สิงห์สำรองจองม้านั่ง : คนที่ถูกเรียกลุยบอลโลกแต่ไม่ได้ลงเล่นเลยมีไว้เพื่ออะไร ?
เจมส์ แมดดิสัน, เปาโล ดิบาลา, คาริม อเดเยมี และนักเตะชื่อดังอีกหลายคนถูกทีมชาติของพวกเขาเรียกตัวมาลุยฟุตบอลโลก 2022 แต่กลับไม่ได้ลงเล่นเลยแม้แต่วินาทีเดียว
พวกเขาเหล่านี้เป็นตัวหลักกับต้นสังกัด แต่ในทีมชาติกลับเป็นเหมือนตัวประกอบ และแท้จริงแล้วนักเตะสายตัวสำรองจับจองม้านั่งแบบนี้ถูกเรียกติดทีมมาเพื่ออะไร ? ... ร่วมหาเหตุผลกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง ที่นี่
น้องรับจบ พี่รับเจ็บ
โดยปกติเเล้วโค้ชแต่ละจะเลือกนักเตะสำหรับลุยฟุตบอลทัวร์นาเม้นต์โดยมีสารตั้งตอนจากผลประโยชน์ของทีมเป็นอันดับแรก ดังนั้นคุณจะได้เห็นดราม่าจากแฟนบอลบ่อย ๆ เวลาที่มีการประกาศรายชื่อว่าทำไมคนนั้นไม่ติด หรือคนนี้ติดมาได้ยังไงสงสัยจะเป็นเด็กเส้น… อะไรก็ว่ากันไป
ความจริงจะใช้คำว่าเด็กเส้นนั้นอาจถูกต้องในระดับหนึ่ง แม้จะดูแรงไปก็ตาม เพราะการเลือกนักเตะที่ขัดใจแฟนบอล แต่มีประโยชน์ต่อทีม ตอบโจทย์กับวิธีการเล่น และเป็นคนที่รู้ไม้รู้มือกันเป็นอย่างดี ว่าง่าย ๆ ก็การมีนักเตะคนนี้ไว้ในทีมนั้นอุ่นใจกว่า การที่พวกเขาอาจจะเลือกนักเตะที่ตัวเองไม่คุ้นเคยแม้จะเป็นนักเตะที่แฟนบอลเรียกร้องให้ติดทีมก็ตาม เพราะในท้ายที่สุดแล้วคนที่ต้องรับผิดชอบจากผลการแข่งขันคือพวกเขาคนเดียวเท่านั้น
“เราเลือกทีมที่จะมีเรื่องของความฟิตของผู้เล่นในระดับต่างกัน และเราต้องนำทั้งหมดมาคัดเลือกคนที่จะลงสนาม”
“เราตัดสินใจเลือกแนวรับที่มีประสบการณ์มาก มากกว่าเลือกผู้เล่นที่มีประสบการณ์น้อย ซึ่งเราประเมินว่าพวกเขายังไม่พร้อมมากพอสำหรับการเค้นประสิทธิภาพออกมา เราคิดถึงทัวร์นาเมนต์ที่เราต้องการเกมที่ดีที่สุดในทุกเกม” แกเรธ เซาธ์เกต กุนซือทีมชาติอังกฤษ กล่าวประโยคนี้หลังจากที่แฟนบอลส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่เขาเลือก แฮร์รี่ แม็คไกวร์ กองหลังที่หลุดไปเป็นตัวสำรองกับ แมนฯ ยูไนเต็ด เหนือกองหลังอีกหลาย ๆ คนที่แฟนบอลคิดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แม็คไกวร์ เป็นต้น
