอิ กุนซือมือทอง และเหล่าลูกทีมทั้งไทยและต่างชาติที่อุดมไปด้วยคุณภาพ
อย่างไรก็ตามเมื่อขุนพลชุดนั้นไม่สามารถไปไกลในระดับชิงแชมป์เอเชีย จึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งแนวทางการทำทีม, ตัวกุนซือ รวมไปถึงตัวผู้เล่นไทยและต่างชาติ ซึ่งยากจะปฏิเสธว่า โควต้าต่างชาติ คือ จุดที่สามารถสร้างความแตกต่าง เมื่อตัดสินใจเปลี่ยนทุกอย่างกลางทาง จึงทำให้พวกเขาสามารถแซง แบงค็อก ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ลีกมาครองได้ในฤดูกาลนี้ ภายใต้การกุมบังเหียนของนายใหญ่คนใหม่อย่าง จอร์จินโญ่
แต่ความทะเยอทะยานของทัพ ปราสาทสายฟัา ไม่มีทางหยุดความทะเยอทะยานเอาไว้เพียงแค่นี้ เพราะการตั้งเป้าจะขับเคี่ยวในระดับเอเชีย ต้องเจอกับทีมชั้นนำจาก ญี่ปุ่น, เกาหลี หรือการแซงลีก ไชนีส ซูเปอร์ลีก ประเทศจีน เพื่อก้าวขึ้นไปรั้งตำแหน่งลีกที่ดีที่สุดของเอเชียอันดับที่ 7 รวมไปถึงการก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมที่เคยไปถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่ปัจจุบัน บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ทำผลงานขึ้นมาทาบตำแหน่งแล้ว ดังนั้นขุนพลทุกตำแหน่งจำเป็นต้องแกร่งทั่วแผ่น ไม่เว้นแม้แต่ผู้รักษาประตูที่โลกฟุตบอลทุกวันนี้เชื่อว่า มีส่วนสำคัญอย่างมากในการพาทีมประสบความสำเร็จ แล้วมีบทบาทมากกว่าแค่การป้องกันประตูแบบในยุคก่อน
ถึงแม้ว่า บุรีรัมย์ จะมีผู้รักษาประตูมือดีอย่าง ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน ที่อยู่กับทีมมาอย่างยาวนาน แต่การยกระดับทีมทั้งองคาพยพครั้งใหญ่ ย่อมมองข้ามในตำแหน่งนี้ไม่ได้ ซึ่งล่าสุดพวกเขาก็เลือกที่จะไปดึงตัวนายทวารอดีตดีกรีผู้เล่น พรีเมียร์ลีก อังกฤษ อย่าง นีล เอเธอริดจ์ มือกาวทีมชาติฟิลิปปินส์
ชื่อชั้นของ เอเธอริดจ์ นั้นอาจไม่ได้โด่งดังในลีกสูงสุด แต่เขาคือประตูมือดีในระดับลีกรองอย่าง เดอะ แชมเปี้ยนชิพ แต่กว่าที่เขาจะมาถึงระดับนี้ได้จนได้รับการยอมรับนั้นต้องผ่านการเหยียดต่างๆ นาๆ ซึ่งเขาก็ยังยืนหยัดสู้จนเป็นผู้เล่นอาเซียนคนแรกที่ได้ลงเล่นบนลีกสูงสุดแดนผู้ดี เรื่องราวต่างๆ ของเขานั้นมีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง? ผลงานของเขาที่ผ่านมามีโมเมนต์ที่ดีและแย่แบบใด? ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
อาเซียนคนแรกในพรีเมียร์
สำหรับ เอเธอริดจ์ ในช่วงวัยเด็ก เชื่อว่าตัวเขาที่เติบโตมาในประเทศอังกฤษเป็นบ้านเกิดเมืองนอน เรียนรู้วัฒนธรรมการเป็นอยู่มาอย่างยาวนาน อาศัยและใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ดังนั้นเขาเองก็เป็นชาวอังกฤษคนหนึ่ง ที่แทบไม่ได้แตกต่างจากคนอังกฤษแท้ๆ ทั่วไป
