สัมภาษณ์ ‘ซูลาก้า’ ครั้งแรกหลังย้ายทีม : ทุกเรื่องลับเกี่ยวกับ ‘บุรีรัมย์, อิชิอิ และ ทีมชาติไทย’

สัมภาษณ์ ‘ซูลาก้า’ ครั้งแรกหลังย้ายทีม : ทุกเรื่องลับเกี่ยวกับ ‘บุรีรัมย์, อิชิอิ และ ทีมชาติไทย’
ณัฐพล อ่วมเรืองศรี

เรบิน ซูลาก้า อดีตปราการหลังจอมแกร่งจากสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กลับมาเล่นฟุตบอลในประเทศไทยอีกครั้ง ในศึกชิงแชมป์ถ้วยพระราชทน คิงส์คัพ ครั้งที่ 49 พร้อมกับพา ทีมชาติอิรัก ผงาดเป็นแชมป์เหนือทีมชาติไทย ด้วยการดวลลูกจุดโทษด้วยสกอร์ 5-4 หลังเสมอกันในเวลาปกติแบบสุดมัน 2-2

PHOTO : Iraq Football Association

อย่างไรก็ตามเขาต้องแยกทางกับอดีตต้นสังกัด ปราสาทสายฟ้า แบบไม่มีใครคาดคิด ทั้งที่ ซูลาก้า เป็นหนึ่งในคีย์แมนสำคัญในแนวรับช่วยพาทีมผงาดคว้า ‘ทริปเปิ้ลแชมป์’ 2 สมัยติดต่อกัน โชว์ฟอร์มได้แข็งแกร่งสุดๆ ตลอดสองปีที่อยู่กับทีม จนมีกระแสข่าวลือว่ากันไปต่างๆ นาๆ ถึงประเด็นความสัมพันธ์ภายในทีมและปัจจัยอื่นๆ

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ ซูลาก้า จะออกมาตอบทุกข้อสงสัยแบบหมดเปลือก เกี่ยวกับช่วงเวลาของเขากับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด รวมไปถึงช่วงเวลาที่ได้ร่วมงานกับ ‘มาซาทาดะ อิชิอิ’ อดีตกุนซือของทีมที่ก้าวไปรับบทบาทเป็นประธานเทคนิคทีมชาติไทยคนปัจจุบัน เกี่ยวกับเรื่องของมุมมองการทำงานและการซ้อมแปลกๆ

PHOTO : Think Curve

ติดตามได้ในบทสัมภาษณ์สุด Exclusive จากทีมงาน Think Curve - คิดไซด์โค้ง ซึ่งเป็นสื่อเจ้าแรกและเจ้าเดียวในประเทศไทยที่ได้รับเกียรติจาก ซูลาก้า จากการให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

ความสัมพันธ์ภายในทีม

จุดเริ่มต้นของ ซูลาก้า ในการย้ายมาค้าแข้งกับ บุรีรัมย์ นั้นเกิดขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ทีมติดต่อไปยังเอเย่นต์ส่วนตัวตอนที่ค้าแข้งอยู่กับสโมสร เลฟสกี้ โซเฟีย (ลีกบัลแกเรีย) แล้วยื่นข้อเสนอเข้าไปให้ให้พิจารณา เมื่อทุกอย่างลงตัวการเซ็นสัญญาก็เกิดขึ้นภายในเวลาแค่สองวันเท่านั้น

PHOTO : Thai League

อย่างไรก็ตามมันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากไม่น้อย เพราะว่าดีลนี้เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติโควิด-19 เมื่อทาง ซูลาก้า เดินทางมายังประเทศไทย เขาต้องถูกแยกกักตัวเดี่ยวๆ อยู่ในห้องของโรงแรมคนเดียวเป็นเวลาถึงครึ่งเดือน แต่ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอเนื่องจากในช่วงเวลานั้น บุรีรัมย์ จะได้ประโยชน์ในเรื่องของการเตรียมทีม ที่มีเวลามากกว่าปกติยาวนานถึงสามเดือนก่อนฤดูกาลเปิดตั้งแต่ มิถุนายน-กันยายน

