สมกับที่รอไหม? : เห็นอะไรบ้างหลัง ‘เจ-ชนาธิป’ ประเดิมสนามในสีเสื้อ บีจี ปทุม

แม้ว่าฟุตบอล ไทย ลีก ฤดูกาล 2023/24 จะเจอกับปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเรื่องของลิขสิทธิ์หรือเงินสนับสนุนการทำทีม แต่สำหรับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด อาจไม่ได้รับผลกระทบมากมายนัก เนื่องจากมีเงินทุนสนับสนุนในคงคลังอยู่มากโข

ซึ่งในเรื่องของการเสริมทัพช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา กระต่ายแก้ว ก็มีดีลสุดเซอร์ไพรส์ ถลุงเงินในคงคลังไปหลายสิบล้านบาท ด้วยการซื้อตัว ‘เจ-ชนาธิป สรงกระสินธ์’ เพลย์เมคเกอร์เบอร์หนึ่งของทีมชาติไทย ให้ย้ายออกจาก คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ แบบถาวร กลับมาเล่นในประเทศไทยในรอบกว่า 6 ปี

กระแส ชนาธิป ฟีเวอร์ อาจจะยังไม่ร้อนแรงเท่าสมัยที่เขาฟอร์มพีคๆ พาทีมอย่าง เมืองทอง ยูไนเต็ด ไปถึงตำแหน่งแชมป์ลีกได้สำเร็จ แต่อย่างน้อยแฟนบอลที่รอชมฝีเท้าสตาร์ระดับ เจ ลีก ค่าตัวเคยพุ่งไประดับร้อยล้านบาท ย่อมตั้งหน้าตั้งตารอว่า เจ ในเวอร์ชั่นใหม่ จะกลับมาสร้างความแตกต่างให้ฟุตบอลไทยอย่างไรบ้าง

ยิ่งเกมแรกที่คัมแบ็คโปรแกรมของ บีจี นั้นต้องออกไปเยือน โปลิศ เทโร อดีตต้นสังกัดทีมแรกที่สร้าง เจ ขึ้นมาจากอคาเดมี่ตั้งแต่ยังไม่มีชื่อเสียง ยิ่งเป็นการเติมอรรถรสก่อนเกมให้น่าดูมากขึ้นไปใหญ่ ซึ่งผลงานของ ชนาธิป นั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง? ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง

แรงกระหายยังเต็มเปี่ยม

เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่า ชนาธิป หลังจากย้ายจาก ฮอกไกโด คอนซาโดเล่ ซัปโปโร มาอยู่กับทีมระดับแชมป์ เจ ลีก อย่าง คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ มูลค่าการย้ายของเขาในครั้งนั้นเป็นเงินมหาศาลเอามากๆ จนทำให้เขากลายเป็นนักเตะไทยที่ย้ายทีมด้วยค่าตัวแพงที่สุด

อย่างไรก็ตามปัญหาเรื่องการปรับตัว รวมไปถึงปัจจัยต่างๆ อย่างเช่นโค้ชจอมคิดมากอย่าง โทรุ โอนิกิ ส่งผลให้เขาไม่ได้รับโอกาสลงสนามมากนัก ตามที่เจ้าตัวยอมรับในบทสัมภาษณ์เอาไว้ว่าผลงานของเขากับ ฟรอนตาเล่ นั้นล้มเหลว

“จริงๆ มันกดดันมาก ไม่คิดว่าคนญี่ปุ่น ทีมใหญ่ จะเอาเงินมาซื้อผมเป็นนักบอลไทยที่มีมูลค่าสูงสุดในเจลีก แต่ก็ไม่เสียใจกับสิ่งที่เลือกไป ถ้าวันนั้นไม่ก้าวออกมาก็ไม่รู้ว่าฟุตบอลอีกแบบหนึ่งเป็นอย่างไร”

“ผมก็จะไม่รู้ว่าสถานการณ์ที่เจอเป็นอย่างไร มันยากในการอยู่กับทีมที่เป็นแชมป์มากกว่า แต่ถามว่าผิดหวังไหม ก็ผิดหวังที่ไม่สามารถช่วยฟรอนตาเล่เป็นแชมป์ได้ แต่ถ้าถามว่าล้มเหลวไหม ก็คงล้มเหลวกับฟรอนตาเล่ แต่ 7 ปีในเจลีก มันไม่มีอะไรต้องพิสูจน์แล้ว”

