‘สิทธา บุญหล้า’ : กลางรับเจ้าของฉายา ‘บุสเก็ตส์เมืองไทย’ ที่แบกอายุเล่นมาตลอด
หลังจากที่ทีมชาติไทย ชุดอายุไม่เกิน 23 ปี ลุยศึก เอเชียน เกมส์ ครั้งที่ 19 ที่ประเทศจีน ตกรอบด้วยการแพ้ให้กับ ทีมชาติอิหร่าน 0-2 ทั้งที่รูปเกมโดยรวมถือว่าสู้ได้ดี แต่แพ้ภัยตัวเองด้วยการเสียประตูจากความผิดพลาดส่วนบุคคล
แน่นอนว่าผู้เล่นหลายรายจากทีมชุดนี้ มีโอกาสก้าวขึ้นเป็นกำลังสำคัญให้กับทัพช้างศึกชุดใหญ่ในอนาคต ซึ่งหนึ่งในนักเตะแดนกลางที่ทำผลงานได้ดี และได้โอกาสลงเป็นตัวจริงสองนัดติดในเกมกับ คูเวต และ อิหร่าน ทั้งที่อายุเพียงแค่ 19 ปี คือ ‘พีม-สิทธา บุญหล้า’ เจ้าของฉายา ‘บุสเก็ตส์เมืองไทย’
การลงสนามของเขาในสองเกมหลังสุด นับว่าช่วยเติมมิติในแผงมิดฟิลด์ของทีมให้เล่นเกมรับได้ดีขึ้น ครองบอลได้มากขึ้น ด้วยการอาศัยเชิงบอลที่เกินอายุควบคุมจังหวะเกม พร้อมกับวิสัยทัศน์การออกบอลที่แตกต่างจากผู้เล่นคนอื่นๆ ในตำแหน่งเดียวกัน
เรื่องราวจุดเริ่มต้นก่อนที่ พีม จะมีวันนี้ เขาต้องฝ่าฟันอะไรมาบ้าง? เกียรติประวัติที่ผ่านมาของเขาที่แบกอายุเล่นมาตลอดตั้งแต่เป็นนักบอลโรงเรียนเป็นเช่นไร? โค้ชที่ได้ร่วมงานด้วยกับเขามองว่าศักยภาพของเขาเป็นเช่นไร? ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
จุดเริ่มติดลบจากโรคหอบหืด
พีม-สิทธา ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับร่างกายที่แข็งแรงเหมือนเด็กคนอื่นๆ เจ้าตัวมีโรคประจำตัว คือ ‘หอบหืด’ ที่ต้องไปพ่นยากับคุณหมอทุกอาทิตย์ เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตได้เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน ซึ่งหนทางของเขาที่จะหายจากโรคนี้ได้ มีเพียงทางเดียวเป็นการใช้กีฬาเข้าช่วย
เขาเริ่มต้นจากการวิ่ง พอต่อมาก็ได้ไปหัดเล่นฟุตบอลในหมู่บ้านกับรุ่นพี่แถวบางบอน พอร่างกายพัฒนาจนหายขาดจากโรคประจำตัว พีม ก็พร้อมจะต่อยอดบนเส้นทางนี้อย่างจริงจัง แล้วได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวให้ไปฝึกฟุตบอลกับ แชมเปี้ยนส์ อคาเดมี่ โดยมีโค้ช วิษณู วรรณา ติวเข้มให้ตั้งแต่ 7-10 ขวบเป็นเวลาสามปีเต็ม
นอกจากนั้นโค้ช วิษณุ พยายามต่อยอดให้เด็กๆ ในเกิดในปี 2547 ทั้งหมด 10 คนยกรุ่น ได้ไปทดสอบฝีเท้าคัดตัวกับเต้ยแห่งวงการฟุตบอลนักเรียนอย่าง อัสสัมชัญ ธนบุรี ในโครงการช้างเผือก ที่จะหานักเตะฝีเท้าดีช่วง ป.5 นำตัวไปชุบเลี้ยงต่อ กิน-นอน และฝึกฟุตบอลในรูปแบบโรงเรียนประจำ ซึ่งนั่นเป็นข้อมูลเดียวที่ สิทธา รับรู้ในตอนนั้นและไม่ได้รู้จักทีม ‘เจ้าสัวน้อย’ มาก่อนเลย
สุดท้ายเขาเป็น 1 ใน 3 นักเตะจากอคาเดมี่ ที่ได้รับเลือกเข้าโครงการช้างเผือก มีโอกาสศึกษาต่อกับ อัสสัมชัญ ธนบุรี ทั้งในเรื่องการเรียนและทักษะลูกหนัง โดยทาง พีม ได้พูดถึงสิ่งที่เปลี่ยนไปหลังจากต้องไปใช้ชีวิตรูปแบบโรงเรียนประจำเอาไว้ว่า