สิ่งที่ยืนยันได้ก็คือ หลาย ๆ ครั้งการเลือกตัวที่มาเล่นเเล้วลงตัว คุ้นเคยกับแท็คติก รู้นิสัยใจคอกันดี นั้นเหมาะกับฟุตบอลทัวร์นาเม้นต์ที่มีเวลาเตรียมทีมน้อย และวัดกันแบบเกมต่อเกม ซึ่งนั่นเป็นเหุตที่โค้ชหลายคนมักจะเรียกตัวขัดใจแฟนบอลอยู่เสมอ
อย่างไรก็ตามมีนักเตะอีกประเภท ที่บางครั้งก็ต้องเรียกเข้ามาเพื่อเอาใจมหาชนในทางอ้อมด้วย กล่าวคืออาจจะเป็นนักเตะที่โค้ชไม่ค่อยใช้งานในเกมทีมชาติ แต่ด้วยฟอร์มกับสโมสรที่ร้อนแรง เด่นเกินใคร ดังนั้นการเลือกนักเตะเหล่านี้มาติดทีมก็จะมีประโยช์อีกแบบหนึ่ง
ประโยชน์ของนักเตะพวกนี้คือสามารถลดเเรงเสียดทานจากคำวิจารณ์ของแฟนบอลได้ ทำให้บรรยากาศในแคมป์ไมตึงเกินไปนัก นอกจานี้นักเตะเหล่านี้ก็อาจจะเป็น "ไพ่โจ๊กเกอร์" หรือทีเด็ดในยามที่ทีมต้องการสิ่งใหม่ ๆ แตกต่างจากเดิมที่เคยเป็น
น่าเสียดายที่นักเตะประเภทนี้จะหาโอกาสลงยากสักหน่อย เพราะในเกมระดับฟุตบอลโลก โค้ชแต่ละคนแบกความกดดันหนักมาก และการเเข่งขันก็สูงเกินกว่าจะปล่อยนักเตะที่ไม่รู้จักกันลึกมากพอลงไปเล่น นั่นจึงทำให้เราได้เห็นนักเตะดี ๆ หลายคนที่ได้ไปเล่นในรายการใหญ่ แต่กลับไม่เคยได้ลงสนามเลยแม้แต่วิธีเดียว
แน่นอนว่ามันคือวิธีมืออาชีพ แต่ในจิตใจของพวกเขานั้น ส่วนใหญ่แล้วโอเคหรือไม่กับบทบาท "ตัวสำรอง 100%" หรือนักเตะประเภท "เรียกมาเผื่อ" แบบนี้ ?
#ทีมใจสลาย
การถูกเรียกติดทีมชาติคือสิ่งที่นักเตะแทบทุกคนต้องการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฟุตบอลโลกด้วยแล้ว การได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมถือเป็นความภูมิใจของชีวิตก็ว่าได้
ดังนั้นเราจึงได้เห็นนักเตะหลายคนเสียน้ำตาเพราะความดีใจ หรือไม่ก็กระโดดโลดเต้นมีความสุข เมื่อรู้ว่าตนคือ 1 ในนักเตะที่โค้ชเชื่อใจ
ความรู้สึกแบบนั้นแสดงออกมาโดยไม่ต้องอธิบาย ภาษากายของพวกเขาต่างก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าเป็นช่วงเวลาที่หลายสิ่งหลายอย่างผสมรวมกันไม่ว่าจะความดีใจ ความภูมิใจ และเหนือสิ่งอื่นใดคือความหวังว่าทัวร์นาเม้นต์นั้นจะเปลี่ยนชีวิตค้าแข้งของพวกเขา
หรือไม่ก็ทำให้พวกเขากลายเป็นตำนานหน้าใหม่ของโลกฟุตบอลได้ภายในช่วงเวลาแค่เดือนเดียว…
ยิ่งตั้งความหวังไว้สูงมากเท่าไหร่ถ้าความจริงผลออกมาเป็นตรงกันข้ามมันก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น...
