‘โช ชิโมจิ’ ดาวเตะซามูไรจอมล่าฝัน ที่การ์ตูน ‘กัปตันซึบาสะ’ พาไปไกลถึงบราซิล
หากจะนึกถึงนักเตะจากประเทศญี่ปุ่นสักคน ที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาค้าแข้งยัง ไทย ลีก ลีกฟุตบอลย่านอาเซียนที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก พร้อมมีดีกรีเป็นถึงอดีตผู้เล่นระดับ เจ ทู อยู่โยงในเมืองไทยมานับสิบปีจนกลายเป็น ‘ตำนาน’ ชื่อของ โช ชิโมจิ คงเป็นชื่อแรกๆ ที่แฟนบอลไทยนึกถึง
การพาต้นสังกัดอย่าง โปลิศ เทโร (บีอีซี เทโรศาสน) ครองแชมป์ลีกคัพ รวมไปถึงการมีส่วนช่วยพา เพื่อนตำรวจ คว้าแชมป์ ไทย ลีก สอง เป็นผลงานการันตีความสำเร็จของเขาได้เป็นอย่างดี แล้วทุกวันนี้ในวัย 38 ปี ก็ยังสวมหมายเลข 10 ค้าแข้งให้กับ สมุทรปราการ ซิตี้ ในลีกรอง สามารถอนุมานได้เลยว่า ฝีเท้าและประสบการณ์ของเขานั้นเป็นของแท้
นอกจากจะมีใจรักในกีฬาฟุตบอลเป็นทุน โช ยังเป็นนักเตะที่พร้อมร่วมโครงการส่งเสริมและพัฒนาสังคมในประเทศไทย เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ ที่มีความฝันในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ซึ่งล่าสุดเขาก็ได้เดินทางมาเป็นแขกผู้มีเกียรติในโครงการ Dream Stadium Season 2 ณ สนาม ดอนเมือง ปิ่นเจริญ 3 พร้อมกับแจกลายเซ็นต์ให้กับคนในชุมชนและร่วมเล่นฟุตบอลเกมพิเศษกับเด็กๆ
แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเส้นทางการค้าแข้งของ โช มีจุดเริ่มต้นเล็กๆ จากการ์ตูนฟุตบอลลือชื่ออย่าง ‘กัปตันซึบาสะ’ ที่พาตัวเขาเดินทางไปล่าฝันไกลถึงประเทศ บราซิล ชาติเจ้าโลกแห่งวงการลูกหนัง การ์ตูนเรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเตะแดนอาทิตย์อุทัยอย่างไร? การได้เห็นภาพเด็กๆ ลงเล่นฟุตบอลในโครงการ Dream Stadium ในมุมมองของ โช นั้นรู้สึกอย่างไรบ้าง? ติดตามไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
จากความฝันสู่ความจริง
โช เกิดในปี 1985 ซึ่งการเติบโตของเขา ย่อมต้องผ่านการดูสิ่งบันเทิงเริงใจอย่าง การ์ตูน (Manga) ไม่ว่าจะเป็นแบบหนังสือเล่มหรืออนิเมชั่นเคลื่อนไหว ซึ่งการมีกีฬาที่ชื่นชอบอย่างฟุตบอล คงไม่มีเรื่องใดที่จะจูงใจเขาได้มากกว่า ‘กัปตันซึบาสะ’ อีกแล้ว
โช ได้กล่าวถึงความคลั่งไคล้ของเขาต่อการ์ตูน กัปตันซึบาสะ เอาไว้ว่า
“ตั้งแต่ผมเริ่มเล่นฟุตบอลตอนเป็นเด็ก ผมติดตามดูการ์ตูนกัปตันซึบาสะทุกวัน นั่นเป็นการจุดประกายให้ตัวผมมีความฝันอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ในวัยเด็กผมพยายามเลียนแบบลูกยิงของ ซึบาสะ ไม่ว่าจะเป็นโอเวอร์เฮดคิก หรือ ไดรฟ์วิ่ง ชู้ต และพยายามฝึกซ้อมทุกวันเหมือนตัวเอกของเรื่อง”