“เมื่อก่อนผมเล่นกลางแบบ บ็อกซ์ ทู บ็อกซ์ สองตัว บางทีก็วนไปกลางรุกบ้างกลางรับบ้าง พอเข้ามาเรียนที่นี่ต้องใช้ชีวิตเอง ดูแลตัวเอง ตัวผมก็มีระเบียบวินัยมากขึ้น รู้ว่าเป้าหมายของเราต้องทำอะไร”
“ทุกคนต้องมีระเบียบวินัย รู้ตัวเองว่าทำอะไรอยู่ อยากขอบคุณทางโรงเรียนและสปอนเซอร์ที่เชื่อมั่นในตัวผมและให้โอกาสผม”
สิทธา เริ่มตั้งความหวังว่าอยากเดินรอยตามรุ่นพี่จากโรงเรียนนี้ ที่สามารถก้าวไปประสบความสำเร็จในอาชีพการเป็นนักฟุตบอล อาทิ ธีราทร บุญมาทัน, ธีรศิลป์ แดงดา หรือ สารัช อยู่เย็น ให้ได้ ซึ่งเจ้าตัวก็ใช้ภาพจำของพวกเขาเป็นเป้าหมายที่ตัวเองต้องไปให้ถึง
ความสำเร็จในระดับบอลนักเรียนของเขา ได้แชมป์กรมพลศึกษาถ้วย ก. ในรุ่น 14 ปี, รุ่นอายุ 16 ปีที่แบกอายุไปเล่น รวมไปถึง ยูธ ลีก 15 ปี จากผลงานอันโดดเด่นของเขาในรายการที่กล่าวมา ทำให้เขามีชื่อติดทีมชาติชุด ยู-14 เป็นครั้งแรก และต่อเนื่องมาทุกชุดจนถึงทุกวันนี้ ไล่มาตั้งแต่ ยู 15 - ยู-23 แล้วได้ร่วมงานกับทีมงานของ เอคโคโน่ ที่ดูแลการพัฒนาเยาวชนตามสัญญาที่เซ็นไว้กับ สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย
พรสวรรค์ที่เกินอายุ
พีม เป็นหนึ่งในกำลังสำคัญพาทีมเป็นแชมป์ ฟุตบอล ช้าง จูเนียร์ คัพ 2019 ที่มีการต่อยอดให้นักเตะได้ไปฝึกฟุตบอลยังประเทศอังกฤษกับสโมสร เอฟเวอร์ตัน และยังได้รับเลือกเป็นผู้เล่นในโครงการ ไทยเบฟ ไทยทาเลนท์ ที่ทางเครื่องดื่มช้างดูแลเป็นพิเศษยาวนานถึง 3-4 ปี
ยิ่งไปกว่านั้น พีม ที่ถูกเรียกตัวเข้าแคมป์ทีมชาติในระดับเยาวชนเป็นขาประจำ ได้ร่วมงานกับทีมโค้ชจาก เอคโคโน่ ปกติแล้วนักเตะทุกคนจะถูกทีมงานวิเคราะห์รายละเอียดการเล่นเป็นการเก็บข้อมูล เพื่อนำไปแก้ไขจุดอ่อนเพื่อพัฒนาให้ตรงจุด ซึ่งหนึ่งในโค้ชคนสำคัญในทีมงานนั้น คือ ‘ซัลบาดอร์ บาเลโร่ การ์เซีย’
สิทธา ถือเป็นนักเตะที่มีพรสวรรค์โดดเด่น ถูกเรียกตัวมาเข้าแคมป์ทีมชาติยู-23 ตั้งแต่อายุยังไม่เต็ม 17 ปีดี นับเป็นผู้เล่นอยุน้อยที่สุดเท่าที่เคยเรียกตัวมารับใช้ชาติในรุ่นดังกล่าว ซึ่งถ้าถามถึงเหตุผลคงไม่พ้นเรื่องของฝีเท้าที่เกินอายุ ตามที่ทาง ซัลบาดอร์ เคยยกย่องเอาไว้ว่า
“สิทธา บุญหล้า มีสไตล์การเล่นฟุตบอลที่คล้ายคลึงกับ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ แห่งไทยแลนด์ สิ่งที่เหมือนกันระหว่างสองคนนี้เป็นเรื่องของวิธีการเล่นที่ใช้สมอง มีฝีเท้าดี รวมไปถึงการมีทัศนคติการเล่นที่ยอดเยี่ยม”
“อย่างไรก็ตาม เขายังมีสิ่งที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติมในเรื่องของความแข็งแกร่งของร่างกาย รวมถึงการเก็บประสบการณ์ในการเล่นในระดับที่สูงขึ้น เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะทำให้เขากลายเป็นสุดยอดกองกลางในอนาคต”
นับจนถึงตอนนี้ในวัย 19 ปี สิทธา ผ่านการเล่นฟุตบอลอาชีพมาแล้วตั้งแต่ระดับ ไทยลีก 3 กับสโมสร ไพรม์ แบงค็อก และ อัสสัมชัญ ยูไนเต็ด, ไทยลีก 2 กับสโมสร คัสตอม ยูไนเต็ด และได้ลงเล่นกับต้นสังกัดที่แท้จริงอย่าง การท่าเรือ เอฟซี ในลีกสูงสุดในฤดูกาลนี้มาแล้ว 2 นัด
