Outside In : ‘จอฟฟรี พรหมมายนต์’ แข้งสายเลือดไทยคนแรกใน UCL ที่เคยเป็นเพื่อนร่วมทีม ‘โรนัลโด้’

Outside In : ‘จอฟฟรี พรหมมายนต์’ แข้งสายเลือดไทยคนแรกใน UCL ที่เคยเป็นเพื่อนร่วมทีม ‘โรนัลโด้’
มฤคย์ ตันนิยม

การไปค้าแข้งในยุโรป ถือเป็นหนึ่งในความฝันของนักเตะเอเชีย ทว่า ความเป็นจริงมันไม่ง่าย โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ 1990s ที่ผู้เล่นจากทวีปนี้ เป็นเพียงแข้งนอกสายตา

อย่างไรก็ดี ในช่วงเวลานั้น กลับมีนักเตะสายเลือดไทย ที่ได้ไปเล่นในยุโรป ในทีมเดียวกับ โรนัลโด้ กองหน้าระดับตำนานของบราซิล แถมยังได้ลงเล่นในศึกชิงแชมป์สโมสรเอเชียถ้วยใหญ่อย่าง ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก

จอฟฟรี พรหมมายนต์ คือชื่อของเขา เขาคือใคร และมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? ติดตามเรื่องราวไปพร้อมกับ Outside In ซีรีส์แข้งสายเลือดไทยในมุมมองสื่อนอกไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง ได้ที่นี่

เพื่อนร่วมทีม R9

จุดเริ่มต้นอาจจะต้องย้อนกลับไปเมื่อกว่า 50 ปีก่อน ที่อุดรธานี จังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพสหรัฐอเมริกา ในช่วงสงครามเวียดนาม ในปี 1971 หญิงชาวไทยได้ให้กำเนิดเด็กชาย ที่มีพ่อเป็นทหารผิวดำชาวอเมริกัน เด็กน้อยคนนั้นมีชื่อว่า “จอฟฟรี พรหมมายนต์”

เขาควรเป็นเด็กที่มีครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่กลับต้องเผชิญชะตากรรมไม่ต่างจากเด็กที่มีพ่อเป็นทหารอเมริกันในช่วงเวลานั้น เพราะเมื่อสงครามกำลังจะจบลง พ่อของเขาก็ถูกเรียกตัวกลับบ้านเกิด และขาดการติดต่อไป

“พ่อที่แท้จริงของผมออกจากไทยไปตั้งแต่ผมอายุ 8 เดือน และเราไม่เคยเจอกันอีกเลย เขาไปประจำการในฐานะทหารอเมริกัน แต่ก็ต้องกลับไปเมื่อถึงจุดหนึ่ง เขาสัญญาว่าเขาจะมารับเรา แต่เราก็ไม่ได้ยินข่าวคราวเขาอีกเลยในอีกหลายปีต่อจากนั้น” จอฟฟรี ย้อนความหลังกับ Vice

เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งจอฟฟรีอายุ 8 ขวบ แม่ของเขาก็พบรักใหม่ และตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน ก่อนที่เธอและลูกชาย จะย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่เนเธอร์แลนด์ ที่ทำให้ จอฟฟรี ได้เข้าสู่วงการฟุตบอลอย่างจริงจัง

“ท้ายที่สุดแม่ผมก็ต้องเดินไปข้างหน้าและพบกับแฟนใหม่ เรามาใช้ชีวิตอยู่กับเขาที่เมืองไอนด์โฮเฟน สถานที่ที่ผมเริ่มเล่นฟุตบอลกับสโมสรสมัครเล่น จนกระทั่งแมวมองของพีเอสวีมาเจอผมตอนอายุ 11 ปี” จอฟฟรี กล่าวต่อ

Photo : bd.nl

จอฟฟรี ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมให้กับเยาวชนพีเอสวี ไอนด์โฮเฟน จนสามารถก้าวขึ้นไปติดทีมเยาวชนของเนเธอร์แลนด์ในชุด U17 และ U19 ก่อนที่ในปี 1990 เขาจะได้รับสัญญาอาชีพฉบับแรกกับ PSV