อย่างไรก็ตามตัวเขาก็ไม่สามารถหนีพ้นจากการถูก ‘เหยียด’ เรื่องสีผิว ที่ดูคล้ำกว่าชาวอังกฤษแท้ๆ ทั่วไป ซึ่งใช่ว่าเขาจะปฏิเสธเลือดอีกครึ่งนึงของเขาที่ไหลเวียนอยู่ในตัวจากทางฝ่าย ‘คุณแม่’ ที่เป็นชาวฟิลิปปินส์ ชาติย่านอาเซียนโดยกำเนิด แล้วสำนักดีว่าเขาคือลูกครึ่งลูกผสมเมื่อเติบโตขึ้นมาจนมาถึงวัยที่มีวุฒิภาวะเพียงพอ
ด้วยความเป็นคนหัวคิดก้าวหน้าของ เอเธอริดจ์ แนวคิดเรื่องสังคมแห่งความเท่าเทียม คือ สิ่งที่เขาเชื่อมั่นมาตั้งแต่แรก เพราะทุกวันนี้ประชากรในแต่ละประเทศที่ถึงแม้จะเป็นชาติยุโรปที่เจริญแล้ว มีความหลากหลายเรื่องของเชื้อชาติ ที่อาจมีพื้นเพต่างกันตามถิ่นกำเนิดของบรรพบุรุษ อาจมีเชิ้อผสมจากการลี้ภัยการเมือง, สงคราม หรือแม้แต่การเป็นเมืองขึ้นในอดีต
การเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังของ เอเธอริดจ์ นั้นมีจุดเริ่มต้นตั้งแต่อายุ 9 ขวบ โดยตำแหน่งแรกของเขาเป็นปีกซ้ายและกองหน้าให้กับโรงเรียน แฮมป์เชียร์ รวมไปถึงสโมสรระดับท้องถิ่นอย่าง อัลเดอร์ช็อต แอนด์ ฟาร์นโบโร่ห์ แต่จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เขาหันมาเล่นเป็นผู้รักษาประตู เป็นแมตช์หนึ่งที่ผู้เล่นในตำแหน่งนายทวารเกิดอาการบาดเจ็บ แล้วเกิดไม่มีตัวเปลี่ยนในตำแหน่งดังกล่าว เขาจึงอาสาเฝ้าเสาให้แทนในเกมนั้น
หลังจากนั้นเส้นทางการค้าแข้งของ เอเธอริดจ์ ก็พุ่งทะยานไปสู่ระดับสูง เมื่อคัดเลือกผ่านเข้าไปเป็นสมาชิกในอคาเดมี่ชื่อดังแห่งกรุงลอนดอนอย่าง ค็อบแฮม ของสโมสรยักษ์ใหญ่อย่าง เชลซี ตั้งแต่ปี 2003 ในระดับรุ่นอายุต่ำกว่า 14 ปี ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ ฟูแล่ม ในปี 2006
เขาได้ลงเล่นในทีมสำรองเป็นส่วนใหญ่ ผสมกับการถูกปล่อยออกไปเก็บประสบการณ์ด้วยสัญญายืมตัวกับทีมในลีกล่าง อาทิ เลทเทอร์เฮด, ชาร์ลตัน แอธเลติก, บริสตอล โรเวอร์ส และ ครูว์ อเล็กซานดรา ซึ่งจุดเปลี่ยนของเส้นทางการค้าแข้งของเขาที่ไปไม่สุด นั้นอาจเป็นเพราะอาการบาดเจ็บที่เอ็นหัวเข่าทั้งสองข้าง ที่หนักจนต้องผ่าตัดหนักตั้งแต่ปี 2009 แม้ว่าจะเคยถูกคาดหมายว่าจะเป็นประตูมือดีให้กับ ทีมชาติอังกฤษ ในอนาคต เนื่องจากเคยติดทัพ สิงโตคำราม ยู-16 มาแล้วก็ตาม
ตลอดระยะเวลาที่ เอเธอริดจ์ มีสัญญาอยู่กับ ฟูแล่ม ถึงปี 2014 ได้ลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ไปเพียง 1 นัด ในศึก ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ก่อนจะย้ายไปเล่นแบบไม่มีค่าตัวให้กับ ชาร์ลตัน แอธเลติกส์ และ วอลซอลล์ จนถึงปี 2017 ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งในชีวิตการค้าแข้งของเขา