เป้าหมายต่อไป
ตัวของ สิทธา เพิ่งจะได้มีโอกาสไปฝึกฝนวิชาลูกหนังกับสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ เป็นช่วงสั้นๆ เพื่อเก็บประสบการณ์มาพัฒนาตัวเองต่อไป เช่นเดียวกับ ธีรศักดิ์ เผยพิมาย เพื่อนร่วมทีมทั้งในสโมสรและทีมชาติ ซึ่งจากการที่ต้นสังกัดไม่ปล่อยตัวเขาออกไปให้ทีมอื่นยืมตัวไปใช้งาน ย่อมหมายความว่า พีม น่าจะได้รับโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่องมากขึ้นในซีซั่นนี้
ความฝันของ พีม มีการมองไกลไปถึงการออกไปเล่นฟุตบอลในต่างประเทศ ซึ่งปลายทางที่มองไว้ คือ สเปน และ ญี่ปุ่น แล้วเมื่อมองจากช่วงอายุของเขาในวัยแค่ 19 ปี เป้าหมายของเขามีความเป็นไปได้อยู่และไม่สายจนเกินไป
ส่วนผลงานกับทีมชาติล่าสุดที่ต้องแบกอายุระดับ 3-4 ปี ไปลุยศึก เอเชียน เกมส์ ที่ผ่านมา แล้วได้ดวลกับชาติชั้นนำของเอเชียอย่าง คูเวต และ อิหร่าน คงช่วยเพิ่มประสบการณ์และกระดูกฟุตบอลให้กับเขาเป็นอย่างดีเช่นกัน
ซึ่งตัวของ สิทธา นั้นรับรู้ถึงความคาดหวังของแฟนบอลไทย พร้อมกับกล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ตั้งแต่ทัวร์นาเมนต์ก่อนๆ ว่า
“ผมอยากให้แฟนบอลคอยเชียร์ คอยให้กำลังใจ ทุกคนจะพยายามเล่นให้มันดี ให้ผลงานออกมาได้ชื่นใจทุกคนที่คอยเชียร์”
“แต่ผมก็ไม่สามารถบอกได้ว่าจะผลการแข่งขันจะออกมาชนะหรือเป็นแบบไหน ซึ่งผมก็จะพยายามอย่างดีที่สุด เล่นฟุตบอลให้ได้แบบที่แฟนบอลอยากเห็น รูปแบบการเล่นที่พวกเราซ้อมมาจะทำให้มันเห็นภาพว่าใช้ได้ในการแข่งขัน”
แม้ว่าผลการแข่งขันในรายการ เอเชียน เกมส์ ครั้งล่าสุด ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย จะไม่สามารถคว้าเหรียญรางวัลมาครองได้ แต่ภาพรวมในการสู้กับทีมชั้นนำของเอเชียได้สูสี พ่ายไปจากควมผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ด้วยสภาพทีมที่ไม่ได้ไปแข่งด้วยความพร้อมสูงสุด คงจะพอสร้างความประทับใจให้แฟนๆ ได้อยู่พอสมควร
ซึ่งผลงานของ สิทธา กับการลงเป็นตัวจริงในเกมสำคัญสองนัดติด แล้วสามารถโชว์ฟอร์มอยู่ในระดับที่น่าพอใจ คงบ่งบอกได้เป็นนัยว่า ถ้าเขายังคงมีพัฒนาการฝีเท้าที่เป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในอนาคตอันใกล้เขาคงจะก้าวขึ้นไปเป็นหนึ่งในตัวเลือกของ ทีมชาติชุดใหญ่ ได้อย่างแน่นอนในเวลาที่เหมาะสม
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
https://www.youtube.com/watch?v=t4zgJ0dYLes
https://www.youtube.com/watch?v=zE2X-yntKJY
https://www.facebook.com/thaibevthaitalent.th/videos/240365574828799/
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ตอบทุกข้อสงสัย : สัมภาษณ์พิเศษ ‘เบน เดวิส’ แข้งอารมณ์ศิลปินที่ใครก็มองว่า ‘ขี้เกียจ’ ?