‘รานีล ซานตาน่า’ ดาวยิงจอมอาภัพกับโอกาสครั้งใหม่ หลังสลักวันสำคัญบนใบหน้า
แฟนบอลทั่วโลกคงคุ้นชินกับปูมหลังนักเตะชื่อดังระดับโลก ที่มีถิ่นฐานบ้านเกิดอยู่ในประเทศบราซิล ดินแดนที่ปลุกปั้นแข้งระดับสตาร์มาประดับโลกลูกหนังมากมาย ซึ่งเรื่องราวปูมลึกปูมหลังของแต่ละคน ส่วนใหญ่จะเริ่มต้นกับการเป็น ‘เด็กยากไร้’ ด้อยโอกาสในสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำของฐานะ เปรียบเสมือนเป็นพล็อตเรื่องซ้ำๆ เดิมๆ จนผู้รับสาส์นแทบจะเดากันได้ไม่ยากนัก
เส้นทางชีวิตของ ‘รานีล ซานตาน่า’ กองหน้าป้ายแดงของสโมสร บีจี ปทุม ยูไนเต็ด มีจุดเริ่มต้นที่ไม่ต่างกัน ต้องเผชิญกับความเหลื่อมล้ำของชนชั้นในประเทศบ้านเกิด แต่เรื่องราวชีวิตของเขานั้นผ่านประสบการณ์ที่ ‘ดำมืด’ มากกว่าหลายเท่า จากการเติบโตที่คลุกคลีอยู่กับ การหาเลี้ยงตัวเอง ท่ามกลางสิ่งเร้าแสนโสมมอย่าง เหล้า และ ยาเสพย์ติด ที่กลายเป็นตราบาปติดตัวมาจนถึงทุกวันนี้
รอยสักวันที่ 7/12/2020 บนใบหน้าของเขานั้นเป็นวันสำคัญที่ดาวยิงรายนี้ ต้องการจารึกไว้ว่าเป็นวันแห่งการเริ่มต้นใหม่ หลังผ่านเหตุการณ์ชีวิตที่แทบจะทำให้ตัวเขาไม่ต่างกับการ ‘ตายทั้งเป็น’ แทบจะสูญเสียสิ่งที่รักที่สุดไปพร้อมๆ กัน จนแทบไม่เหลือกำลังใจที่จะอยู่สู้ชีวิตต่อไป
เส้นทางชีวิตอันแสนมืดหม่นของ รานีล นั้นต้องผ่านอะไรมาบ้าง? เขาก้าวข้ามจุดต่ำสุดในชีวิตมาได้อย่างไร? ความหมายของรอยสักวันที่บนใบหน้านั้นมีที่มาจากไหน? ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
เด็กกำพร้าผู้แบกความหวัง
ชีวิตของ รานีล เติบโตมาอย่างยากลำบากเพราะพ่อของเขาเสียชีวิตตั้งแต่อายุราว 3-4 ขวบ แม่แท้ๆ ของเขาก็ไม่มีกระจิตกระใจและความสามารถเลี้ยงดูเขาต่อไปได้หลังจากการสูญเสียครั้งนั้น จึงยกลูกแท้ๆ ให้กลายเป็นบุตรบุญธรรมของหญิงข้างบ้านที่มีชื่อว่า ‘ดิโอเน่’
ดิโอเน่ มีลูกอยู่แล้ว 3 คน แต่กลับไม่รังเกียจหรือปฏิเสธที่จะรับภาระเลี้ยงดู รานีล แม้ว่าจะต้องเจอสถานการณ์ที่ยากลำบากด้านการเงิน ทำให้เขาเติบโตมาท่ามกลางสิ่งเลวร้ายแวดล้อมรอบด้าน ผู้คนล้วนใส่เสื้อผ้าที่สกปรก จากความเหลื่อมล้ำทางสังคม ความยากจนที่แพร่กระจายไปทั่ว ไม่มีแม้แต่ผ้าจะเช็ดตัวหลังอาบน้ำเสร็จ
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาคือมีความสุข คือ การเตะบอลข้างถนน แต่ก็มีเวลาจำกัดต้องกลับบ้านมาตอนบ่ายสามทุกวัน ทั้งที่ได้รับคำชมมากมายเรื่องพรสวรรค์ในการยิงประตู แต่พอเขาอายุได้ 7 ขวบ ดิโอเน่ ก็จากโลกนี้ไป ทำให้เขาต้องหาทางเลี้ยงดูตัวเองและพี่น้องที่เหลือจากกีฬา ‘ฟุตบอล’
