ประทุม ชูทอง : นักสู้มืออาชีพแห่งโลกบอลเดินสาย
ทุกครั้งที่มีการทำบทความเกี่ยวกับฟุตบอลเดินสาย แล้วได้รับเกียรติจากนักเตะ, โค้ช หรือ เจ้าของทีม หากจะมีการกล่าวถึงอดีตนักฟุตบอลชื่อดัง ที่ผันตัวมาอยู่บนโลกคู่ขนานของวงการลูกหนัง แต่ยังมีสภาพร่างกายฟิตสมบูรณ์ไม่ต่างจากนักเตะอาชีพ ชื่อแรกที่ทุกคนกล่าวถึงคือ น้อง-ประทุม ชูทอง แบบไม่ต้องใช้เวลาคิดนาน
สำหรับแฟนบอลไทยพันธุ์แท้ ที่เคยติดตามทั้งบอลลีกและทีมชาติย้อนกลับไปสักเกือบๆ 10 ปีก่อน คงจำได้เป็นอย่างดีว่า สไตล์การเล่นของ ประทุม คือ กองหลังที่เข้าบอลแบบถึงลูกถึงคน พร้อมบวกพร้อมปะทะกับแนวรุกฝั่งตรงข้ามแบบไม่มีกลัว จังหวะ 50/50 วัดกันไปว่า ใครดีใครได้ ถึงจะหนักแต่ทุกอย่างจบลงในเกม
ภาพลักษณ์ของเขาที่ติดตาแฟนบอล เลยกลายเป็นแนวรับพันธุ์ดุ ดูนิ่งๆ น่าเกรงขาม มีออร่าความดุดันแผ่ซ่านออกมาไม่น้อย แต่ภาพหลังงานมักจะออกมาตรงข้ามกัน เหมือนเป็นตัวโจ๊กประจำทีม คอยเรียกเสียงฮาให้กับเพื่อนๆ ได้มีรอยยิ้มเบาๆ ผ่อนคลายจากการซ้อมหรือเกมการแข่งขันอันแสนเคร่งเครียด
แนวรับชื่อดังผู้มีสองคาแรกเตอร์ที่แตกต่างกันในตัวคนเดียว มีสิ่งที่รักและโหยหาที่สุด คือ การเล่นฟุตบอล ที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่การประสบความสำเร็จให้ได้มากที่สุด ด้วยการทุ่มเทแรงกายแรงใจแบบเกินร้อย แต่พอเข้าช่วงปลายอาชีพกลับเลือกที่จะอำลาวงการที่เขาอยู่มานานเป็นสิบไปแบบไม่มีใครคาดคิด
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ น้อง เลือกหันหลังให้กับวงการฟุตบอลอาชีพที่เขาเคยศรัทธาคืออะไร? โลกใบใหม่อย่าง ฟุตบอลเดินสาย ที่เขาไปพบเจอนั้นมีอะไรทำให้เขาประทับใจบ้าง? เป้าหมายต่อไปของเขาตั้งธงไว้เช่นไร? ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับบทสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟจากทีมงาน Think Curve - คิดไซด์โค้ง
นักสู้ตัวจริงจากแดนใต้
พื้นเพของ ประทุม เป็นชาวจังหวัดระนองที่อยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย หากย้อนกลับไปในยุคที่เขาเป็นวัยรุ่น ฟุตบอล อาจเป็นกีฬาที่เด็กๆ ชอบเล่นกันก็จริง แต่ประตูสู่การเป็นนักเตะอาชีพ ใช่ว่าจะเปิดกว้างแบบทุกวันนี้
ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ ประทุม จะเล่าว่ากีฬาชนิดแรกที่เขาเล่นแบบเอาจริงเอาจัง คือ การชกมวย ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากคุณพ่อที่เป็นนักมวย มีการซ้อมเพื่อทำให้สภาพร่างกายแข็งแรงทนทาน มีความอึด ถึก ทน และเสริมเรื่องจิตใจที่ห้าวหาญ ไม่มีความหวาดกลัวยามต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้