มัสซิโม ลูออนโก้ กองกลางทีมชาติออสเตรเลีย ที่ลงได้เข้าแข่งขันฟุตบอลโลก 2 สมัย(ปี 2014 และ 2018) แต่กลับไม่เคยได้เล่นเลยแม้แต่นาทีเดียว คือคนที่เข้าใจเรื่องนี้มากที่สุด
"ผมไปฟุตบอลโลกปี 2014 ตอนนั้นผมฟอร์มดีมาก ๆ กับ คิวพีอาร์ ผมกับ ไมล์ เยดินัก(กองกลางอีกคนของทีม) แทบจะเบียดตำแหน่งกันแบบหายใจรดต้นคอ... ครั้งหนึ่ง แม็ต ไรอัน บอกกับผมว่า เบิร์ท ฟาน มาร์ไวค์ กระซิบกับเขาว่า ผม กับ เยดินัก คือคนที่ ฟาน มาร์ไวค์ คิดหนักว่าจะส่งใครลงสนามดี" ลูออนโก้ เริ่มเล่า
"ผมเริ่มมีความหวังแต่หลังจากนั้น ฟาน มาร์ไวค์ ก็ยึดติดกับสิ่งที่เขาเลือก คิดว่าถ้าเราเป็นฝ่ายขึ้นนำก่อนผมน่าจะได้เล่นสักเกมเพื่อสร้างความแกร่งในเเดนกลาง แต่โชคไม่ดีที่เราโดนนำอย่างเดียว และเขาก็ไม่เคยพูดกับผมว่า 'ไปวอร์มอัพซะ' ... ตอนนั้นผมอยากจะบอกเขาด้วยว่าผมนี่โคตรจะเหมาะกับตำแหน่งเบอร์ 10 เลย แต่สุดท้ายก็ได้เเต่เก็บมันไว้ในใจ" ลูออนโก้ กล่าว ขณะที่อีก 4 ปีต่อมา เขาถูกเลือกไปเล่นฟุตบอลโลก 2018 อีกครั้ง และต้องเจอกับสถานการณ์เดิม
"ปี 2018 ผมคิดว่าผมจะได้เป้นส่วนสำคัญ ผมบอกให้ภรรยาของผมเดินทางมารัสเซีย เธอจะได้ดูผมเล่น เพราะผมต้องการกำลังใจ”
“ตอนนั้นผมมั่นใจมาก ๆ เลยนะฟอร์มโดยรวมผมดีมาก มีทีมจาก เซเรีย อา และ บุนเดสลีกา มาดูฟอร์มผมด้วย แต่มันก็ไม่เป็นแบบนั้น สุดท้ายผมแอบมาร้องไห้ในห้อง และบอกกับตัวเองว่า 'นี่กูมาทำห่าอะไรที่นี่วะ"
"เอาเถอะ ผมไม่อยากโทษใคร ผมมองมาที่ตัวเองเป็นอันดับแรก แต่ถึงอย่างนั้นผมว่าผมได้ทำทุกอย่างเท่าที่ผมจะทำได้เเล้ว แต่ผมก็ไม่เคยได้รับโอกาสนั้น" เขากล่าวกับ The Athletic
มีนักเตะอีกหลายคนที่ถึงแม้ไม่พูด ไม่ให้สัมภาษณ์ แต่ก็ผิดหวังกับการถูกเลือกติดทีม แต่ไม่ถูกส่งลงสนาม นับตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2006 เป็นต้นมา มีนักเตะเอาท์ฟิลด์มากถึง 311 คน ที่รับชะตากรรม "นั่งดูเพื่อนเล่น" และผิดหวังกับโอกาสการลงสนามของตัวเอง อาทิ เจมี่ วาร์ดี้ ที่ติดทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลก 2018 แต่ก็ได้โอกาลงเล่นเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น หลังจบฟุตบอลโลกเขาก็ประกาศลาทีมชาติทันที
และในฟุตบอลโลกครั้งนี้นักเตะทีมชาติอเมริกาอย่าง จิโอวานี เรย์นา ก็เป็นอีกคนที่ถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ เพียงเพราะเขาถูกยืนยันว่า "จะได้ลงเล่นแบบจำกัด" ซึ่งมันผิดกับสิ่งที่เขาคาดไว้เยอะ