แม้ว่าในช่วงแรกแข้งสายเลือดไทยอาจจะต้องเจอกับความยากลำบาก หลังไม่ค่อยถูกส่งลงสนามมากนัก แถมยังถูกปล่อยให้ เอฟซี ไอนด์โฮเฟน และสปาตาร์ ร็อตเธอร์ดัม ยืมตัวไปใช้งาน แต่ในฤดูกาล 1994-1995 ซึ่งปีที่ โรนัลโด้ ดาวยิงชาวบราซิลย้ายมาร่วมทัพ เขาก็ยึดตำแหน่งแบ็คขวาของทีมครองได้ทันที

จอฟฟรี ลงเล่นไป 32 เกม จาก34 นัดในลีก โดยส่วนใหญ่อยู่ในเกมครบ 90 นาที ช่วยให้ ไอนด์โฮเฟน จบในอันดับ 3 ของตาราง คว้าสิทธิ์ผ่านไปเล่นในยูฟ่า คัพ เป็นฤดูกาลที่ 3 ติดต่อกัน

ทำให้ซีซั่นต่อมา เขามีโอกาสได้ลงเล่นในยูฟ่าคัพถึง 2 เกม แต่ก็ทำได้แค่นั้น เนื่องจาก ไอนด์โฮเฟน เข้าไปได้แค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย เมื่อต้องจอดป้ายด้วยน้ำมือของ เวเดอร์ เบรเมน

อย่างไรก็ดี นั่นไม่ใช่เกียรติยศสูงสุดของเขา

แข้งไทยคนแรกใน UCL

หลังจากยึดตำแหน่งตัวจริงมาครอง ดูเหมือนวังวนเดิมจะกลับมาหลอกหลอน จอฟฟรี อีกครั้งในฤดูกาล 1995/1996 เมื่อเขาแทบไม่ได้รับโอกาสภายใต้การทำทีมของ ดิค อัคโวคาร์ต และได้ลงเล่นไปเพียงแค่ 6 เกมในครึ่งซีซั่นแรก

ก่อนที่ฟางเส้นสุดท้ายจะขาดลง เมื่อขึ้นปี 1996 หลัง พีเอสวี ดึงตัว ยาป สตัม แนวรับดาวรุ่งจาก วิลเลียม ทเว มาร่วมทัพ และทำให้ จอฟฟรี ต้องย้ายสลับขั้วออกไป

อย่างไรก็ดี มันคือจุดเปลี่ยนสำคัญของ จอฟฟรี เมื่อหลังจากปรับตัวไม่นาน เขาก็ยึดตำแหน่งแบ็คขวาของทีมได้ทันที และลงเล่นไปถึง 11 นัดในครึ่งฤดูกาลหลัง

อย่างไรก็ดี นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อหลังจากนั้น จอฟฟรี ก็ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของ วิลเลียม ทเว และทำสถิติลงเล่นให้ทีมไปถึง 147 นัดในทุกรายการ ตลอด 5 ซีซั่นที่อยู่ที่นั่น รวมทั้งเคยยิงประตูใส่ เจอร์ซี ดูเด็ค มาแล้วในเกมพบ เฟเยนูร์ด เมื่อปี 2000

นอกจากนี้ อีกหนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือฤดูกาล 1998/1999 ที่เขาลงเล่นให้ทีมเกือบทุกนัด หากไม่ติดโทษแบน และช่วยให้ วิลเลียม ทเว จบในตำแหน่งรองแชมป์ของลีก พร้อมได้สิทธิ์ผ่านไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เป็นครั้งแรกของสโมสร

แม้ว่าผลงานใน UCL วิลเลียม ทเว อาจจะไม่สู้ดีนัก หลังต้องตกรอบแบ่งกลุ่ม โดยเก็บได้เพียงแค่ 2 คะแนน แต่ จอฟฟรี ก็ได้ลงสนามไปถึง 5 จาก 6 เกม ที่ทำให้เขากลายเป็นแข้งสายเลือดไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่ได้ลงเล่นในฟุตบอลถ้วยใหญ่สโมสรยุโรป

“นั่นคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตนักเตะของผม ผมได้ลงเล่นในแชมเปียนส์ลีก ที่ทุกคนต่างฝันถึง นั่นคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับสโมสร” จอฟฟรี กล่าวกับหนังสือพิมพ์ Eindhovens Dagblad