ภาพรวมที่เห็นจากรูปเกมของ บีจี ภายใต้การคุมทัพของ โค้ชธง-ะงชัย สุขโกกี ที่ออกสตาร์ทในเกมนี้ด้วยระบบ 4-3-3 วางกองหน้าตัวจบสกอร์ไว้แดนบนสามตัว ไม่มีแนวรุกตัวริมเส้นแม้แต่คนเดียว พอจะเดาทางได้ว่า โค้ชธงเชื่อใจการออกบอลของสามมิดฟิลด์ในแดนกลางมากๆ ไม่ว่าจะเป็น สารัช อยู่เย็น และ พิธิวัต สุขจิตธรรมกุล ที่ต้องทำหน้าที่ทั้งรุก-รับ รวมไปถึง ชนาธิป ที่รับบทบาทเป็นเพลย์เมคเกอร์

สิ่งที่ ชนาธิป เข้ามาเติมเต็มให้กับแผงกองกลางของ บีจี แน่นอนว่าเป็นเรื่องของความกระหาย เขาพยายามแสดงให้เห็นว่าแพสชั่นในการเล่นฟุตบอลยังล้นเหลือ จังหวะที่ต้องเพรสซิ่งคู่แข่งแดนบน ใส่สุดเต็มสปีด ถ้าจังหวะไหนตั้งใจจะเพรสแล้วใส่จนสุดตัว ซึ่งเป็นแนวทางการเล่นของเขาที่ได้รับอิทธิพลมาจากการค้าแข้งในลีกชั้นนำอย่าง เจ ลีก

อย่างไรก็ตาม ชนาธิป ที่เป็นนักเตะระดับสตาร์ นักเตะของทีมคู่แข่ง โปลิศ เทโร นั้นรู้พิษสงของเขาเป็นอย่างดี เลยไม่มีจังหวะไหนที่เขาได้เล่นบอลแบบมีเวลาให้คิดให้ทำมากนัก ตัวประกบตามติดเป็นเงาตามตัว การประสานงานกับเพื่อนก็ยังไม่ไหลลื่นแอบมีจังหวะติดๆ ขัดๆ ให้เห็นอยู่ ซึ่งยังต้องใช้เวลาปรับแก้กันต่อไป

โชคดีที่ครึ่งแรก บีจี คลายความกดดันลงไปได้บ้าง หลังได้ประตูออกนำ 1-0 จากการโหม่งของ เรนาโต้ เคลิช แล้วก็ค่อยๆ ผ่อนเกมรุกลงไป บทบาทของ ชนาธิป ที่อยู่ท่ามกลางดงเกมรับ เทโร ก็หายตัวตามไปด้วย

กลับมาครั้งนี้ไม่ง่าย

แน่นอนว่าการไปเล่นอยู่ในประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 6-7 ปี ชนาธิป ย่อมคุ้นชินกับคุณภาพนักเตะระดับ เจ ลีก ที่ต้องยอมรับกันตามตรงว่า เบสิคฟุตบอล, ความเข้าใจเกม และ ทักษะความสามารถเฉพาะตัวนั้นดีกว่า หากมองกันในภาพรวม

ยิ่งพอคู่แข่งฝั่งตรงข้ามมอง ชนาธิป เป็นเหมือนเป้าหมายที่ต้องการเอาชนะ เป็นมาตรฐานที่ใครหลายๆ คนอยากลองวัดฝีเท้าเพื่อก้าวข้าม ทำให้งานของเขาในสนามนั้นหนักหน่วงกว่าที่คาดหลายเท่าตัว จังหวะจับบอลพลิกเล่นแต่ละที แทบจะอยู่กลางวงล้อมคู่แข่งตลอด จึงเป็นที่มาของการพยายามเร่งจังหวะการเล่นของตัวเอง

พอเร่งมากเกินไปก็กลายเป็นพลาดเข้าจนได้ จากจังหวะที่ ชนาธิป พยายามจะพลิกบอลเล่นเกมสวนกลับเร็ว แต่กลับโดนดักทางจาก สรวิทย์ พานทอง กลางรับเชิงสูงของฝั่ง โปลิศ เทโร ที่ออกบอลต่อให้เพื่อนทะลุเข้าไปเปิดบอลเรียดทางริมเส้นฝั่งซ้าย ก่อนจะมีตัวเข้ามาเข้าชาร์จง่ายๆ กลายเป็นประตูตีเสมอ 1-1