ช่วงเวลาปรีซีซั่นที่ยาวนานกว่าปกติ มีส่วนช่วยอย่างมากในการปรับตัวของ ซูลาก้า ให้เข้ากับทีมได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับการได้รับการต้อนรับที่ดีจากผู้บริหารสโมสรและเพื่อนร่วมทีม ทำให้การใช้ชีวิตของเขากับสโมสร ปราสาทสายฟ้า เป็นไปอย่างราบรื่นและมีความสุขตามที่ย้อนความเอาไว้ว่า



“ตัวผมรับรู้ได้เลยว่าพวกเขาพยายามจะช่วยเหลือผมจริงๆ ตั้งแต่วันแรกที่ผมมาที่สโมสร ทุกคนพยายามให้ความช่วยเหลือผมในการปรับตัว โดยเฉพาะเพื่อนของผมในสโมสรแห่งนี้ แม้แต่ตัวประธานสโมสรและภรรยาของเขา ที่ดูแลผมราวกับเป็นลูกชายคนหนึ่้งตั้งแต่วันแรก มันทำให้ผมมีความสุขจริงๆ”
PHOTO : Buriram United



“ผมรับรู้ได้ถึงความแตกต่างชัดเจน เนื่องจากบุรีรัมย์เป็นหนึ่งในทีมใหญ่ระดับเอเชีย ผมรู้ดีว่าผมย้ายมาอยู่กับทีมใหญ่ที่มาพร้อมกับความกดดันสูงจากแฟนๆ จากการตั้งเป้าหมายของทีมที่ต้องชนะทุกรายการ แต่สำหรับตัวผมแล้วผมชอบนะ

“พวกเขาเปิดใจให้ผมทั้งนักเตะและประธานสโมสร ที่ดูแลผมราวกับเป็นลูกชายคนหนึ่ง ผมรู้สึกขอบคุณเขามากๆ สำหรับสิ่งนั้น เพราะว่าถ้าเขาไม่เปิดใจให้ผม ยอมรับในตัวผม แบบที่เขาทำ บางทีผมอาจเป็นผู้เล่นที่ต่างไปอีกแบบหรือกลายเป็นอีกคนไปเลยก็ได้”

PHOTO : Buriram United
“ไม่ใช่เพียงแค่ผู้เล่น คุณเนวิน แต่รวมถึงภรรยาของเขาด้วย เธอมีส่วนช่วยเหลือผมมากเช่นกัน เรามีความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมให้กัน ผมเคารพทั้งสองคนเหมือนกับ พ่อ และ แม่ เมื่อพวกเขามองผมเป็นลูกชายคนหนึ่งผมรู้สึกว่าต้องตอบแทนพวกเขากลับคืนให้มากกว่า ดังนั้นผมจึงกล้าพูดได้เลยว่าผมรักทุกช่วงเวลาที่อยู่กับ บุรีรัมย์ จนถึงวันที่ผมก้าวออกมา”

หากเป็นแฟนบอลที่ติดตามสื่อของ บุรีรัมย์ อยู่ตลอดจะเห็นภาพความสนิทชิดเชื้อของเขากับ ลุงเน-เนวิน ชิดชอบ, ป้าต่าย-กรุณา ชิดชอบ และเพื่อนร่วมทีมอย่าง นิว-พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี และ ต้น-นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม ที่ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันราวกับเป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน

วิดีโอที่ ซูลาก้า แข่งแพลงก์กับลุงเนยังคงอยู่ในยูทูปสโมสร โมเมนต์ที่ป้าต่ายกระโดดเกาะหลังเขาหลังเอาชนะ เชียงราย แบบหืดจับ 1-0 และการที่ นิว-พีรดนย์ ใ้หเกียตรติเขารับบทเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวในงานแต่งงาน ล้วนเป็นช่วงเวลาที่น่าประทับใจและยากจะลืมเลือนของเขานับมาจนถึงทุกวันนี้