แต่พอย่างเข้าสู่วัยรุ่นประมาณมัธยมศึกษาปีที่ 3-4 ก็หันมาเริ่มเล่นกีฬายอดฮิตอย่างฟุตบอล โดยเตะกับเพื่อนแถวๆ บ้าน เริ่มจากการแข่งขันเล็กๆ ระหว่างหมู่บ้าน หลังจากนั้นพอเข้าไปเรียนที่โรงเรียนในตัวเมือง ก็ผ่านการคัดเลือกเป็นตัวแทนไปแข่งระดับจังหวัด
น้อง เล่าว่าการจะเป็นนักฟุตบอลในยุคก่อน มันไม่ได้สะดวกสบายแบบทุกวันนี้ แถบที่เขาอาศัยอยู่นั้นไม่มีอคาเดมี่ฝึกสอน ไม่มีสโมสรให้เข้าคัดเลือก ความหวังเดียวที่จะได้โชว์ฝีเท้า คือ ทัวร์นาเมนต์ที่แวะเวียนมาจัดการแข่งขันตามโอกาส
“ทุกวันนี้ด้วยความสะดวกสบาย น้องๆ ทุกคนที่ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักฟุตบอล โอกาสที่จะทำตามความฝันนั้นไม่ยากเท่าเมื่อก่อน สมัยที่ผมเป็นนักบอลแรกๆ ต้องเดินทางไปเรียนไป-กลับระยะทางกว่า 50 กิโลเมตร ขากลับถ้าซ้อมบอลต้องโบกรถกลับบ้านทุกวัน”
“ขอแค่พวกน้องๆ ที่มีความต้องการจะเป็นนักบอลอาชีพ มีความกล้าที่จะก้าวออกมาหาเวทีโชว์ฝีเท้า ซึ่งทุกวันนี้มีให้เลือกมากมาย พวกเขาก็จะได้รู้ศักยภาพตัวเอง บางทีมองว่าเก่งแต่ไม่เคยเจอคนเก่งกว่า พอได้ดวลด้วยมันก็เกิดการพัฒนาต่อยอดไปได้อีก”
“ฟุตบอล มันไม่ทำร้ายใครหรอก คนเล่นก็ได้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง รู้ว่าตัวเรามีจุดบอดตรงไหน พอไปแข่งรายการต่างๆ ก็จะเก็บประสบการณ์ทำให้ตัวเองเก่งขึ้นไปได้อีก ถ้าแรกเริ่มคิดว่าตัวเองเก่งพอแล้วคือ จบ มันก็จะไม่มีการก้าวไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่”
รายการที่เปลี่ยนชะตาชีวิตของ ประทุม คือ ควิก จูเนียร์ ฟุตซอล จากความทรงจำของ น้อง น่าจะเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งเขาได้เป็นตัวแทนจังหวัดไปชิงแชมป์ภาคใต้ ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช พอได้แชมป์ก็ต้องเดินทางมาแข่งชิงแชมป์ประเทศที่กรุงเทพฯ โดยรายการนั้นเขาพาทีมจบอันดับที่ 4 แพ้จุดโทษในรอบรองชนะเลิศไปอย่างน่าเสียดาย
อย่างไรก็ตามผลงานของ ประทุม เรียกได้ว่าแจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัว เพราะเขาคว้ารางวัลดาวซัลโวรายการดังกล่าวมาเป็นรางวัลปลอบใจได้สำเร็จ จนได้รับการติดต่อจากโรงเรียนวัดสุทธิวราราม มอบทุนการศึกษาให้เรียนต่อฟรีจนจบชั้นมัธยมศึกษา