"ก่อนฟุตบอลโลก โค้ชบอกผมว่าบทบาทของผมในทัวร์นาเมนต์จะถูกจำกัดมาก ผมเสียใจมาก ผมคาดหวังอย่างเต็มที่และต้องการอย่างยิ่งที่จะมีส่วนร่วมกับการเล่นของกลุ่มที่มีพรสวรรค์ในขณะที่เราพยายามสร้างแถลงการณ์ในฟุตบอลโลก”
"ผมเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวมาก และผมก็ยอมรับอย่างเต็มที่ว่าผมปล่อยให้อารมณ์เข้ามาควบคุมตัวเอง และส่งผลต่อการฝึกซ้อมและพฤติกรรมของฉันในสองสามวันหลังจากเรียนรู้เกี่ยวกับบทบาทที่จำกัดของจตัวเอง" เรย์นา ที่โดนเพื่อนร่วมทีมโหวตให้โค้ชส่งกลับบ้านถึง 12 เสียง (จาก 25 คน) กล่าวหลังจาก อเมริกา ตกรอบในด้วยการแพ้ เนเธอร์แลนด์ ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
โซล บัมบา นักเตะทีมชาติไอวอรี่โคสต์ ชุดฟุตบอลโลก 2010 ที่ไม่ได้ลงสนามสักเกมสรุปเรื่องนี้ว่า "การไม่ได้ลงสนามนั้นเจ็บปวด และทำให้คุณยิ้มไม่ออกในตอนนั้น... ผมว่าทุกคนน่าจะรู้สึก แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครเลือกที่จะพูดมันออกมาเท่านั้นเอง"
#ทีมทุ่มสุดตัว
แม้จะดูน่าผิดหวังสำหรับหลายคน แต่เรื่องแบบนี้บางครั้งมันอยู่ที่มุมมอง… แค่พลิกมาอีกด้าน เราจะได้เห็นนักเตะอีกประเภททันที
นักเตะส่วนใหญ่อาจผิดหวัง แต่สำหรับบางคนพวกเขาเป็นปลื้มที่ได้มามีส่วนร่วมกับทีมในฟุตบอลโลกแม้จะไม่ได้ลงเล่นเลยก็ตาม
นักเตะหลายคนขอแค่ได้เป็นส่วนหนึ่งกับทีม ได้ซ้อมและอยู่ร่วมกันระหว่าง 6 สัปดาห์ในทัวร์นาเม้นต์ ยกตัวอย่างเช่น สตีเฟ่น วอร์น็อค แบ็คซ้ายทีมชาติอังกฤษที่ไม่ได้ลงเล่นในฟุตบอลโลก 2010 เลยแม้แต่นาทีเดียว แต่เขาก็ไม่ผิดหวังอะไร
เขาบอกว่าเขาเตรียมใจมาตั้งนานเเล้ว เพราะคนที่ขวางเขาอยู่คือ แอชลี่ย์ โคล แบ็คซ้ายที่ดีที่สุดในโลก ดังนั้นการที่เขาจะเป็นตัวสำรองของ โคล ก็เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ และฟุตบอลโลกหนนั้นเขาก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์ดี ๆ มากมาย
เควิน โกรสครอยซ์ นักเตะทีมชาติเยอรมันชุดเเชมป์โลกปี 2014 เล่ามุมมองของเขาที่ไม่ได้ลงเล่นในฟุตบอลโลกครั้งนั้นว่า "โลกนี้ไม่มีคำว่าส่วนเกินของทีมแชมป์โลก ... ผมอยู่กับทีมตลอด ทุ่มสุดตัวในการซ้อม มีส่วนร่วมกับทุก ๆ บรรยากาศ ไม่ว่าคนจะพูดถึงผมแบบไหน แต่สำหรับผมนั้นคิดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ทุกคนที่อยู่ในทีมชุดนั้นคือแชมป์ฟุตบอลโลก"