“ผมไม่อยากตัดสิน พ่อ-แม่ ที่ทอดทิ้งลูกแท้ๆ ของตัวเอง เพราะผมไม่รู้ว่าพวกเขาต้องเผชิญกับเหตุการณ์อะไรบ้างในเวลานั้น ตอนนี้ผมเป็นพ่อคนแล้วเหมือนกัน ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหนในการเลี้ยงลูก ผมก็ไม่เคยผ่านจุดที่ แม่ของผม เสียคุณพ่อไป จนถึงจุดที่ตัดสินใจทิ้งผมให้กลายเป็นลูกคนที่ 4 ของ ดิโอเน่”
“บ้านของเรามีสิ่งของที่ขาดแคลนมากมาย ทั้งเสื้อผ้า, อุปกรณ์การเรียน และ ร้านขายของชำ ผมยังจำได้อยู่เลยว่าผมไม่มีผ้าเช็ดตัวเองหลังอาบน้ำเสร็จจนต้องใช้เสื้อสกปรกเช็ดตัวให้แห้ง ผมชอบออกไปเล่นฟุตบอลข้างถนน แต่ต้องกลับตอนบ่ายสาม…ทั้งๆ ที่มีแต่คนบอกผมว่า รานีล แกยิงได้เยอะขนาดนี้แต่จะทิ้งทีมไปกลางเกมเนี่ยนะ ซึ่งผมต้องกลับไปซักผ้าด้วยสบู่สี่เหลี่ยมก้อนสีเหลือง แล้วตากมันทิ้งเอาไว้จนกว่าจะแห้ง เพื่อนำมาใส่ในวันต่อไป เพราะผมมีชุดแค่ชุดเดียว จนทุกวันนี้ผมยังจำกลิ่นสบู่ก้อนนั้นได้อยู่เลย”
รานีล เริ่มต้นเล่นฟุตซอลตั้งแต่ 5 ขวบกับสโมสร ซานตา ครูซ เพราะผู้คนที่สโมสรแห่งนี้เข้าใจถึงความยากลำบากของครอบครัวเขา ค่าตอบแทนที่ได้รับทุกเดือน คือ ตระกร้า ที่เต็มไปด้วยของกิน อย่างน้อยการเล่นฟุตบอลของดาวยิงรายนี้ ก็สามารถทำให้พี่น้องและครอบครัวของเขาการันตี ‘การอิ่มท้อง’ ไปได้แบบเดือนต่อเดือนจากพรสวรรค์อันล้นเหลือของเขา
นอกจากนี้โค้ชของเขา อาจารย์ชิโก พยายามผลักดันให้ รานีล ได้รับทุนการศึกษา เปิดโอกาสให้เขาได้ไปฝึกซ้อมฟุตบอลกับสโมสรต่างๆ แม้ว่าการเดินทางของเขาจะยากลำบาก ต้องโบกรถไปกลับเพราะไม่มีเงิน แต่จากคำชมปากต่อปากกับคนที่ได้เห็น รานีล ลงเล่น ต่างบอกไปในทิศทางเดียวกันว่า ไอ้หนูรายนี้มีพรสวรรค์ ขอแค่เพียงมุ่งมั่นกับเกมลูกหนังต่อไปก็เพียงพอ นั่นเป็นกำลังใจหล่อเลี้ยงเดียว ที่ทำให้เขายังมีความหวังต่อไป…แต่เรื่องราวหลังจากนี้ไปกลับไม่เป็นแบบนั้น
ช่วงชีวิตอันดำมืด
แม้ว่าอาชีพของเขา คือ นักฟุตบอลที่ควรประพฤติตัวให้เป็นตัวอย่างที่ดีกับเยาวชน แต่เขากลับมีปัญหานอกสนามมากมาย ไม่ว่าจะเป็น คนเสพติดการดื่มแอลกอฮอล์ (เริ่มกินตั้งแต่อายุ 14 ปี), การใช้ยาเสพย์ติด, เป็นพ่อค้ายาในเมืองเรซิเฟ่ และ แสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม จนถูกแบนหลายต่อหลายครั้ง ขนาดเรื่องไปถึงองค์กรใหญ่อย่าง สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า เป็นผู้ลงดาบอีกด้วย
“มันเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดไม่ต่างกับการเอาเกลือไปราดใส่แผลไหม้จากพิษของแมงกะพรุน ผมแค่เป็นเด็กตัวเล็กๆ คนนึงที่เอาตัวไปเสี่ยงกับโลกที่แสนอันตราย สโมสร ซานตา ครูซ ต้องการช่วยผมให้หลุดจากชีวิตที่เหมือนยืนอยู่ริมหน้าผา สถานการณ์ดูเหมือนจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่สุดท้ายแล้วเมื่อผมเป็นนักเตะอาชีพตอนอายุ 17 ปี ก็มาถูกจับได้จากการตรวจโด๊ปว่า ใช้สารเสพย์ติดประเภทโคเคน จนโดนแบนห้ามลงเล่นเกือบปี แล้วก็มีแต่ความกลัวและน่าอดสูที่เข้ามาทำร้ายใจ”
“ตอนที่ข่าวของผมออกอากาศทางโทรทัศน์ ผมอยู่กับคุณย่า มารินาลวา เธอเห็นข่าวและเสียใจมากราวกับจิตใจนั้นแหลกสลายไปในชั่วพริบตา เธอหวังให้ผมมีชีวิตที่ดี คอยสนับสนุนผมเรื่อยมาให้อยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง เธอรักผมมาก แล้วการที่ผมต้องเห็นเธอมาร้องไห้ต่อหน้าตอนนั้น ไม่ต่างกับการฆ่าผมทั้งเป็น”
รานีล ทำได้แค่ลงซ้อมกับ ซานตา ครูซ ให้ผ่านไปวันๆ ต้องโดนผู้คนบนท้องถนนที่รู้เรื่องก่นด่าและสบถคำหยาบใส่หน้าว่าเป็น ไอ้ขี้ยา, ไอ้ตัวปัญหาของทีม และถ้อยคำอันโหดร้ายอีกมากมาย เขาไม่ได้รู้สึกดีกับเรื่องนั้น เพียงแต่มองว่ามันเป็นผลของการกระทำที่สมควรได้รับแล้ว ซึ่งตัวเขาก็ต้องอดทนรอกับโอกาสแก้ตัวครั้งหน้าต่อไป
โชคดีที่ รานีล ยังมีโค้ชที่ชื่อว่า ซานโดร คาเคา คอยอยู่เคียงข้างและเชื่อในตัวเขาเสมอมา คอยให้คำปรึกษาและปลอบโยนราวกับเป็นลูกชายแท้ๆ พร้อมกับกระตุ้นว่า ถ้าตัวของเขาพลาดพลั้งไปครอบครัวของเขา คุณย่า และ พี่ๆ น้องๆ จะเป็นยังไง? นักเตะที่มีพรสวรรค์สูงแบบเขาไม่ได้เกิดมาตลอดในโลกฟุตบอล แล้วเขาคือคนที่พระเจ้าเลือกมาแล้วว่า ต้องเผชิญกับชีวิตที่ยากลำบาก แต่ทางเลือกที่ควรทำคือสู้ต่อไป
ก่อนหน้าที่ รานีล จะถูกจับเรื่องการใช้สารเสพย์ติด แอตเลติโก พีอาร์ และ เซา เปาโล กำลังจะพิจารณาคว้าตัวเขาไปร่วมทีม จนอีกสองปีต่อมาข้อเสนอจาก ครูไซโร่ ที่เสี่ยงคว้าตัวเขาไปร่วมทีม กลายเป็นจุดเปลี่ยนให้เขาไปถึงตำแหน่งแชมป์กับต้นสังกัด ก้าวข้ามคำดูถูกต่างๆ ได้สำเร็จไม่ว่าจะเป็นการถูกตราหน้าว่าเป็น ไอ้คนติดเหล้า หรือ ไอ้ขี้ยา ก็ตามแต่
จากผลงานอันน่าประทับใจกับ ครูไซโร่ ทำให้ รานีล ถูกทาง เซา เปาโล ดึงตัวไปร่วมทีม ทุกคนที่ต้นสังกัดเก่าต่างยินดีและให้กำลังใจเขากับชีวิตใหม่ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำร่ำลาหรือเสียน้ำตาให้กับเรื่องนี้ ขอแค่ไปพบกับอนาคตที่ดีกว่าด้วยความภาคภูมิใจก็เพียงพอแล้ว
อย่างไรก็ตาม รานีล กลับสร้างความประทับใจให้กับ เซา เปาโล ไม่ได้ แล้วต้องย้ายไปอยู่กับ ซานโตส ในปี 2020 แต่ก็ยังเจอเรื่องเลวร้ายสุดๆ ในชีวิตต่อเนื่องกันถึงสองเรื่องติดๆ เริ่มจากการเกือบเสียลูกชายคนเล็ก เฟลิเป้ จากอุบัติเหตุที่ไม่มีใครคาดคิด