ตัวของ ประทุม มองว่าข้อเสนอดังกล่าวนั้นน่าสนใจ เพราะเขาสามารถช่วยแบ่งเบาเรื่องภาระค่าใช้จ่ายทางบ้านได้ เนื่องจากพ่อ-แม่ของเขาก็เป็นคนหาเช้ากินค่ำทั่วไป ขนาดตัวเขาจะเรียนหนังสือยังต้องกู้เงินมา ถ้ามีโอกาสดีขนาดนี้หยิบยื่นมาให้ คงไม่สามารถปล่อยผ่านไปเฉยๆ ได้ เลยตัดสินใจลองดูสักตั้ง
ศรัทธาในวงการที่เสื่อมถอย
หลังจากจบชั้นมัธยมศึกษา ประทุม ก็ได้ทุนเรียนฟรีกับ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต มีชื่ออยู่ในชุดเยาวชน ควีน คัพ รอต่อยอดเพื่อเล่นให้กับสโมสรกรุงไทย แต่มีปัญหาเกิดขึ้นระหว่างทางแผนการต่างๆ ต้องล่มกลางคัน โชคยังดีที่การแข่งขันรายการต่างๆ ในระดับมหาวิทยาลัย นั้นยังมีแมวมองเข้ามาส่องฟอร์มนักเตะอยู่บ้าง
แล้วก็เป็นทาง โอสถสภา M-150 ที่ติดต่อเข้ามาว่าสนใจจะเป็นนักเตะอาชีพไหม ถ้าสนใจสโมสรพร้อมรับเขาไปอยู่ด้วย ประทุม ที่ไม่เคยมองว่าการเตะฟุตบอลจะสามารถหาเงินแบบเป็นจริงเป็นจังได้มาก่อน ก็ตัดสินใจลงเอยง่ายๆ แบบไม่คิดอะไรมาก เพราะเรียนฟรี มีเงินเดือนจากสโมสร มันก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วในการจูงใจเขา ณ เวลานั้น
สำหรับคนที่ดำเนินชีวิตแบบสู้ด้วยลำแข้งตัวเองมาตลอดอย่าง ประทุม ไม่เคยคิดเรื่องการย้ายสโมสรมาก่อน แต่วันหนึ่งเขาได้รับการติดต่อจาก บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่มีประธานสโมสรอย่างคุณ เนวิน ชิดชอบ แล้วมีจังหวะที่ได้พูดคุยกันตัวต่อตัว ทำให้เขาเกิดแรงขับในการเล่นฟุตบอลมากขึ้นไปอีกระดับ เพราะมันคือความท้าทายใหม่ที่ไม่เคยเจอมาก่อน
น้อง ยอมรับตามตรงว่า ตอนเขาได้ยินว่ามีข้อเสนอเข้ามา ในใจก็คิดลังเลอยู่เหมือนกัน เพราะต้องไปเบียดแย่งตำแหน่งกับตัวต่างชาติ แล้วแอบคิดไปเองว่าตัวเขาน่าจะไม่ได้เล่นแน่ แต่ก็อยากลองเสี่ยงดูสักตั้ง ซึ่งพอเจอบทสนทนานี้เข้าไปก็เปลี่ยนความคิดใหม่ทันที กลายเป็นแรงผลักดันให้เขาทุ่มเทแบบเกินร้อยในสนาม
“นายบอกผมว่ามาอยู่กับ บุรีรัมย์ ที่นี่ กูเอามึงมาเล่น ไม่ได้เอามึงมานั่ง พอไปอยู่ที่นั่นจริงๆ แกก็ให้โอกาสลงสนาม ผมเลยรู้สึกว่ามันเป็นการเปิดโลกฟุตบอลของเราให้กว้างขึ้น ได้แข่งขันในระดับชิงแชมป์ทวีปเอเชีย ได้ดวลกับสโมสรจากต่างชาติ”
“มันเป็นแรงกระตุ้นให้ตัวเราต้องพัฒนาตัวเอง นอกจากแข่งกับเพื่อนในทีมแล้ว ยังต้องรอรับมือกับคู่แข่งที่เขี้ยวขึ้น มีโอกาสที่จะก้าวไปติดทีมชาติไทย เราต้องสู้กับทุกอย่างเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับตัวเอง เกิดเป็นแรงขับภายในว่าเราจะทำยังไงให้ยืนอยู่ในลีกอาชีพได้แบบยาวๆ”