วิดีโอที่ ซูลาก้า แข่งแพลงก์กับ ลุงเน และเพื่อนร่วมทีม

ซึ่งกุญแจแห่งความสำเร็จในการคว้า 6 แชมป์ของสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เมื่อสองฤดูกาลก่อน ซูลาก้า ชี้เป้าว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ‘ความเชื่อมั่นเชื่อใจซึ่งกันและกัน’ ตัวของเขาสามารถไว้ใจทุกคนได้ ทุกคนก็สามารถวางใจเขาได้เช่นกันทั้งในสนามและนอกสนาม แบ่งปันเรื่องราวทั้งทุกข์และสุขไปพร้อมกัน

PHOTO : Buriram United

แม้แต่ความผิดหวังที่ยากจะลืมเลือนในศึก เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก รอบคัดเลือก ที่พ่ายให้กับสโมสร แดกู (เกาหลีใต้) ในการดวลลูกจุดโทษแล้วพลาดการเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่ม ทุกคนในทีมต่างเสียใจแต่ไม่มีใครโทษว่าเป็นความผิดของใครที่ทำให้ทีมแพ้ แล้วบรรยากาศในห้องแต่งตัวยังคงยอดเยี่ยม มีแต่การให้กำลังใจซึ่งกันและกัน จากนั้นทีมของเขาก็กลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิมจนประสบความสำเร็จอย่างที่เห็น

การทำงานร่วมกับ ‘อิชิอิ’

เป็นที่ทราบกันดีว่า ซุลาก้า ย้ายเข้ามาในยุคที่ยังมีทาง อเล็กซานเดร กาม่า เป็นผู้ฝึกสอนของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แล้วได้มีโอกาสร่วมงานกันเพียงแค่ 6 เดือน ก่อนที่จะมีการปรับเปลี่ยนกุนซือมาเป็นทาง ‘มาซาทาดะ อิชิอิ’ ผู้ที่ทำให้ บุรีรัมย์ ผงาดคว้า 6 แชมป์ในรอบสองปี เป็นกุนซือคนแรกและคนเดียวที่เปิดหน้าประวัติศาสตร์นั้นได้นับมาจนถึงตอนนี้

PHOTO : Buriram United

เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงนายใหญ่ของทีม แน่นอนว่ากุนซือทุกคนย่อมมีแนวทางในการทำทีมที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งตัวของ ซูลาก้า ก็มีประสบการณ์ร่วมโดยตรงในช่วงเวลาดังกล่าว และได้เล่าถึงการทำงานและแท็คติกที่แตกต่างของเทรนเนอร์ซามูไรเอาไว้ว่า

“ผมว่าการทำงานของ อิชิอิ ก็เป็นเหมือนโค้ชญี่ปุ่นส่วนมาก ซึ่งเขาเป็นโค้ชญี่ปุ่นคนแรกที่ผมได้ร่วมงานด้วย สไตล์การทำทีมโค้ชชาตินี้เหมือนกัน ตัวของ อิชิอิ เชื่อในความคิดตัวเอง มีแนวทางการทำทีมและแนวทางการเล่นที่เขาเชื่อมั่น แล้วเขาก็ทำงานให้ตรงตามแนวคิดของเขาทุกวัน”