ต่อมา โค้ชธง พยายามแก้เกมเอาแนวรุกลงมาเปลี่ยนเกมทั้ง เฟร็ดดี้ อัลวาเรซ และ พาทริก กุสตาฟส์สัน ซึ่งกองหน้ารายหลังก็เป็นตัวโจ๊กเกอร์ให้กับ บีจี หลังไปไล่บอลกลับมาได้จังหวะแรก ก็สามารถลากเข้าไปยิงแฉลบให้ทีมออกนำอีกครั้ง 2-1

แต่แล้วด้วยแทคติกส์การเล่นเกมรับของทัพ กระต่ายแก้ว ที่ขาดเรื่องของความละเอียด ก็มาเสียประตูตีเสมอ 2-2 จนได้ หลังจากจังหวะก่อนหน้าที่จะเสียเตะมุม ชนาธิป ที่ยืนเป็นกลางรุก ต้องวิ่งลงมาซ้อนคู่ปราการหลังตัวกลางทั้ง เคลิช และ วิคเตอร์ คาร์โดโซ่ เพื่อสกัดบอลจังหวะสุดท้ายออกไป แล้วเกมก็จบลงด้วยการแบ่งแต้มที่สกอร์เดิม

ก่อนหน้านี้ เจ เคยกล่าวถึงการมาร่วมทัพ บีจี เอาไว้ว่า

“บีจี เป็นบ้านหลังใหม่และจะเป็นบ้านที่อบอุ่น ส่วนจะเล่นได้เหมือนเดิมไหม ต้องมาพิสูจน์กันเอาในสนามอีกที”

“ชนาธิป ทุกวันนี้ ไม่ใช่คนเดิมในสมัยเป็นดาวรุ่งอีกแล้ว จะคาดหวังให้เขาลากตะลุยฝ่าแนวรับทุกจังหวะคงไม่ใช่ เขามีประสบการณ์มากขึ้น เก๋าขึ้น รู้ว่าควรเล่นจังหวะนี้แบบไหน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับทีม”

แฟนบอลอย่างเราคงไม่สามารถคาดเดาได้ว่าฟอร์มของ เจ จากเกมแรกที่เล่นไม่ออก เปิดบอลพลาดสองจังหวะเน้นๆ รวมไปถึงช็อตสุดท้ายในเกม เป็นเพราะความกดดันตัวเองที่มากเกินไปหรือปัจจัยเรื่องอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบให้ผลงานออกมาเป็นเช่นนั้น

ซึ่งการที่ บีจี ลงทุนกับเขาไปด้วยเม็ดเงินมหาศาล แล้วผลลัพธ์ที่ออกมานัดเปิดตัวไม่เป็นอย่างที่คาดหวังไว้ หลังจากนี้ความกดดันย่อมต้องพุ่งสูงขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว และคราวนี้จะกลายเป็นบทพิสูจน์ของจริงของ เจ อีกครั้งว่า การกลับมาเล่นในไทยของเขาจะประสบความสำเร็จหรือไม่? หลังจากพกดีกรีนักเตะ เจ ลีก ติดตัวมาด้วย

แหล่งข้อมูลอ้างอิง : การชมเกมถ่ายทอดสด

https://www.matichon.co.th/sport/footballlocal/news_4058872

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เปิดใจ ‘เบ็ค-สมเกียรติ คุณมี’ : ทำไมตัวท็อป ‘ฟ็อกซ์ฮันท์’ ถึงเลือกเส้นทางบอลเดินสาย ?
‘ผักบุ้ง PBDS’ : หญิงแกร่งแห่งวงการฟุตบอลเดินสาย
‘ใหญ่ นิลวงษ์ ’: โค้ชจอมเลื่อนชั้นแห่ง T3 ที่คุมทีมเดินสายที่ชนะ 100%
สโมสร ‘แตงโม’ : ตำนานแชมป์เงินล้านบอลเดินสายสองปีติดทีมเดียวในประเทศไทย
ศราวุฒิ มาสุข : กับชีวิตใหม่ในเส้นทางฟุตบอลเดินสาย

แชร์บทความนี้

ข่าวและบทความล่าสุด