ประทุม กล้าพูดได้เต็มปากว่า ไม่มีเกมไหนที่เขาไม่ทุ่มเทแบบเต็มร้อยหรือเกินร้อย แผลแตก แผลเย็บ แผลฉีก หรือเอ็นขาด อาการบาดเจ็บหนักแค่ไหนไม่เคยหวั่น ผ่านมาหมดแล้ว เพราะเขาต้องการแสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพ ไม่มีถอดใจยอมแพ้แบบกลางคัน
คาแรกเตอร์ของเขาในสนามเลยดูจริงจัง มีตะโกนด่า ตะโกนสั่งเพื่อน ซึ่งก็มีทั้งคนที่เข้าใจและไม่เข้าใจ แต่พอจบเกมแล้วก็จะไปขอโทษเคลียร์ใจกันทุกครั้ง สิ่งเหล่านั้นมันมาจากความรู้สึกของเขาที่ต้องการให้ทุกคนมีอารมณ์ร่วมกับเกม ไม่เอาเปรียบเพื่อน บอลสนามใหญ่ 11 คน ถ้าไม่วิ่งสัก 2 คน เหลือ 9 คน ก็เหนื่อยหนักแล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาต้องไปเจอกับกลุ่ม ‘เนื้อร้าย’ ในวงการบอลอาชีพ ที่หวังเรื่องผลประโยชน์ฉาบฉวย แล้วมีการพยายามพูดคุยให้เขายอมทำตาม ‘ข้อเสนอ’ นั่นคือสาเหตุหลักที่ ประทุม เลือกที่จะหันหลังให้กับบอลอาชีพตลอดกาล แม้ว่าจะมีสโมสรไหนชวนให้กลับไปก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจเด็ดขาด ตามที่กล่าวไว้ว่า
“กลุ่มคนที่เห็นแก่เงิน พวกเขาไม่ได้มองเลยว่ากำลังทำลายความเป็นมืออาชีพของนักเตะ ทำลายสโมสร และทำลายชื่อเสียงของเรา เขาคิดถึงแค่เรื่องอำนาจของเงิน ไม่ได้มองถึงความถูกต้องของเกมกีฬาฟุตบอล”
“พอผมได้เจอกับพวกเนื้อร้ายแห่งวงการฟุตบอลกับตัวเอง มันทำให้ผมรู้เลยว่าพวกเขาคิดแต่เรื่องผลประโยชน์จริงๆ แล้วเราไม่รู้หรอกว่าเรื่องแบบนี้มันมีมาตั้งแต่ตอนไหน เมื่อก่อนมันเป็นยังไง แต่จะมาสั่งให้ผมไม่ทุ่มเทในสนามมันไม่ได้”
“ผมเคยเล่นแบบเต็มร้อย ถ้าผมลงไปเล่นแบบ 20 เปอร์เซ็นต์ คนดูเขาเห็นเขาก็รู้ ผมเจอแบบนี้ผมตัดสินใจเลิกเลยดีกว่า ทั้งที่ผมเชื่อว่าตัวผมยังมีศักยภาพพอจะเล่นต่อได้”
มีหลายทีมพยายามกล่อมให้ น้อง กลับไปเล่นบอลอาชีพในช่วงแรก แต่ตัวของเขายืนยันว่า ‘ผมไม่มีวันกลืนน้ำลายตัวเองเด็ดขาด’ ถ้าหันหลังกลับไปคนก็อาจจะมองว่า สิ่งที่เขาออกมาพูดมาทำก่อนหน้านี้ กลายเป็นเรื่องที่พยายามสร้างกระแสหาแสงให้ตัวเอง ซึ่งเขาไม่ได้มีความต้องการเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
หากกลับไปแล้วเจอเรื่องราวที่ทำร้ายจิตใจซ้ำๆ เดิมๆ อีกรอบ ตัวเขาคงจะรับไม่ไหวแน่นอน เลยเลือกที่จะตัดทิ้งเลยดีกว่า ในความเห็นส่วนตัวเขามองว่า วงการฟุตบอลอาชีพของไทย ไม่เคยย่ำแย่เท่าทุกวันนี้ ที่ไม่สามารถหาความแน่นอนได้เลย สโมสรก็แย่เพราะขาดเงินทุน นักเตะก็อนาคตจะพังเพราะขาดเงินเดือนตามไปด้วย ทีมเล็กๆ ตอนนี้อยู่กันแทบไม่ได้ ต่างกับแต่ก่อนที่ยังพอเห็นประคองกันไปไหว พร้อมทิ้งท้ายไว้ว่า