“สิ่งที่พวกเราได้เรียนรู้จาก อิชิอิ คือ เรื่องของการเพรสซิ่ง พวกเราต้องวิ่งไล่กดดันคู่แข่งทุกเกมและมีรายละเอียดด้านเทคนิคอีกมากมายที่ต้องคิดตาม ถ้าคุณเคยดูฟุตบอลญี่ปุ่น คุณจะเห็นเลยว่าพวกเขามีเทคนิคที่ยอดเยี่ยมทั้งเรื่องของการจ่ายบอล, การเคลื่อนที่ และการสลับตำแหน่ง ยุคก่อนหน้านี้ บุรีรัมย์ จะเล่นบอลไดเร็คท์มากกว่า ยุคของ อิชิชิ เราต้องปรับมาเล่น โพเซสชั่นฟุตบอล (ครองบอล+ต่อเกม) มากขึ้น นั่นคือความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงที่เกิดขึ้นกับทีม”

PHOTO : Buriram United
“เราต้องต่อบอลตั้งแต่ผู้รักษาประตูขึ้นมา ผู้เล่นต้องดันไลน์ขึ้นสูงทุกตำแหน่ง ทุกคนต้องพยายามแย่งบอลมาจากคู่แข่งให้ได้ในแดนบนเมื่อดันขึ้นไปกดดัน เพื่อที่คุณจะอยู่ในระยะที่ใกล้ปากประตูคู่แข่งมากขึ้น มันง่ายกว่าในการสร้างโอกาสทำประตูที่จะลงมาแย่งบอลตรงพื้นที่ห่างจากปากประตูคู่แข่งระยะ 60 เมตร ถ้าคุณแย่งบอลในแดนคู่แข่งได้ในระยะ 20 เมตร ไม่ใช่ 60 การหาโอกาสเข้าทำประตูก็มีโอกาสประสบผลมากขึ้น”

ยิ่งไปกว่านั้น อิชิอิ ยังมีรูปแบบการซ้อมที่แปลกและแตกต่าง ซึ่งตัวของ ซูลาก้า ยกตัวอย่างขึ้นมาจากประสบการณ์ตรงที่จำได้แม่นว่าเป็นการซ้อมแข่งแบบ 3 ต่อ 3 ซึ่งปกติแล้ว ต้องใช้พื้นที่สนามแบบเล็กหรือสมอลไซส์ แต่โค้ชจากแดนอาทิตย์อุทัยขยายพื้นที่การเล่นแบ่งทีมเป็นครึ่งสนาม แล้วเขาไม่เคยเจอรูปแบบการซ้อมหนักแบบนี้ที่ไหนมาก่อนในชีวิต

PHOTO : Buriram United

ไม่มีใครรู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของการซ้อมนั้นว่า อิชิอิ ต้องการอะไรกันแน่ แต่ถ้าให้ตัวของเขาเดาจากประสบการณ์คงเป็นการซ้อมที่มุ่งหวังเรื่องการพัฒนาจังหวะ เรื่องของสถานการณ์ในการดวลหนึ่งต่อหนึ่งของผู้เล่น ที่ไม่ใช่แค่จะทำให้ลูกทีมดีขึ้นในเรื่องของการเลี้ยงบอล, ครองบอล หรือเล่นเกมป้องกัน แต่รวมไปถึงสภาพความฟิตของร่างกายที่ดีขึ้นอีกระดับเช่นกัน นับว่าได้ประโยชน์หลายด้านในการซ้อมเซสชั่นเดียว

แล้วเมื่อถามมุมมองของ ซูลาก้า ถึงประโยชน์ของทีมชาติไทย ที่เพิ่งจะได้ตัว อิชิอิ มานั่งแท่นเป็นประธานเทคนิคทีมชาติชุดใหญ่ แล้ววันหนึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงมารับตำแหน่งกุนซือในอนาคต ปราการหลังจากอิรักเชื่อว่า ทัพช้างศึก จะมีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบการเล่นของทีมแน่นอน แล้วอาจจะเป็นแนวทางเดียวกับที่เขานำมาพัฒนาสโมสร บุรีรัมย์ หรือไม่ก็เป็นได้ แต่ที่แน่ๆ อิชิอิ จะปรับแก้เรื่องจังหวะการทำประตูในพื้นที่สุดท้าย ที่ยังขาดความเฉียบคมให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ตามที่แชร์ความคิดเห็นไว้ว่า