การมาอยู่กับ คาร์ดิฟฟ์ ปรากฎว่า เอเธอริดจ์ ถูกไว้เนื้อเชื่อใจให้เป็นมือหนึ่ง ภายใต้การทำทีมของกุนซือปากตะไกรอย่าง นีล วอร์น็อค ได้ลงเฝ้าเสาในเกมลีกไปถึง 45 นัด เสียประตูไปเพียง 37 ลูก ซึ่งเกมรับของทีมและความเหนียวหนึบของ เอเธอริดจ์ เป็นปัจจัยสำคัญที่พาทีมเลื่อนชั้นหลังคว้ารองแชมป์ในศึก เดอะ แชมเปี้ยนชิพ มาครองได้สำเร็จ สามารถเลื่อนชั้นสู่ พรีเมียร์ลีก แบบอัตโนมัติ
ฤดูกาล 2017/18 เอเธอริดจ์ เก็บคลีนชีทไปได้มากถึง 19 นัด กล่าวหลังทีมได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดเอาไว้ว่า
“ด้วยความสัตย์จริงมันเป็นความรู้สึกที่ปลื้มปริ่มอย่างมาก ทีมของผมเล่นได้แข็งแกร่งตลอดทั้งซีซั่น แล้วสามารถจบฤดูกาลในแบบที่ควรจะเป็น สิ่งที่เราร่วมกันทำมานั้นมหัศจรรย์สุดๆ”
“มันคงไม่มีคำอธิบายอะไรได้มากมายจริงๆ มันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ เป็นซีซั่นที่มหัศจรรย์และผมมีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก ผมมีความสุขอย่างมากที่ก้าวผ่านภารกิจดังกล่าวมาได้ มันเป็นเหมือนสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้”
กว่าจะมาถึงจุดนี้ใช่ว่า เอเธอริดจ์ ที่เป็นนักเตะลูกครึ่งไม่ใช่ชาวอังกฤษแท้ๆ จะผ่านด่านทดสอบต่างๆ มาได้โดยง่าย แถมระหว่างทางที่เขาไม่สามารถก้าวไปถึงระดับทีมชาติชุดใหญ่ของทัพ สิงโตคำราม จึงเกิดการตัดสินใจครั้งสำคัญ ย้ายไปเล่นให้กับ ทีมชาติฟิลิปปินส์ ส่งผลให้เขากลายเป็นนักเตะจากย่าน ‘อาเซียน’ คนแรกที่ได้ลงพิสูจน์ตัวเองและมีโอกาสสร้างชื่อบนลีกสูงสุดแดนผู้ดี
แต่ใช่ว่าแฟนบอลอังกฤษที่มีความแสบสันในการเชียร์แบบถึงพริกถึงขิงจะยอมรับฝีมือของ เอเธอริดจ์ โดยมองผ่านเรื่องเชื้อชาติที่แตกต่างไปได้ ปัญหาการ ‘เหยียดผิว’ หรือ ‘เหยียดเชื้อชาติ’ คือ สิ่งที่เขาต้องเผชิญ ทั้งที่เขาไม่ควรต้องตกเป็น ‘แพะรับบาป’ เลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ไม่เคยถอดใจและต่อสู้กับเหตุการณ์แย่ๆ เหล่านั้นเสมอมา
โดยความตั้งใจสูงสุดของ เอเธอริดจ์ คือ การหวังเอาความรู้ความสามารถของเขาไปพัฒนาวงการฟุตบอลย่านอาเซียน ช่วยชาติฝั่งคุณแม่ของเขาลงแข่งขันในรายการระดับสูง แล้วถ้าเป็นไปได้ก็หวังที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการพาทีมก้าวไปสู่อีกระดับ ซึ่งตัวเขาเองก็เชื่อลึกๆ ว่า แข้งลูกครึ่งหลายต่อหลายคนก็มีเป้าหมายปลายทางแบบเดียวกัน
เหยียดไปผมใจสู้