“วันหนึ่งช่วงบ่าย ผมและภรรยาไปงีบหลับอยู่ในห้องนอน ปล่อยให้ เฟลิเป้ ลูกชายคนเล็กวัย 9 เดือนอยู่กับพี่เลี้ยง ที่วางเขาไว้บนที่นอนในห้องนั่งเล่นจนเขาหลับไป แล้วแอบไปเสื้อผ้าของเขาในโซนซักผ้า แต่พี่เลี้ยงกลับลืมปิดประตูห้องนั่งเล่นที่เชื่อมกับสระน้ำ เฟลิเป้ ตื่นขึ้นและคลานไปตกสระน้ำ ผมรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงกรีดร้องของพี่เลี้ยงแล้ว”
“ผมลงไปเห็น เฟลิเป้ อยู่ในอ้อมกอดของพี่เลี้ยง ในสภาพที่ไม่มีสติ น้ำลายฟูมปาก ผมรีบคว้าตัวลูกมาแล้ววิ่งออกไปแบบไม่ใส่เสื้อผ้า ไม่มีรองเท้า เพื่อมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดที่อยู่ตรงหัวมุมถนน แล้วคำตอบแรกที่หมอบอกกับผมและภรรยา คือ เขาไม่สามารถกู้ชีพ เฟลิเป้ ขึ้นมาได้”
นั่นเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดหนึ่งครั้งที่ รานีล รู้สึกเหมือนกับตัวเองกลายเป็นศัตรูกับพระเจ้า แต่โชคยังดีที่การกู้ชีพครั้งต่อมาอย่างสุดความสามารถเกือบ 40 นาที ดึงสัญญาณชีพของ เฟลิเป้ กลับมาได้ แต่ต้องอยู่ในห้อง ไอซียู นานถึง 23 วัน
ช่วงเวลานั้น รานีล เศร้าใจมากๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น แถมการแข่งขันฟุตบอลก็หยุดชะงักลงจากการระบาดของ โควิด-19 ทำให้เขาเอาแต่ดื่มเหล้าอย่างหนัก จมอยู่กับความทุกข์ ใช้แอลกอฮอล์เป็นเครื่องมือช่วยให้นอนหลับไปในแต่ละค่ำคืน ดื่มมากขึ้นจนเหมือนจะตั้งใจทำลายตัวเองให้พังพินาศ ให้พ้นจากชีวิตอันแสนเลวร้าย
อย่างไรก็ตามเมื่อ 23 วันผ่านไป เฟลิเป้ พ้นขีดอันตรายกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ไม่มีความเสียหายของสมอง เหลือเพียงแค่ต้องทำกายภาพบำบัดให้กลับมาใช้ชีวิตได้ปกติ ทุกอย่างเหมือนกำลังจะไปได้ดี แต่แล้วเมื่อฟุตบอลกลับมาเตะกันอีกครั้ง รานีล กลับโชคร้ายติดโควิด-19
หลังจากรักษาตัวหายกลับมา รานีล เจอโรคแทรกซ้อนเล่นงานเป็นอาการ เส้นเลือดอุดตันที่เข่า จนต้องเข้ารับการผ่าตัด รอบแรกนั้นยังไม่สามารถรักษาให้หายขาด จนต้องเข้าผ่าตัดรอบที่สองซึ่งเสี่ยงกับการต้องตัดขาหากไม่สำเร็จ แต่แล้วเขาก็ผ่านมันไปได้ด้วยดีจนกลับมาเล่นฟุตบอลได้อีกครั้ง
เมื่อคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด พร้อมกับคำอธิษฐานที่เขาเฝ้าวิงวอนต่อพระเจ้า รานีล ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะเลิกดื่มแอลกอฮอล์ตลอดชีวิต เพราะไม่ต้องการเสียครอบครัวและอาชีพที่รักของเขาไปในวันที่ 7/12/2020 พร้อมสักเลขวันที่นั้นลงบนใบหน้า เป็นเสมือนเครื่องเตือนความจำอันแสนเจ็บปวด และ คำขอบคุณกับการปฏิญาณตนต่อพระเจ้าไปพร้อมๆ กัน