“ผมไม่ได้ดูเกมการแข่งขันของทีมชาติไทยเต็มเกม (เกมกับเลบานอน) แต่เคยเห็นการเล่นของทีมนี้มาแล้วหลายครั้ง พวกเขามีปัญหาในการเข้าทำประตูในพื้นที่สุดท้าย ทำให้พวกเขาทำประตูไม่ได้มากเท่าไหร่นัก บางที อิชิอิ อาจเข้ามาพัฒนาในจุดนี้ บางทีเขาอาจมีแนวทางการทำงานกับทีมชาติต่างกับตอนทำสโมสร ผมไม่รู้และไม่แน่ใจเลย เราคงได้เห็นกันในอนาคตว่าเขาจะได้ขึ้นมารับตำแหน่งเป็นเฮดโค้ชหรือไม่ แล้วทีมชาติไทยจะมีการเล่นที่เปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า”
PHOTO : Think Curve

ทุกคำถามที่กล่าวไปด้านบนเป็นการเกริ่นนำ ซูลาก้า เพื่อเข้าถึงช่วงคำถามที่อาจจะตอบยากที่สุดในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ นั่นคือ สาเหตุที่แท้จริงที่เขาต้องอำลาสโมสร ‘บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด’ ทีมอันเป็นที่รักของเขา…

ทำไมถึงต้องย้าย-แตกหักกันหรือไม่?

ผลงานของ ซูลาก้า นับตั้งแต่ย้ายมาคุมแนวรับให้กับ บุรีรัมย์ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยอดเยี่ยม จะบอกว่าเขาคือหนึ่งในเซนเตอร์แบ็คที่เป้นโควต้าต่างชาติที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่ผิดนัก แต่ท้ายที่สุดแล้วเมื่อการตัดสินใจของทั้งตัวนักเตะและสโมสรออกมาเป็นการแยกทาง ทั้งที่กวาดแชมป์ร่วมกันถึง 6 ถ้วยในระยะเวลาแค่สองปี แฟนบอลย่อมสงสัยเป็นธรรมดาว่า ทำไมเขาถึงไม่ได้ไปต่อ?

ยิ่งไปกว่านั้นสื่อต่างๆ ในประเทศไทย ต่างก็นำเสนอข่าวในทิศทางที่แตกต่างกันออกไป แต่รวมๆ แล้วออกไปทางดราม่าเสียมากกว่า เหมือนเดาทางจากข้อมูลไปว่าการจบเส้นทางของ ซูลาก้า กับ บุรีรัมย์ นั้นมีเรื่องราวที่เป็นเบื้องลึกเบื้องหลังซ่อนอยู่

แล้วเมื่อทางทีมงานสอบถามไปตรงๆ ซูลาก้า ก็เผยออกมาแบบไม่มีกั๊กว่า

“มันถึงเวลาที่เหมาะสมที่ผมต้องอำลาทีมแล้วแค่นั้นเอง พวกเราคว้าแชมป์ 6 ถ้วยร่วมกัน สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็แค่ ‘วิถีแห่งฟุตบอล’ บางครั้งคุณอยู่กับทีมหนึ่งนาน 10 ปี บางทีคุณก็แค่ต้องการออกจากทีมมาเพื่อหาความท้าทายใหม่ๆ ผมเสร็จภารกิจกับ บุรีรัมย์ แล้วทั้งสองฝ่ายต่างเห็นตรงกันในการยกเลิกสัญญาด้วยดี”
PHOTO : Buriram United


“มันไม่มีดราม่าในทีม เราไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นในสโมสร บุรีรัมย์ ผมสาบานได้เลย พวกเราไม่เคยมีปัญหาต่อกัน มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากในการตัดสินใจลาทีมเพราะผมมีเพื่อนร่วมทีมที่ยอดเยี่ยมที่นั่น มีช่วงเวลาที่น่าจดจำร่วมกัน ดังนั้นมันจึงเป็นห้วงเวลาอันน่าเศร้าแบบที่พวกคุณเห็นจากสีหน้าที่ผมแสดงออกไป”