แม้ว่าผลงานของ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ต้นสังกัดของ เอเธอริดจ์ บนเวที พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018/19 หลังเลื่อนชั้นขึ้นมาจะไม่เป็นไปดั่งใจหวัง แต่เขาลงเล่นทุกเกมในความคิดเชิงบวก ต่อให้สถานการณ์ย่ำแย่แค่ไหน ก็จะขอโฟกัสไปแบบเกมต่อเกม ไม่สนใจสถานการณ์ที่ทีมกำลังหนีตกชั้นอย่างยากลำบาก แล้วพยายามออกมาให้สัมภาษณ์อยู่เสมอให้มองภาพรวมใหญ่ที่เป็นแนวทางการทำทีมของสโมสร ที่พยามยามดิ้นรนอย่างดีที่สุดแล้ว
บทสรุปของ เอเธอริดจ์ ฤดูกาลนั้น ได้ลงสนามบนเวที พรีเมียร์ลีก ครบทุกเกม แถมยังเป็นแข้งจากอาเซียนคนแรกที่ได้รับโอกาสให้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ เขาเก็บบคลีนชีทไปได้มากถึง 10 นัด เสียประตูรวมไปทั้งหมด 69 ลูก ซึ่งนั่นก็ไม่เพียงพอต่อการช่วยให้ทีมรอดพ้นการตกชั้นได้สำเร็จ หลังจบในอันดับที่ 18 ของตาราง แล้วต้องไปเริ่มต้นกันใหม่บนเวที เดอะ แชมเปี้ยนชิพ อีกครั้ง
ซีซั่น 2019/20 เอเธอริดจ์ ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บและฟอร์มการเล่นที่ไม่สม่ำเสมอ แถมทีมยังมีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมจาก วอร์น็อค มาเป็น นีล แฮร์ริส (Neil Harris) ส่งผลให้เขาไม่ได้ลงสนามมากเท่าแต่ก่อน ซึ่งตลอดทั้งฤดูกาลนั้นได้ลงเฝ้าเสารวมทุกรายการไปเพียง 17 นัด น้อยกว่าสองฤดูกาลก่อนหน้านี้กว่าสองเท่าตัวเลยทีเดียว นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องย้ายไปอยู่กับ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ในปีต่อมา ด้วยการถูกขายออกไปด้วยราคา 2.2 ล้านยูโร
เอเธอริดจ์ ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถยึดมือหนึ่งของทีม ตราลูกโลก ได้สำเร็จ ได้ลงเฝ้าเสาไปถึง 43 นัดในเกมลีกล้วนๆ เสียประตูไป 52 ลูก และเก็บคลีนชีทได้ถึง 13 เกม ได้รับความไว้วางใจจากกุนซืออย่าง ไอตอร์ การันก้า (Aitor Karanka) เป็นอย่างดีเสมอมา แม้ว่าศักยภาพของทีมจะไปได้ไกลเพียงแค่จบในอันดับที่ 18 เอาตัดรอดจากการตกชั้นไปสู่ ลีก วัน ได้อย่างหวุดหวิด
หลังจากนั้นชีวิตการค้าแข้งของ เอเธอริดจ์ ก็เข้าสู่ช่วงขาลง เนื่องจากตัวของเขาดันโชคร้ายไปติดเชื้อ โควิด-19 มีอาการหนักจนถึงขั้นปางตาย ต้องเข้ารับการรักษาตัวเกินกว่า 6 สัปดาห์เลยทีเดียว โชคยังดีที่เขายังสามารถเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งนั้นมาได้ แล้วได้กลับมาลงเฝ้าเสาในช่วงท้ายฤดูกาล 2021/22 นับเฉพาะในเกมลีกได้ทั้งหมด 21 เกม เสียประตูไป 35 ลูก และเก็บคลีนชีทได้ 4 นัด