“อะไรที่เราไม่รู้ มันน่ากลัวกว่าสิ่งที่เห็นและสัมผัสได้อีกนะ เพราะเดี๋ยวนี้เงินมันก็สำคัญ ที่ทีมใหญ่เขาพยายามประคองทีมเล็กๆ อยู่ ผมเชื่อว่าพวกเขาคงไม่อยากเห็นวงการฟุตบอลไทยแย่ไปกว่านี้”
“เหมือนนักเตะที่อยู่ทีมเล็กๆ คนนึง ได้เงินเดือนก็น้อย วันนึงมีข้อเสนอเข้ามาแทรกแซง มันไม่เหมือนกับนักเตะต่างประเทศที่รายได้เขาอยู่ได้ นักเตะก็จะไม่มีมาต้องยุ่งเกี่ยวกับอะไรแบบนี้เลย ทุกอย่างเขาจัดการแบบมืออาชีพ เรื่องพวกนี้มันไม่ได้ขจัดออกไปง่ายๆ เพราะไม่ได้มีแค่คนเดียว แต่เขาทำกันเป็นขบวนการ”
หลังจากนั้น ประทุม ก็เลิกยุ่งเกี่ยวกับฟุตบอลไปประมาณปีนึงได้ แล้วเอาเวลาทั้งหมดไปดูแลร้านอาหารที่ภูเก็ต พยายามใส่ใจดูแลลูกน้องอย่างดีที่สุด ก่อนจะได้รับการติดต่อจากคนในวงการฟุตบอลเดินสาย จีบให้ไปลองพบกับโลกใบใหม่ของวงการลูกหนัง
มุ่งมั่นเหมือนเดิมแค่เปลี่ยนสังเวียน
ประทุม ได้รับการชักชวนจากหนึ่งในผู้จัดบอลเดินสายชื่อดังในประเทศไทยอย่าง ‘หนึ่ง เทิร์นโปร’ ให้ไปลองสัมผัสบรรยากาศโลกฟุตบอลที่ต่างออกไป แล้วด้วยความที่ใจของเขายังมีความผูกพันกับกีฬาลูกหนัง เขาก็ลองเสี่ยงไปลองดู เนื่องจากคนเป็นนักกีฬาพอไม่ได้ออกกำลังแบบที่อยากออก มันก็มีแรงขับดันและโหยหาอยู่ลึกๆ
หลังจากนั้น ประทุม ก็สรุปให้ฟังง่ายๆ เลยว่า เขาแทบไม่ได้ว่างเว้นจากการแวะเวียนไปเตะบอลเดินสายทั่วประเทศเลย เริ่มตั้งแต่ไปเตะรายการแรกๆ แล้วก็มีทีมจากภาคกลางหลายทีม ติดต่อเข้ามาหา ก็เลยแวะเวียนลองเปลี่ยนบรรยากาศไปเรื่อยๆ
สเน่ห์ของโลกบอลเดินสายในความคิดของ ประทุม เริ่มตั้งแต่เขาสามารถเจอกับความท้าทายใหม่ๆ อยู่ตลอด พอเปลี่ยนทีมเพื่อนร่วมทีมก็เปลี่ยน การเล่นของทีมก็เปลี่ยน เหมือนกับคนที่ได้ชิมอาหารรสชาติใหม่ๆ อร่อยๆ แบบไม่มีซ้ำ ทำให้เกิดความตื่นเต้นอยู่เสมอ
น้อง ยืนยันว่า แพสชั่นและความกระหายของเขา ยังคงเหมือนเดิมไม่ต่างกับตอนเป็นนักเตะอาชีพ ยังคงอยากคว้าชัยชนะ ยังคงต้องการเป็นแชมป์ แล้วก็อยากสัมผัสการได้เล่นร่วมกับทีมต่างๆ ในโลกฟุตบอลใบนี้ให้ได้มากที่สุด จนกว่าร่างกายของเขาจะไม่ไหว ตามที่เปรยไว้ว่า
“ผมไม่ได้เกลียดความพ่ายแพ้ขนาดนั้นนะ ผมแพ้ได้ เพียงแต่ถ้าคนที่จะเอาชนะหรือผ่านผมไป พวกเขาก็ต้องลำบากหนัก ต้องเหนื่อยหน่อย ไม่มีทางได้ผ่านไปแบบง่ายๆ สบายๆ แน่นอน ผมไม่ได้เก่งหรอกแต่ผมสู้”
“ด้วยความที่ผมเป็นนักบอลที่เล่นหนักทั้งคนทั้งบอล ประทุม ในเวอร์ชั่นฟุตบอลเดินสายก็อาจมีการปรับเปลี่ยนเบาดีกรีลงไปบ้าง เพราะทุกคนในวงการนี้เป็นเพื่อนกันหมด เราก็ต้องปรับลดระดับการเล่นเราลงมาให้เหมาะสม อีกอย่างเราก็ต้องดูสภาพร่างกายและวัยของเราด้วย”