เส้นทางการค้าแข้งของ โช เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น หลังจากเขาได้รับการคัดเลือกเป็นนักเตะเยาวชนในสโมสร โตเกียว เวอร์ดี้ ต่อเนื่องด้วยการเล่นฟุตบอลในระดับมหาวิทยาลัยกับ อาโอยามะ กาคุอิน แล้วด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่นของเขา ก็สามารถต่อยอดในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรแรกใน เจ ทู อย่าง ซางัน โทสุ ลงเล่นรวมไปถึง 42 นัด ยิงได้ 1 ประตู กับ 1 แอสซิสต์
แม้ว่าเส้นทางของ โช จะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาก็ยังกล้าที่จะทำตามความฝัน ด้วยการออกไปผจญภัยค้าแข้งในต่างประเทศ กับ ลูเกโน่ (ปารากวัย), ลิเนนเซ่ (บราซิล) และ อกีอา เนกรา (บราซิล) ซึ่งมันไม่ได้ง่ายเลยสำหรับนักเตะเอเชีย ที่ต้องไปเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ ต่อสู้เพื่อรายได้และชื่อเสียง ยังดินแดนที่ว่ากันว่าเป็นประเทศที่สร้างนักเตะระดับโลกมานับไม่ถ้วน
อย่างไรก็ตาม โช กล่าวว่าการกล้าออกไปเผชิญโชคนอกประเทศ เพราะได้รับแรงบันดาลใจจาก กัปตันซึบาสะ ที่พร้อมจะดวลฝีเท้ากับนักฟุตบอลต่างชาติแบบไม่มีกลัว เพื่อพาทีมของเขาประสบความสำเร็จ ตามที่กล่าวไว้ว่า
“จริงๆ แล้วผมเดินทางไปบราซิล เพื่อตามความฝันในการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เพราะว่าผมได้รับแรงบันดาลใจจากกัปตันซึบาสะ ที่เดินทางไปค้าแข้งในต่างแดนเพื่อตามความฝัน ผมอยากพิสูจน์ตัวเองในประเทศบราซิล นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงเลือกที่นั่น”
“การ์ตูนกัปตันซึบาสะ สอนผมในหลายเรื่องอย่างเช่น การเล่นฟุตบอลกับเพื่อนด้วยความสนุก”
ถึงแม้ช่วงเวลาการค้าแข้งของ โช ในประเทศบราซิล จะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แต่นั่นเป็นจุดริเริ่มให้เขามีความกล้าที่จะเดินออกจาก เซฟโซน ออกมาค้าแข้งในต่างประเทศ แล้วหมุดหมายต่อไปของเขาก็ยิ่งท้าทายเข้าไปใหญ่ เพราะเป็น ไทย ลีก ลีกฟุตบอลสูงสุดแดนสยาม
สู้ต่อเพื่อแชมป์
โช มาเมืองไทยแล้วเริ่มต้นทดสอบฝีเท้ากับสโมสร ชลบุรี เอฟซี แต่ปรากฎว่า ฉลามชล ในช่วงเวลานั้น ยังไม่ต้องการโควต้านักเตะต่างชาติตามแนวทางการบริหารทีม เขาจึงจำเป็นต้องแวะเวียนไปทดสอบฝีเท้ากับหลายสโมสร จนมาลงเอยในการเซ็นสัญญากับ บีอีซี เทโรศาสน ในเวลานั้น
แม้ว่าต้องเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ แต่ทาง โช รู้สึกชื่นชอบกับการใช้ชีวิตในประเทศไทย เนื่องจาก ค่าครองชีพ ถูกกว่าที่อื่นๆ มารยาทของนักเตะไทยที่ร่วมทีมด้วยดี มีการ ‘ไปลามาไหว้’ ให้ความเคารพนักเตะรุ่นพี่ พร้อมแฟนๆ ที่พร้อมให้การสนับสนุน คอยเชียร์ทีมรักอยู่เสมอ