ซีซั่น 2022/23 เอเธอริดจ์ กลายเป็นตัวเลือกรองในการเฝ้าเสาของ จอห์น ยูชเทซ กุนซือใหม่ของ เบอร์มิงแฮม ได้รับความไว้วางใจให้ลงเฝ้าเสารวมทุกรายการไปแค่ 8 เกมเท่านั้น แถมยังฟอร์มไม่ดีเท่าไหร่นัก เสียประตูไปถึง 11 ลูก และเก็บคลีนชีทได้เพียงเกมเดียว แถมยังมีปัญหาหนักเข้ามารบกวนใจเพิ่มเติมให้เกิดความกังวลมากขึ้นไปอีก เมื่อเขาถูกแฟนบอลของทีมคู่แข่งเหยียดผิวระหว่างการแข่งขัน
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในเกม เอฟเอ คัพ ที่ทาง เบอร์มิงแฮม ต้องออกไปเยือน แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ที่สนาม อีวู้ด ปาร์ค ซึ่งทาง จอร์แดน เจมส์ ดาวเตะของ ตราลูกโลก ยิงตีเสมอ 2-2 แบบสุดดราม่าให้กับทีมเยือนได้ในช่วงท้ายเกม จนทำให้แฟนบอลเจ้าถิ่นน็อตหลุด
โดยทางผู้จัดการทีมอย่าง ยูชเทซ ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวเอาไว้ว่า
“นีล ถูกทางแฟนบอลแบล็คเบิร์นตะโกนเหยียดสีผิว หลังจากรู้สึกไม่สบอารมณ์ที่ทีมของเขาถูกตามตีเสมอ มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่น่าเกิดขึ้นในสังคมทุกวันนี้ แล้วต้องปราศจากสิ่งเหล่านี้ในโลกฟุตบอล พวกเราเสียใจอย่างมากที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น จากการเป็นสโมสรฟุตบอลและต้นสังกัดของนักเตะรายนี้ เราไม่สามารถให้อภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้และเราจะสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่”
“ผู้ตัดสินจะรายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วจะมีกระบวนการสืบสวนสอบสวนและมีบทลงโทษตามออกมาอย่างจริงจังในภายหลัง ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน เนื่องจากตัวนักเตะอย่าง นีล ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจพอสมควร จนเพื่อนร่วมทีมต้องไปอยู่รายล้อมตัวเขาจนรู้สึกดีขึ้น ก่อนจะพยายามพูดคุยกับเขาไปตลอดทางบนรถบัสของสโมสร”
สุดท้ายแล้วจากการให้ความร่วมมือของสโมสร แบล็คเบิร์น และเจ้าหน้าที่ตำรวจแลงคาสเชียร์ สามารถจับตัวคนก่อเหตุได้สำเร็จ ซึ่งเป็นแฟนบอลเยาวชนของทัพ กุหลาบไฟ วัยเพีนงแค่ 15 ปี โดยผู้ก่อเหตุจะถูกลงโทษตามกฎหมายคุ้มครองเยาวชน จากโทษฐานที่กระทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมในที่สาธารณะต่อไป
ต่อมาในฤดูกาล 2023/24 เบอร์มิงแฮม มีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้จัดการทีมคนใหม่อีกครั้งมาเป็น เวย์น รูนี่ย์ อดีตตำนานกองหน้าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่พกดีกรีดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของสโมสรติดตัวมาด้วย ซึ่งตั้งแต่เข้ามารับงาน รูนี่ย์ ก็ได้กล่าวถึงเป้าหมายของเขาไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องการให้ลูกทีมของเขาเล่นกันอย่างมีทีมเวิร์ค ร่วมกันสร้างวัฒนธรรมแห่งการสร้างชัยชนะไปด้วยกัน แล้วอยากให้แฟนบอล ตราลูกโลก ถ่อมตัวไว้ รู้จุดยืนของตัวเองและสโมสรว่าสามารถจะไปได้ไกลแค่ไหน