ขณะที่บางคนนอกจากจะขยันซ้อมแล้ว ยังทำตัวให้มีประโยช์มากกว่าการเชียร์เพื่อนข้างสนามเฉยๆ อดิล รามี่ ปราการหลังทีมชาติฝรั่งเศสชุดฟุตบอลโลกปี 2018 นั้นไม่ได้ลงเล่นสักเกมเช่นกัน แต่เขาเองก็รู้ว่าต่อให้ไม่ได้เล่น เขาก็ยังมีประโยชน์ให้กับทีมชุดนี้ได้ในแง่อื่น ๆ เช่นเรื่องของการปรับบรรยากาศในทีม และช่วยให้เพือนรู้สึกผ่อนคลาย
"หน้าที่ของผมน่ะเหรอ...คอยสร้างบรรยากาศฮา ๆ ให้กับทีม" รามี กล่าวในรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่ ฝรั่งเศส พบ อุรุกวัย ซึงปลายทางคือฝรั่งเศสได้เป็นแชมป์โลก และหนึ่งในคนที่ฉลองสุดเหวี่ยงที่สุดก็คือเขานี่แหละ ซึ่งนักเตะที่มีความเป็นมืออาชัพและมีคาแร็คเตอร์ที่สร้างพลังใจแง่บวกให้ทีมอย่างเขาก็ถูกใจ ดิดิเย่ร์ เดส์ชองส์ เป็นอย่างมาก
"ไม่จำเป็นต้องเลือกผู้เล่นที่ดีที่สุดทั้งหมด 23 คน...ผมรู้ดีว่านักเตะบางคนสมควรได้ไปฟุตบอลโลก แต่พวกเขาจะไม่อยู่ในรายชื่อของผม” เดส์ชองส์ กล่าวเมื่อ 4 ปีก่อน
“ในทีมชุดที่ลุยรัสเซีย ผู้เล่นบางคนจะไม่ได้ลงเล่นหรือจะเล่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น... จริงอยู่ที่คุณภาพฟุตบอลเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ แต่แง่มุมทางสังคมและจิตวิญญาณของทีมก็มีความสำคัญเช่นกัน”
สุดท้ายแล้วจะผิดหวังหรือภูมิใจขึ้นอยู่กับทัศนคติของแต่ละคน บางคนคิดว่าพวกเขาดีกว่า พยายามมากกว่าคนอื่น ๆ พวกเขาก็มีสิทธิ์คิดว่าอย่างน้อย ๆ โอกาสก็ควรเป็นของพวกเขาบ้าง ... ขณะที่บางคนมาแบบไม่ได้คาดหวังอะไร อยากใช้เวลาที่ดีที่สุดในช่วงของทัวร์นาเม้นต์ และค่อยมาวัดกันว่าในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะได้อะไรกลับไปบ้าง
ฟุตบอลไม่ใช่แค่เรื่องของในสนามเท่านั้นอย่างที่ เดส์ชองส์ บอกในแง่ของความเป็นมนุษย์สำคัญไม่แพ้สิ่งไน ... โค้ชเป็นคนตัดสินใจและรับผิดชอบทุกสิ่งที่เกิดขึ้น นักเตะจะคิดอย่างไร สื่อจะคิดแบบไหน เรื่องนี้สามารถลบล้างได้ด้วยผลงานดี ๆ เท่านั้นเอง นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมโค้ชบางคนจึงดูใจร้ายมากมายนัก
https://www.stadiumastro.com/bola-sepak/reyna-disappointed-reports-poor-world-cup-behaviour-226149
https://theathletic.com/3571363/2022/12/13/world-cup-no-minutes-maddison/
https://bleacherreport.com/articles/2793018-jamie-vardy-retires-from-international-football-wont-shut-door-completely
https://www.goal.com/en/news/why-vardy-no-longer-plays-for-england--could-he-be-called-up-for-euro-2021/1obk511zazhd8118kk2s146pr7
https://www.scotsman.com/sport/hibs-bambas-world-cup-dreams-1718672