Photo : BD.nl

ผลงานดังกล่าว ทำให้ทีมชาติไทยในยุคดรีมทีม อยากจะเรียกเขามาติดทีมชาติ ทว่าเขาต้องปฏิเสธไปเนื่องจากกฎตอนนั้นไม่อนุญาต แม้จะมีข่าวลือว่าเขาไม่ยอมยกเลิกสัญญามารับเงินเดือนที่ไทยเพื่อเก็บตัวกับชุดดรีมทีมก็ตาม

“ผมไม่เคยไปเล่นให้ทีมชาติไทย มันทำไม่ได้เพราะว่าผมเคยเล่นในเกมอย่างเป็นทางการให้ทีมเยาวชนเนเธอร์แลนด์แล้ว” จอฟฟรีอธิบายกับ Vice

“ย้อนกลับไปตอนนั้น กฎมันต่างออกไป คุณไม่สามารถเล่นให้ทีมชาติอื่นได้อีก มันโหดร้ายเกินไป”

“ผมได้รับการติดต่อจากสมาคมฟุตบอลทีมชาติไทยมาตั้งแต่ตอนที่เล่นให้ วิลเลียม ทเว และผมก็อยากไปเล่นให้กับชาติบ้านเกิด โดยเฉพาะเมื่อมองความเป็นจริงว่าผมไม่น่าจะได้เล่นให้กับทีมชาติเนเธอร์แลนด์ได้อีก”

อย่างไรก็ดี สื่อต่างชาติกลับไม่ได้จดจำ จอฟฟรี ในฐานะนี้

ชายที่ตามหาพ่อ

จอฟฟรี อยู่ค้าแข้งกับ วิลเลียม ทเว อยู่ 6 ฤดูกาลเต็ม ก่อนจะไปใช้ชีวิตในช่วงท้ายอาชีพ กับ เอฟซี ไอนด์โฮเฟน ในลีกรอง แต่คนที่นั่นกลับรู้จักเขาในฐานะ “นักฟุตบอลผู้แข็งแกร่งแห่งรายการสปูลูส์”  (Spoorloos)

มันคือรายการที่ช่วยตามหาคนที่ไม่ได้เจอกันมานานหลายปีให้มาพบกันอีกครั้ง คล้ายกับรายการวันนี้ที่รอคอยทางช่อง MCOT HD และ จอฟฟรี ก็มีคนหนึ่งที่เขาพยายามตามหา นั่นคือพ่อ ทหารอเมริกันที่ทิ้งเขากับแม่ไป ตอนที่เขายังจำความไม่ได้

“ผมไม่อยากพลาดมัน ผมคิดว่าผมมองต่างไปจากคนดัตช์ทั่วไป ผมสงสัยว่ามันจะช่วยผมด้วยหรือไม่” จอฟฟรีกล่าวกับ Trouw

“คุณอยากจะรู้ว่าคุณมาจากไหน เขายิ้มยังไง ดูเป็นแบบไหน หรือพูดประมาณไหน มันเป็นแค่สิ่งเล็กน้อย แต่ผมก็ยังคงคิดเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ ก่อนจะเขียนจดหมายไปหารายการ”

“หลายปีที่ผมมีสิ่งอื่นอยู่ในใจ แต่เมื่อคุณแก่ขึ้น คุณจะเปลี่ยน คุณเริ่มเห็นความสำคัญของบางสิ่ง จากครอบครัวของคุณ เพื่อนของคุณ คุณจะเข้าใกล้พรมแดนนั้นมากขึ้น ตอนตัดสินใจ คุณจะเติบโตไปทางนั้น ก้าวที่ดูเหมือนจะน่ากลัวและใหญ่มาก จะเห็นว่ามันง่ายขึ้น ง่ายขึ้นมาก”

Photo : Eindhovens Dagblad

หลังจากจดหมายถูกส่งไปไม่นาน รายการก็ตอบรับคำของเขา ก่อนที่ในปี 1999 จอฟฟรี จะสมหวัง เมื่อ สปูลูส์ พาพ่อของเขามาเซอร์ไพรส์ถึงในสนามหลังเกมที่ วิลเลียม ทเว คว้าชัยเหนือ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม

“เขาอยู่ที่นั่น มันไม่ต่างจากรูปถ่ายเลย แล้วคุณจะพบว่าคุณกำลังเผชิญหน้ากับชายที่คุณอยากเจอมาตลอด คนที่คุณนึกถึงบ่อยๆ คนที่คุณมีคำถามมากมายที่อยากถาม”

“ผมเอาเสื้อวิลเลียม ทเว ที่ผมใส่ลงเล่นนัดแรกในเกมยุโรปเมื่อปีที่แล้วให้พ่อไป มันเป็นเหตุการณ์สำคัญ แต่แน่นอนว่ามันไม่สำคัญเลย เมื่อเทียบกับการได้เจอกับพ่อเป็นครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกที่มหัศจรรย์ ที่ได้เห็นว่าเสื้อแดง ขาว และน้ำเงิน แขวนอยู่ที่บ้านของเขา”

หลังรายการออนแอร์ออกไป เรื่องราวของเขาโด่งดังไปทั่วเนเธอร์แลนด์ และกลายเป็นที่รู้จักในฐานะนักฟุตบอลที่ตามหาพ่อผ่านรายการโทรทัศน์ มันกลายเป็นสตอรีสุดสะเทือนใจในเวลานั้น

Photo : Eindhovens Dagblad

“เขาคือชายที่แข็งแกร่ง ในโลกของลูกผู้ชาย จอฟฟรี พรหมมายนต์ นักเตะอาชีพของ วิลเลียม ทเว ได้อยู่บนทีวีในวันเสาร์นี้” Trouw อธิบายในเว็บไซต์ในปี 1999

“ไม่ใช่สตูดิโอกีฬา แต่เป็นรายการเรียกน้ำตา Spoorloos ขอบคุณรายการที่ทำให้เขาพบกับพ่ออีกครั้ง”

ทว่า ในอีกไม่กี่ปีต่อมา เขากลับเจอกลับเรื่องคาดไม่ถึง

ชีวิตที่พลิกผัน

หลังเป็นที่โด่งดังไปทั่วประเทศ ในปี 2004 จอฟฟรี ก็ถูกพูดถึงบนหน้าสื่ออีกครั้ง เมื่อเขาตกเป็นผู้ต้องหาในคดีรับฟอกเงินและค้ายาเสพติด ที่แข้งสายเลือดไทยบอกว่า มันคือ “ความมืดดำที่สุดในชีวิต”

ในตอนนั้น เขายังเป็นผู้เล่นของ เอฟซี ไอนด์โฮเฟน และคบอยู่กับหญิงคนหนึ่ง ก่อนที่แฟนของเขาคนนั้น จะทำให้เขาต้องติดอยู่ร่างแหของอาชญากรรม โดยที่ จอฟฟรี ยืนยันว่าเขาไม่ได้มีส่วนรู้เห็นแม้แต่น้อย

Photo : Eindhovens Dagblad

“มันคือหน้าของชีวิตที่มืดมิด หลักๆคือ ผมไม่รู้เรื่องจริงๆ ตอนนั้นผมมีแฟนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ผิด และผมก็หลงไปกับสิ่งนั้น วันหนึ่งเธอขอให้ผมไปแลกเงิน 30,000 ดอลลาร์ที่ไปรษณีย์ในเมืองเบรดา ผมไม่ได้ถามอะไร ผมแลกเงินเป็นยูโรแล้วเอาให้เธอ” จอฟฟรี ย้อนความหลังกับ Vice

“นั่นเป็นเรื่องที่โง่เง่าสำหรับผม มันคือเงินยาเสพติดที่ผมเอาไปฟอกด้วยวิธีนั้น ผมถูกจับในปี 2004 ศาลสงสัยว่าผมค้ายาอีก”

“ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่อง แต่ศาลที่เบรดามองต่างออกไป พวกเขามองว่าผมคือปลาตัวใหญ่ในโลกอาชญากรรม ที่บอกว่าผมได้โอนเงินหลายล้านยูโรผ่านเกาะเคย์แมน”