แน่นอนว่าเป็นอีกครั้งที่ทาง เอเธอริดจ์ ถูกมองข้ามจากผู้จัดการทีม แล้วได้ลงเฝ้าเสาให้กับทีมน้อยมากแค่ 5 เกมรวมทุกรายการ เสียประตูไปถึง 7 ลูก และเก็บคลีนชีทได้เพียงเกมเดียว แม้ว่าจะพยายามต่อสู้เพื่อพิสูจน์ตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อไม่ได้รับความไว้วางใจจากผู้จัดการทีมเช่นเดิม ประสบปัญหาระหว่างการค้าแข้งที่หนักหน่วง ไม่ได้รับสัญญาฉบับใหม่จากทาง เบอร์มิงแฮม ซิตี้ ทุกอย่างอาจกลายเป็นสาเหตุให้ เอเธอริดจ์ ต้องมองหาเส้นทางการผจญภัยใหม่อีกครั้ง
แล้วจากการที่เขาเป็นนักเตะอาเซียน การค้าแข้งในยุโรปสัญชาติจากถิ่นฐานย่านนี้อาจไม่ได้เป็นประโยชน์ใดๆ กับตัวเขา แถมยังอาจส่งผลลบต่อตัวของเขาให้ถูกดูถูกเหยียดหยาม แต่กลับลีกฟุตบอลในบางประเทศอย่างเช่น ไทยลีก สถานการณ์อาจพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะโควต้าอาเซียนที่มีดีกรีลงเล่นเกมระดับอาชีพในลีกที่มีการแข่งขันสูงอย่าง อังกฤษ กว่า 250 นัด และการได้ลงสนามบนเวที ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก ย่อมไม่ใช่ดาวเตะที่จะหามาเป็นขุมกำลังเสริมทัพของทีมได้ง่ายๆ
บทพิสูจน์ครั้งใหม่
ในวัย 34 ปีของ เอเธอริดจ์ พร้อมกับการพกดีกรีการค้าแข้งในอังกฤษมามากกว่า 250 นัด รวมไปถึงการติดธงทีมชาติชุดใหญ่ให้กับ ฟิลิปปินส์ มากถึง 78 นัด แถมยังสวมปลอกแขนเป็นกัปตันทีม ประสบการณ์และฝีมือของนายด่านรายนี้ น่าจะเข้ามาช่วยเติมประโยชน์ให้กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ต้นสังกัดใหม่ได้ไม่ยาก แถมยังเข้ามาถูกที่ถูกเวลา เมื่อทางมือหนึ่งคนเก่าอย่าง ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน นั้นเข้าสู่วัย 40 ปี ใกล้จะแขวนถุงมือเต็มทน ตัวแทนที่มีชื่อชั้นระดับนี้แฟนบอล เซาะกราว คงไม่มีใครมองว่าค้านสายตาเป็นแน่
แม้ว่าผลงานล่าสุดในเกมทีมชาติของ เอเธอริดจ์ จะไม่เข้าตาเท่าไหร่นัก เพราะทาง ฟิลิปปินส์ ที่เล่นในรังต่อหน้าแฟนบอลกว่า 10,000 คน นั้นถูกทาง ทีมชาติอิรัก บุกมาถล่มถึงถิ่นแบบขาดลอย 0-5 ในศึกฟุตบอลโลกรอบแบ่งกลุ่ม โซนเอเชีย แต่สุดท้ายแล้วกัปตันทีมอย่าง เอเธอริดจ์ ก็ยังคงแสดงสปิริตการเป็นกัปตันทีม กล้าออกมาเผชิญหน้ากับสื่อตรงๆ และยอมรับแบบแมนๆ ถึงผลงานอันน่าผิดหวัง