สิ่งที่ทำให้เขายังคงอยู่ช่วยเตะบอลเดินสายไปตามที่ต่างๆ คือ ความประทับใจในตัวเจ้าของทีม, ผู้จัดหลายรายการ และแฟนบอลตามแต่ละท้องที่ โดยเฉพาะฝ่ายที่ต้องลงเม็ดเงิน ประทุม สัมผัสได้ว่า คนเหล่านี้มีใจรักฟุตบอลจริง บางรายการจัดขึ้นมาแล้วเข้าเนื้อเสียเงินทุนไปเยอะ แต่เขาก็กล้าจัดกล้าจ่าย เพื่อให้กระแสบอลเดินสายนั้นจุดติด จนกลายเป็น ‘ฟีเวอร์’ ไปตามท้องที่ต่างๆ
ยิ่งไปกว่านั้นทุกวันนี้ ประทุม ได้ชดเชยสิ่งที่เขาอยากทำมาตลอดตั้งแต่เป็นนักเตะอาชีพ คือ การเข้าไปคลุกคลีกับแฟนบอลแบบใกล้ชิด สามารถถ่ายรูปด้วยได้ พูดคุยด้วยได้ อยากให้แฟนๆ ที่เคยติดตามเขามาตั้งแต่สมัยก่อน ได้เห็นตัวตนจริงๆ ว่าเขาเป็นคนธรรมดาทั่วไปที่เข้าถึงได้
ในสมัยที่เขาเป็นนักบอลทีมชาติ ประทุม เคยแอบคิดเสียดายอยู่บ้างว่า ไม่มีโอกาสที่จะได้ถ่ายรูปกับแฟนบอลที่อยากถ่ายครบทุกคน เนื่องจากจำนวนคนเป็นหมื่นๆ คงไม่สามารถเข้าถึงได้ครบ แต่ทุกวันนี้เขาพร้อมแล้ว และยินดีเป็นอย่างมากที่จะให้เวลากับแฟนๆ ที่ตามเข้ามาเชียร์
ต่อให้จะเหนื่อยจากการแข่งสักแค่ไหน เขาก็ยินดีจะสละเวลาพูดคุยหรือถ่ายรูปให้ครบทุกคน ไม่มีปฏิเสธต่อให้จะเป็น เด็กเล็ก, ลุงๆ ป้าๆ หรือแม้แต่คนเมา ถ้ามีโอกาสได้พบเจอกันก็พร้อมจะเทคแคร์ให้เต็มที่ เพราะตอนนี้เขามีเวลาและโอกาสอย่างล้นเหลือแล้ว
ความต้องการลึกๆ
ประทุม ยอมรับว่าตั้งแต่เข้ามาคลุกคลีกับวงการบอลเดินสายเต็มตัว เขาพบเจอกับผู้เล่นฝีเท้าดีมากมายนับไม่ถ้วน แล้วแอบมีความเชื่อส่วนตัวว่า ต่อให้นักเตะระดับดีกรีตัวลีกอาชีพ ต้องมาดวลกับนักเตะเดินสาย รับรองว่าคงไม่ได้เอาชนะผ่านกันไปได้ง่ายๆ แน่นอน
แม้ว่าตัวของเขาจะเก็บประสบการณ์ในบอลอาชีพมาจนเคี่ยวกรำ แต่พอมาลองเล่นในเวทีเดินสาย ก็ต้องใช้เวลาปรับตัวอยู่บ้างพอสมควร เพราะว่า ศักยภาพของผู้เล่นหลายราย ดีพอจะดวลกับเขาได้แบบสมน้ำสมเนื้อ ความจริงแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้อาจจะมีอนาคตที่สดใสในวงการบอลอาชีพก็ได้ หากเฉิดฉายอยู่ในพื้นที่ที่เหมาะสม
สิ่งที่ น้อง แอบหวังอยู่ลึกๆ คือ ต้องการให้เหล่าผู้เล่นดาวรุ่งที่มีความฝันจะเป็นนักฟุตบอล กล้าออกมาเผชิญโลกกว้างกันให้มากขึ้น อาจไม่ได้จำกัดอยู่แค่การไปคัดตัวกับสโมสรหรือคัดเลือกเข้าอคาเดมี่ แต่มาลองแข่งขันจริงตามรายการเดินสายก็ได้เช่นกัน ตามที่แชร์มุมมองเอาไว้ว่า
“เอาจริงๆ ถ้าให้เด็กดาวรุ่งฝีเท้าดีรวมทีมกันมาเตะบอลเดินสายรายการต่างๆ พวกเขาก็อาจจะแพ้เวลาเจอกับนักบอลเดินสายที่หากินบนเส้นทางนี้แบบจริงจัง แต่สิ่งที่พวกเขาจะได้รับ คือ ประสบการณ์ที่นำไปพัฒนาตัวเองต่อได้”