เพื่อนร่วมทีมของ โช ในเวลานั้นถือว่าเป็นยุคทองของ เทโร มีสตาร์พดาวเด่นอย่าง ‘เมสซี่เจ’ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่เขามองแล้วว่า วันหนึ่งจะมีโอกาสก้าวไปค้าแข้งในศึก เจ ลีก แล้วในที่สุดก็เป็นความจริง ซึ่งสายสัมพันธ์ของรุ่นพี่รุ่น้องคู่นี้ ก็ยังคงดำเนินไปด้วยดีตราบมาจนถึงปัจจุบัน ขนาดช่วงเวลาที่ เจ อาศัยอยู่ที่ญี่ปุ่น โช ก็มีการแวะเวียนไปทักทายและให้กำลังใจติดขอบสนามซ้อมเลยด้วย
การคว้าแชมป์ ลีก คัพ ของ เทโร ในปี 2014 เป็นการประสบความสำเร็จครั้งแรกของ โช ในประเทศไทย ต่อมาเขาก็ย้ายไปผจญภัยกับ เพื่อนตำรวจ ที่พาทีมเป็นแชมป์ ไทย ลีก สอง, ชัยนาท, อุดรธานี และทีมล่าสุดอย่าง สมุทรปราการ ซิตี้
มีหลายช่วงที่ โช พักเบรกการค้าแข้ง เนื่องจากเขาคิดว่าเขาผ่านจุดสูงสุดในอาชีพไปแล้ว แต่การตัดสินใจกลับมาค้าแข้งกับ เขี้ยวสมุทร ความต้องการเพียงหนึ่งเดียวของเขา คือ การส่งผ่านประสบการณ์อันมีค่า และพยายามสอนให้คำแนะนำน้องๆ นักเตะ ให้พัฒนาตัวเองเพื่อการประสบความสำเร็จ
การมาเป็นแขกผู้มีเกียรติในโครงการ Dream Stadium เป็นความตั้งใจของ โช ที่ต้องการส่งต่อประสบการณ์ เป็นแรงบันดาลใจ และต้องการเห็นรอยยิ้มของเด็กๆ ตามที่เขาให้สัมภาษณ์ว่า
“สนามแห่งนี้นั้นยอดเยี่ยมมาก ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเด็กๆ ที่มีความฝันในการเป็นนักฟุตบอล คือ การได้เล่นในสนามที่ดีพร้อม พวกเขาสามารถเล่นฟุตบอลเพื่อทำความฝันให้เป็นจริง”
“สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเด็กๆ ที่มีความฝันอยากเป็นนักบอลอาชีพ ไม่ใช่เพียงการฝึกซ้อมให้หนักทุกวัน แต่พวกเขาต้องสนุกไปกับมันด้วย ถ้าวันหนึ่งพวกเขาทำตามความฝันได้จริง ต้องซ้อมหนักทุกวัน แล้วหลงลืมความสุขในการเล่นไปและไม่สนุกกับฟุตบอลอีกต่อไป มันเป็นเรื่องยากที่จะกู้คืนสิ่งเหล่านั้นกลับมาได้ เพื่อนๆ ของผมหลายคนที่เล่นได้อย่างยาวนาน เป็นเพราะพวกเขายังสนุกกับฟุตบอลอยู่ทั้งนั้น”
ตัวของ โช นั้นมีความสุขมากๆ กับบรรยากาศวันเปิดสนาม ดอนเมือง ปิ่นเจริญ 3 เพราะได้เห็นเด็กๆ หลายคนมีความตั้งใจในการเล่นฟุตบอล พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าเพราะสนุกกับการเล่นจริงๆ แล้วยังมีผู้ปกครองตามมาให้กำลังใจ พร้อมให้การช่วยเหลือและสนับสนุน ทุกอย่างเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเด็กๆ ที่จะทำตามความฝันให้เป็นจริงได้
นักเตะญี่ปุ่นระดับตำนาน ไทย ลีก อย่าง โช ให้คำมั่นสัญญาว่า เขาพร้อมที่จะสละเวลามาร่วมงานดีๆ แบบนี้ เพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคนที่มี ‘ฝัน’ และพร้อมส่งผ่านประสบการณ์ของเขาและให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์กับเหล่าเยาวชน เนื่องจากเขาอยากจะตอบแทนแฟนบอลชาวไทย ที่ให้การสนับสนุนเขาเป็นอย่างดีเสมอมา จนทำให้ทุกวันนี้เขายังคงค้าแข้งอยู่ที่นี่ได้