“ผมถูกขังที่เรือนจำความปลอดภัยระดับสูงที่ วูฮ์ท ผมนั่งอยู่ที่นั่น ท่ามกลางคนติดยา ฆาตกร และชายที่ทำสิ่งเลวร้ายกับเด็กๆ วิลเลียม โฮลลีดเดอร์ (นักโทษคดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่เจ้าของไฮน์เนเก้น) นั่งอยู่ห่างจากผมราว 200 เมตร มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้าย”

เขาต้องอยู่ในเรือนจำถึง 3 เดือน ก่อนที่จะถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ และมันก็กลายเป็นมูลเหตุที่ทำให้เขาเลิกเล่น แม้ว่า ไอนด์โฮเฟน จะยอมรับเขากลับไปร่วมทีมอีกครั้งก็ตาม

“ผมอุทธรณ์และโชคดีที่ศาลเดนบอสช์ให้ผมพ้นผิดหลังผ่านไป 3 เดือน ผมได้โน้ตจากที่วูฮ์ท บอกว่าผมออกไปได้ นั่นคือโน้ตที่สวยงามที่สุดในชีวิตผม” จอฟฟรีกล่าวต่อ

“ผมเล่นให้ เอฟซี ไอนด์โฮเฟน และได้รับอนุญาตให้กลับมาทันทีในเดือนนั้น ผมคิดว่าทุกอย่างคงเปลี่ยนไป หากผมไม่พ้นผิดในฐานะพ่อค้ายา แต่ความสนุกมันกลับหายไปหมดแล้ว”

“กองเชียร์ตะโกนว่าผมด้วยคำพูดที่น่ารำคาญว่า ‘นักฟุตบอลผู้มีมลทิน’ ผมไม่ชอบเลย โดยเฉพาะวันที่ลูกสาวมาดูเกม เธอจะได้ยินพวกเขาตะโกนว่า ‘พรหมมายนต์ เจ้าพ่อค้ายา’”

อันที่จริงตอนนั้น เขามีอีกงานหนึ่งก็คือพนักงานบริษัทรถเช่า ทำให้เขาตัดสินใจอำลาวงการฟุตบอลอาชีพในปี 2005 เพื่อมามุ่งมั่นกับงานนี้ ไปพร้อมกับการเป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมให้กับ บลอว์ กีลล์ 83 ทีมในลีกล่างของเนเธอร์แลนด์

7 ปีในญี่ปุ่นของ ชนาธิป บอกอะไรกับวลี ”บอลไทยไปบอลโลก” | Think Curve - คิดไซด์โค้ง
ชนาธิป สรงกระสิทธ์ สตาร์เบอร์ 1 ของวงการฟุตบอลไทยจะกลับมาค้าแข้งในศึกไทยลีกอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ 7 ปีที่ญี่ปุ่นของชนาธิป ได้ร้อยเรียงความหมายบางอย่างซ่อนอยู่มากมาย ถ้าเราฝันจะไปฟุตบอลโลกเราสามารถเรียนรู้ประสบการณ์ในเจลีกของชนาธิปได้... ในแต่ละตอนของ ชนาธิป บอกอะไรกับเราบ้าง ? จุ

“อีกปัจจัยที่ทำให้ผมเลิกเล่นคือผมกำลังสนุกกับงานที่บริษัทเช่ารถ ผมชอบขับรถและสามารถทำงานฟูลไทม์ ก่อนหน้านั้นผมเคยทำงานพาร์ทไทม์ในลีกกึ่งอาชีพ” จอฟฟรี อธิบาย

“ผมยังสามารถเล่นในจูปิแอร์ลีกในอีก 2 ปี แต่ผมอายุ 34 ปีแล้ว และมองว่ามันเป็นงานที่มั่นคง ผมอยากเล่นฟุตบอลต่อนะ กับทีมสมัครเล่น แต่การหาสโมสรไม่ใช่เรื่องง่าย”

“ผมจึงแฮปปี้มากที่สุดท้ายได้ลงเอยกับ บลอว์ กีลล์ 83 ที่เมืองเวเกล ผ่านการแนะนำของอดีตเพื่อนร่วมทีมผมที่ พีเอสวี ผมมีช่วงเวลาที่ดีทั้งในลีกสูงสุดและดิวิชั่น 1”