โดยทาง เอเธอริดจ์ ได้ออกมาเป็นตัวแทนให้สัมภาษณ์หลังเกมดังกล่าวเอาไว้ว่า
“ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับผมไม่น้อยที่มายืนอยู่ตรงนี้ เพราะผมไม่ชอบเลยที่ต้องออกมาขอโทษ แต่ในเวลาเดียวกันผมรู้ดีว่าในสถานการณ์แบบนี้มันจำเป็น ผมว่ามันควรเป็นหน้าที่ของโค้ชที่ออกมาวิจารณ์เกมด้วยตัวเองมากกว่า ซึ่งเกมนี้ต้องยอมรับว่าเราก่อความผิดพลาดสำคัญหลายครั้ง แล้วก็ถูกคู่แข่งลงโทษแบบที่เห็น”
“เรายังมีโอกาสอยู่ เรายังเหลือเกมให้เล่นอีกสองนัด เรารู้ดีว่าเราต้องเก็บหกแต้มเต็มเพื่อพลิกสถานการณ์ผ่านเข้ารอบต่อไป ซึ่งมันเป็นงานยากไม่น้อยเนื่องจากเป็นเกมเยือนทั้งหมด ในโลกของฟุตบอลคุณต้องข้ามผ่านเรื่องเหล่านี้ไปให้เร็วที่สุด เพราะเราไม่เหลือเวลาให้จมอยู่กับความพ่ายแพ้ที่ผ่านไปแล้ว เราต้องก้าวไปข้างหน้า เราหวังว่าจะมีการรวมตัวเข้าแคมป์ทีมชาติอีกทีในเดือนมิถุนายน เราต้องลืมสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดในเวลาเดียวกัน”
จากบทสัมภาษณ์ที่ผ่านมา เอเธอริดจ์ น่าจะเข้ามาช่วยเติมความแข็งแกร่งด้านจิตใจและความเป็นผู้นำให้กับทัพ ปราสาทสายฟ้า ยามต้องลงแข่งขันในรายการที่มีความกดดันสูงอย่าง เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ได้อย่างแน่นอน ซึ่งเรื่องของฝีไม้ลายมือคงไม่มีใครสงสัย เนื่องจากผลงานที่ผ่านมานั้นเป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีแล้ว
การเปิดเส้นทางการค้าแข้งในประเทศไทยเป็นครั้งแรกของ เอเธอริดจ์ กับสโมสรอย่าง บุรีรัมย์ คงไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว แต่ถ้ามองไปที่เหตุการณ์ทั้งหมดที่เขาฝ่าด่านมาได้ ทั้งการเป็นแข้งอาเซียนที่ได้เล่นบนเวที พรีเมียร์ลีก เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์ การต่อสู้กับคำหยามเหยียดหลังย้ายสัญชาติมาเล่นให้ทางฝั่งแม่ การยืนหยัดต่อสู้กับการเหยียดเชื้อชาติและสีผิว
รวมไปถึงการกล้าออกไปเป็นตัวแทนรองรับอารมณ์ของแฟนบอล อย่างน้อยทัพ ปราสาทสายฟ้า ก็สามารถการันตีได้ว่า พวกเขาได้เสริมทัพนักเตะที่มีใจเกินร้อย ที่พร้อมทุ่มเทให้กับสโมสรแบบเพื่อตอบแทนค่าจ้างอย่างคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ ส่วนผลงานในสนามก็เป็นเกณฑ์ตัดสินที่ต้องตัดเกรดกันตามจริงต่อไปในอนาคต
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : https://en.wikipedia.org/wiki/Neil_Etheridge
https://www.transfermarkt.com/neil-etheridge/
https://www.cardiffcityfc.co.uk/news/2018/may/etheridge-the-best-thing-in-the-world
https://x.com/SkyFootball/status/1713117447702872544