“พวกเขาต้องการเป็นทีมที่ดีขึ้นกว่าปีก่อน มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาของทีมใหญ่ที่ลงทุนไปมากมายกับการกว้านหานักเตะชั้นยอด ซึ่งพวกเขาต้องการยกระดับทีมอยู่เสมอเลยไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากอะไร บางทีอาจมีคนที่มีศักยภาพดีกว่าตัวผมมาแทนที่ก็ได้”

PHOTO : บอลไทย

“ผมไม่ใช่นักเตะที่ดีที่สุดคนสุดท้ายหรือนักเตะคนท้ายสุดที่จะย้ายมาอยู่กับทีมนี้ มันเป็นเรื่องปกติ คุณจะเห็นเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นกับทีมใหญ่ในวงการฟุตบอลทั่วโลก บางทีผมอาจแค่ดีไม่พอ…มันเลยเป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ในโลกฟุตบอล”

นอกจากนี้ ซูลาก้า เผยว่าเขายังคงติดต่อกับ ป้าต่าย ที่เขาเรียกว่า ‘แม่’ อยู่เป็นประจำทุกสัปดาห์ ต่างฝ่ายต่างถามถึงสารทุกข์สุขดิบ คุยกันเรื่องของสถานการณ์ที่ บุรีรัมย์ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง? ไม่ได้ห่างเหินกันไปไหนไกล แล้วถ้าเขามีจังหวะเวลาที่เหมาะสมจะเดินทางมาร่วมงานปีใหม่ที่เขาพลาดไปแน่นอน

แล้วเป็นเรื่องที่เดาได้ไม่ยากว่า ซูลาก้า จะได้รับการติดต่อจากทีมใน ‘ไทยลีก’ ที่พยายามชักชวนให้ย้ายไปร่วมสังกัด แต่เขาขอให้เกียรติทีมดังกล่าวไม่ขอเอ่ยชื่อสโมสรออกไป แต่เขาเลือกที่จะกลับไปเล่นที่บ้านเกิดในสวีเดนมากกว่าเพราะออกมาค้าแข้งในต่างประเทศนานถึง 8 ปีแล้ว

PHOTO : Think Curve

ทุกวันนี้เขามีความสุขดีกับการค้าแข้งให้กับ บรอมมาโปจการ์น่า ห่างจากที่พักของครอบครัวแบบใช้เวลาเดินทางถึงกันเพียงแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ทำให้เขาได้กลับไปกินข้าวฝีมือแม่ เจอหน้าญาติพี่น้องทุกๆ สองวัน แต่เขาก็ทิ้งท้ายเอาไว้ว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกของฟุตบอล ตัวของเขาไม่ได้ปิดประตูในการย้ายกลับมาเล่นในเมืองไทยที่มองว่าเป็นบ้านหลังที่สองของเขา ซึ่งต้องมาลุ้นกันต่อไปในอนาคต

ข้อความที่อยากฝากบอก

ในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ ซูลาก้า ได้ฝากข้อความไปถึงเหล่าแฟนบอล GU12 ของสโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ยังคงคิดถึงเขาให้ตามเชียร์สโมสรที่เขารักต่อไป อย่าได้ไปยึดติดกับนักเตะในทีมคนใดคนหนึ่ง เพราะต้องให้ความสำคัฐกับสโมสรมาเป็นอันดับแรกเสมอ

ช่วงเวลาที่เขาอยู่กับทีมเป็นเวลาสองปี คือ โมเมนต์ที่แสนพิเศษ เขาหลงรักสโมสรนี้จากใจจริง ขอบคุณแฟนๆ ที่ให้การสนับสนุนเขาตั้งแต่วันแรกและเป็นผู้ให้ที่ดีเสมอมาจากการนำ ของขวัญ, อาหาร หรือมาถ่ายรูปเพื่ออำลา พร้อมอวยพรเขาในวันที่จากทีมไป ตามที่หยอดคำหวานไว้ว่า