ฟุตบอลแค่ความสนุก

ปัจจุบัน จอฟฟรี ในวัย 50 ยังทำงานอยู่ในบริษัทรถยนต์ ซึ่งเป็นบริษัทเดิมที่เขาทำตอนอายุ 34 ปี ไปพร้อมกับเล่นฟุตบอลให้กับทีมนอกลีก รวมถึงเป็นโค้ชทีมสมัครเล่นของพีเอสวี แต่การเป็นโค้ชอาชีพ ไม่ได้อยู่ในความคิดของเขาเลย

“ผมทำงานอยู่ในบริษัทรถยนต์ที่ชื่อว่า Hertz มา 15 ปีแล้ว และผมก็สนุกกับที่นั่น ผมมาทำงานที่บริษัทนี้ผ่าน เอฟซี ไอนด์โฮเฟน ตอนอายุ 34 ปี ผมก็ได้ตำแหน่งประจำที่นี่แล้ว” จอฟฟรีกล่าวกับ Eindhovens Dagblad

“ผมอาจจะยังค้าแข้งต่อได้อีก 1-2 ปี แต่เลือกสิ่งนี้เพื่อความแน่นอน นอกจากนี้ผมยังเล่นฟุตบอลอยู่กับทีม เอฟซี เด เรเบลเลย และซ้อมกับทีมสมัครเล่นของพีเอสวี สัปดาห์ละครั้ง ผมไม่มีความทะเยอทะยานที่จะกลับไปสู่โลกฟุตบอลอีกแล้ว”

Photo : FC De Rebellen

สำหรับความสัมพันธ์กับประเทศไทย ยังคงติดต่อกับญาติที่นั่น และอยากจะไปเจอให้ได้สักครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ที่ยังโยงใยกับชาติบ้านเกิด แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้ถือสัญชาติไทยแล้วก็ตาม

“ผมก็ดีใจที่ได้ทำมัน (ตามหาพ่อ)  พ่อของผมเสียไปแล้วตอนนี้ ผมจึงรู้สึกดีใจที่ได้ติดต่อกัน ผมยังได้ติดต่อกับลูกพี่ลูกน้องของผมที่ไทย มันคงวิเศษที่วันหนึ่งผมหวังว่าจะได้ไปเยี่ยมพวกเขาอีกครั้ง” เขากล่าว

ดังนั้น หากจะให้คำนิยาม จอฟฟรี บางที “ชีวิตดั่งรถไฟเหาะ” อาจจะเป็นคำเปรียบเปรยที่ดีสุด จากการที่เขาต้องผ่านอะไรมาอย่างมากมาย และไม่มีอะไรที่ง่ายแม้แต่นิดเดียว

“ถ้ามีหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับฟุตบอล จอฟฟรี น่าจะเป็นคนที่เหมาะสม เขาผ่านทั้งการเป็นนักฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จ, สปูลูส์ และชีวิตธรรมดา” หนังสือพิมพ์ Eindhovens Dagblad อธิบาย

แหล่งอ้างอิง

https://www.ed.nl/2f-zuid-i/geoffrey-prommayon-gaat-bij-psv-av-voetballen~adc17a5e/

https://www.vice.com/nl/article/a3qkqk/psv-de-bajes-en-spoorloos-het-leven-van-geoffrey-prommayon

https://www.trouw.nl/nieuws/je-wilt-weten-hoe-hij-lacht-hoe-hij-praat~b0fbda1b/

https://www.bd.nl/willem-ii/willem-ii-44-debutanten-in-europa-ceesay-speelde-de-meeste-duels~a7d8298a/

https://www.transfermarkt.com/geoffrey-prommayon/leistungsdatendetails/spieler/20154

https://www.vvemst.nl/1/4665/fc-de-rebellen-vandaag-de-bekendmaking-van-de-10e-speler-van-fc-de-rebellen-die-het-tegen-onze-vv-emst-1-op-gaat-nemen-geoffrey-prommayon/

แชร์บทความนี้
ลีดส์ ยูไนเต็ด, ญี่ปุ่น, มังงะ
mask-bg
logo-black

SOCIAL MEDIA

สนใจโฆษณาติดต่อ