ความท้าทายใหม่
ในปี 2022 รานีล ย้ายไปเล่นให้กับ วาสโก ดา กาม่า แล้วได้ลงเล่นไป 45 เกมทุกรายการ ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงถึง 37 เกม ทำไป 16 ประตู จนกลายเป็นขวัญใจแฟนบอลได้แบบฉับพลัน ซึ่งเคล็ดลับของ รานีล ที่ระเบิดฟอร์มออกมาได้ คือ การบอกกับเพื่อนร่วมทีมทุกคนตั้งแต่ต้นฤดูกาลว่า ‘หากใครเป็นคนจ่ายบอลให้เขายิงได้ (แอสซิสต์) เขาจะจ่ายเงินให้ลูกละ 500 เหรียญเรอัลบราซิล (ตีเป็นเงินไทยราว - 3,390 บาท)’
ต่อมาในปี 2023 รานีล ย้ายไปเล่นในต่างประเทศครั้งแรกในลีกรองประเทศจีนกับ ชิงเต่า เวสต์ โคสต์ จบฤดูกาลด้วยการเป็นรองดาวซัลโวของทีม ลงสนามในเกมลีกไป 25 นัด ยิงไป 15 ประตู และทำอีก 2 แอสซิสต์
ต่อมาในฤดูกาลที่แล้ว รานีล ย้ายไปเล่นกับ คอร์ ฟาค์คาน สโมสรในศึก ยูเออี โปร ลีก ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แล้วทำผลงานได้ดีพอควรด้วยการกดไป 3 ประตู จากการลงเล่นทั้งหมด 11 นัด ถือว่าเป็นมาตรฐานที่ดีสำหรับการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ
ล่าสุด รานีล ตัดสินใจย้ายมาเล่นให้กับ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในฤดูกาล 2024/25 เป็นการผจญภัยครั้งใหม่ของเขาอีกครั้ง สำหรับศูนย์หน้าวัย 28 ปี ที่นับเป็นช่วงพีคของการค้าแข้งพอดิบพอดีในตำแหน่งนี้ โดยเขาได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า
"ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะใหม่ของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ผมอยากช่วยทีมไล่ล่าถ้วยแชมป์ และแสดงศักยภาพของผมให้ทุกคนได้เห็น เล่นให้ดี และยิงประตูให้ได้เยอะ ๆ ตอนนี้ผมรู้สึกตื่นเต้นกับโอกาสช่วยทีมลงสนามในทัวร์นาเมนต์สโมสรระดับนานาชาติ และมุ่งมั่นกับเป้าหมายที่สโมสรมอบให้"
เชื่อเหลือเกินว่า รานีล ที่ผ่านประสบการณ์สู้ชีวิตกับโชคชะตาที่โหดร้ายมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง คงไม่เหลือความหวาดกลัวในการเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่พร้อมดาหน้าเข้ามาท้าทาย แล้วหวังว่าเขาจะกลายเป็น ดาวยิงขวัญใจของแฟนบอล เดอะ แรบบิท ได้ในไม่ช้า
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
https://en.wikipedia.org/wiki/Raniel
https://www.theplayerstribune.com/br/posts/carta-raniel-vasco-o-dia-da-verdade