แต่นั่นเป็นเพียงแค่ ความฝันเล็กๆ ที่อาจจุดประกายความฝันใหญ่ที่สุดของคนทั้งชาติให้เป็นจริงได้ เพราะมีตัวอย่างแบบ ทีมชาติญี่ปุ่น ที่เคยทำให้เห็นกันมาแล้ว คือ การไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
จากเรื่องสมมติสู่ฝันที่เป็นจริง
การ์ตูนกัปตันซึบาสะ จากการรังสรรค์ของ อ.โยอิจิ ทาคาฮาชิ เป็นเรื่องราวสมมติของนักเตะที่มี ความฝัน อยากจะไปค้าแข้งในระดับสูง รวมไปถึงการพาชาติบ้านเกิดอย่าง ญี่ปุ่น ผ่านเข้าไปเล่นบนเวทีการชิงชัยที่สูงที่สุดของโลกลูกหนังอย่าง ‘ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย’ ซึ่ง ณ ตอนนั้นยังเป็นฝันที่ไกลเกินเอื้อมของทัพซามูไรบลู
อย่างไรก็ตาม กัปตันซึบาสะ ก็เป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจ และมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวงการฟุตบอลแดนอาทิตย์อุทัย ซึ่งทาง โช ที่เป็นคนญี่ปุ่นแท้ๆ ให้ข้อมูลเสริมเกี่ยวกับประเด็นนี้เอาไว้ว่า
“ทุกอย่างเป็นเรื่องจริงที่การ์ตูนเรื่อง กัปตันซึบาสะ มีผลในการพัฒนาวงกาารฟุตบอลในประเทศญี่ปุ่น เพราะตอนที่ผมเริ่มเล่น ทีมชาติญี่ปุ่น ไม่ใช่ทีมที่แข็งแกร่งมากนักในทวีปเอเชีย พวกเราไม่เคยผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาก่อน แล้วก็เป็น กัปตันซึบาสะ ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับพวกเราในการทำความฝันให่้เป็นจริง”
“ผู้เล่นทีมชาติญี่ปุ่นหลายคน ดูการ์ตูนกัปตันซึบาสะ ตอนที่พวกเขาเป็นเด็ก แล้วทำให้เกิดภาพความฝันแบบเดียวกัน คือ การเป็นนักฟุตบอลอาชีพและสามารถพา ทีมชาติญี่ปุ่น ไปเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ได้ กัปตันซึบาสะ เป็นสิ่งสำคัญมากในการขับเคลื่อนวงการลูกหนังในญี่ปุ่น จนทำให้เราก้าวมาถึงจุดนี้ได้ในตอนนี้”
ลายเส้นแบบถูกลิขสิทธิ์จากเรื่อง กัปตันซึบาสะ ได้ถูกนำมาบูรณะสนามฟุตบอลในพื้นที่ชุมชนหลายแห่ง ซึ่งโครงการนี้มีจุดมุ่งหมายในการสร้าง ‘ความฝัน’ ให้กับเด็กๆ พร้อมสนับสนุนให้พวกเขามีเวทีในการแสดงฝีเท้า ที่อตนนี้อาจเป็นเพียงประกายเล็กๆ ให้กับวงการฟุตบอลไทย แต่อย่างน้อยสนามต่างๆ ก็ได้ถูกนำมาใช้งานจริง แล้วก็กลายเป็นพื้นที่สาธารณะประโยชน์ให้กับชุมชนต่างๆ
ไม่แน่ว่าวันหนึ่ง สนามแห่งฝัน ทั้งหมดนี้ อาจจะเป็นจุดกำเนิดของนักเตะพรสวรรค์ทีมชาติไทย ซึ่งอาจเป็นกำลังสำคัญในการพาทัพ ‘ช้างศึก’ เดินตามรอยญี่ปุ่น ในการทำตามความฝันของคนทั้งชาติให้เป็นจริง ในการโชว์ฝีเท้าบนเวที ฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ก็้เป็นได้ ซึ่งหากมีวันนั้นผู้มีส่วนร่วมทุกคนในโครงการนี้ คงจะมีแรงใจในการสร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับสังคมในวงการอื่นๆ ต่อไป
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
https://www.youtube.com/watch?v=QTkGsKZUIPo&t=419s
การสัมภาษณ์พิเศษ
ข่าวและบทความล่าสุด