“ผมมีความสุขมากที่ได้มาเล่นที่นี่ เอาจริงๆ แล้วมันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมและมันยิ่งใหญ่ขึ้นไปกว่าเดิมอีกหลังจากที่ผมได้มีโอกาสได้เล่นให้กับทีมที่ดีที่สุดในประเทศไทย คว้าถ้วยรางวัลมาครองได้ถึง 6 แชมป์ร่วมกัน มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ เป็นช่วงเวลาที่น่าเหลือเชื่อ สำหรับผมแล้วมันไม่ใช่แค่เรื่องของฟุตบอลที่วิเศษ แต่มันนับรวมถึงเรื่องนอกสนามด้วย”
PHOTO : Think Curve

ส่วนของขวัญทุกชิ้นเขายังคงเก็บรักษาไว้อย่างดี ด้านอาหารที่นำมามอบให้เขากินมันด้วยความเต็มใจ ทุกวันนี้ตัวเขาแค่เปลี่ยนสถานะจากผู้เล่นของทีม บุรีรัมย์ มาเป็นแฟนบอลของทีมเท่านั้น แล้วจะตามเชียร์ ปราสาทสายฟ้า ทุกเกมเมื่อมีโอกาส

ยิ่งไปกว่านั้น ซูลาก้า ยังฝากข้อคิดสำคัญไปถึงเหล่านักเตะต่างชาติ ที่กำลังตัดสินใจจะมาค้าแข้งในประเทศไทย แล้วมองว่าลีกนี้น่าจะง่ายเอาไว้ว่า



“ไทยลีก นั้นเล่นยากกว่าที่นักเตะหลายๆ คนคิดเอาไว้ แน่นอนว่าตัวผมก็เคยคิดว่ามันจะง่ายกว่านี้ตอนผมย้ายมาเล่นที่นี่ แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะเล่นที่นี่ ลีกนี้มีผู้เล่นฝีเท้าดีมากมาย ตัวต่างชาติคุณภาพเยี่ยม และรวมไปถึงผู้เล่นท้องถิ่น”
PHOTO : Think Curve
“ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ง่ายเลยที่จะเล่นที่นี่ในช่วงฤดูฝน เมื่อฝนตกลงมา ตกลงมามากๆ มันเหมือนเป็นเกมที่มีความยกมากขึ้นอีกระดับแบบพิเศษ เพราะว่าคุณจะต้องเล่นในสภาพสนามที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละพื้นที่”

จากผลงานที่เห็นในเกมนัดชิงชนะเลิศศึก คิงส์คัพ ครั้งที่ 49 เห็นได้ชัดว่า ซูลาก้า คุ้นเคยกับการเล่นในเมืองไทยทุกสภาพอากาศจริงๆ และรู้วิธีการรับมือกับนักเตะของเรา จนสามารถพาทีมไปถึงตำแหน่งแชมป์ได้อย่างที่ตั้งธงเอาไว้ ซึ่งเป็นเหมือนการการันตีได้ว่า เขามาเล่นที่เมืองไทยเมื่อไหร่ ต้องมีแชมป์ติดมือกลับไปเสมอ

แหล่งข้อมูลอ้างอิง : สัมภาษณ์พิเศษโดย : ต้อง-พุฒิพงศ์ แสงโชติ

บทความที่เกี่ยวข้อง :

เก่งเทคนิค ไม่เก่งแท็คติก : ซูลาก้า วิเคราะห์ไทยชุดคิงส์ คัพ ละเอียดยิบ

แชร์บทความนี้
mask-bg
logo-black

SOCIAL MEDIA

สนใจโฆษณาติดต่อ