“มีทีมบอลเดินสายบางทีม พยายามผลักดันเรื่องการสร้างนักเตะเหมือนมีอคาเดมี่ย่อมๆ ตอนผมร่วมซ้อมกับทีมนั้นก็มีการให้คำแนะนำน้องๆ ในการเล่นไปบ้าง แต่ไม่ได้ถึงขนาดบังคับหรือสอนให้ทำแบบนั้นแบบนี้ ผมจะเว้นช่องให้เขาไปคิดต่อเอง มีอิสระในการเล่นของตัวเอง”
“แม้ว่าจะจะบอกลาบอลอาชีพไปแล้ว แต่คอนเนคชั่นของผมก็ยังใช้ได้อยู่ หากมีน้องๆ ที่เข้าตาผมก็จะแนะนำโค้ชในลีกอาชีพที่รู้จักกันให้มาลองส่องฟอร์มดูแวว หรือถ้าน้องที่ผมรู้จักไปคัดตัวกับทีมไหน ก็จะมีแอบกระซิบบอกไป แต่ผมไม่ได้ฝากเขาให้รับเข้าทีมนะ แค่ให้ลองดูน้องมันหน่อยว่าไปต่อได้มั้ยแค่นั้น”
บอลอาชีพ และ บอลเดินสาย สุดท้ายแล้วมันก็คือการเล่นกีฬา ‘ฟุตบอล’ เหมือนกัน ซึ่งในความเห็นส่วนตัวของ ประทุม มองว่า หากสโมสรใหญ่ๆ ในประเทศไทย ลองหันมาดูฟอร์มนักเตะในโลกฟุตบอลใบนี้ดูบ้าง ค้นหาเพชรที่ยังไม่เจียระไน เพื่อนำไปขัดเกลาก็ไม่เสียหาย แถมยังจะได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายอีกด้วย
บอลเดินสาย ที่มีแต่คนบอกว่า มีความรุนแรง เถื่อน หรือ ถ่อย ทุกวันนี้มันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไปหมดแล้ว ด้วยการใช้โซเชี่ยลมีเดียเข้ามาจัดการควบคุมพฤติกรรม รวมไปถึงผู้จัดรายการใหญ่ๆ ชิงเงินรางวัลสูงๆ ก็พยายามพัฒนาเรื่องการจัดการให้มีคุณภาพเชื่อถือได้
ขอให้เชื่อเถอะว่าขนาดบอลอาชีพในยุคของเขาที่ยังไม่มีการถ่ายทอดสด เล่นกันรุนแรงกว่านี้ เตะเป็นเตะ ตัดเป็นตัด นักเตะกระทบกระทั่งกันหนักๆ แรงๆ มีนอกเกมประจำ ยังเปลี่ยนแปลงและพัฒนามาจนเป็นแบบที่เห็นในปัจจุบันได้
ดังนั้นโลกของ บอลเดินสาย ที่ผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนานไม่แพ้กัน แล้วกำลังอยู่ในกระแส มีคนพยายามปลุกปั้นดูแลทุกรายละเอียดเรื่องการพัฒนาวงการกันอย่างเต็มที่ ย่อมสามารถก้าวผ่านสิ่งที่แย่ๆ ในอดีต แล้วสามารถฃกลายเป็นเวทีการแข่งขันฟุตบอลที่ไม่สามารถมองข้ามได้เช่นเดียวกัน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : การสัมภาษณ์ออนไลน์
บทความที่เกี่ยวข้อง
เปิดใจ ‘เบ็ค-สมเกียรติ คุณมี’ : ทำไมตัวท็อป ‘ฟ็อกซ์ฮันท์’ ถึงเลือกเส้นทางบอลเดินสาย ?
‘ผักบุ้ง PBDS’ : หญิงแกร่งแห่งวงการฟุตบอลเดินสาย
‘ใหญ่ นิลวงษ์ ’: โค้ชจอมเลื่อนชั้นแห่ง T3 ที่คุมทีมเดินสายที่ชนะ 100%
สโมสร ‘แตงโม’ : ตำนานแชมป์เงินล้านบอลเดินสายสองปีติดทีมเดียวในประเทศไทย
ศราวุฒิ มาสุข : กับชีวิตใหม่ในเส้นทางฟุตบอลเดินสาย