ตอบทุกข้อสงสัย : สัมภาษณ์พิเศษ ‘เบน เดวิส’ แข้งอารมณ์ศิลปินที่ใครก็มองว่า ‘ขี้เกียจ’ ?
เมื่อช่วงการสัมภาษณ์พิเศษของทีมงานกับ ‘เบนจามิน เจมส์ เดวิส’ ได้จบลงและไม่มีการบันทึกภาพอีกต่อไป เขาทิ้งท้ายไว้ว่าการเปลี่ยนสัญชาติของเขามาเป็น ‘คนไทย’ จากเดิมที่เคยถือสัญชาติ ‘สิงคโปร์’ ไม่ใช่เรื่องที่เขาลำบากใจเลย เนื่องจากเขาไม่มีสายเลือดแท้ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเทศนั้น
ก่อนหน้าที่เขาจะย้ายมาอยู่กับ ชลบุรี เอฟซี ล้วนมีประเด็นที่แฟนบอลตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวเขามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ‘ทำไมถึงเลือกที่จะมาเล่นในประเทศไทย?’, ‘เกิดอะไรขึ้นที่สโมสร การท่าเรือ เอฟซี จริงๆ กันแน่?’ หรือ ‘ทำไมเขาจึงเล่นฟุตบอลที่ดูเหมือนขาดความทุ่มเทอยู่ตลอดเวลา?’
การสัมภาษณ์ครั้งนี้ เบน เดวิส ไม่เคยเห็นคำถามที่ทีมงานได้เตรียมมาล่วงหน้า แล้วเขาพยายามสื่อสารอยู่เสมอว่าพวกคุณสามารถถามได้ทุกเรื่องจริงๆ ดังนั้นครั้งนี้อาจเป็นเพียงครั้งเดียวที่เขาอาจยอมเปิดปากพูดเรื่องทั้งหมด เนื่องจากเจ้าตัวยืนยันแล้วว่า ‘เขาเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูงกว่าคนปกติทั่วไป’
ทีมงาน Think Curve - คิดไซด์โค้ง จึงพยายามใช้โอกาสอย่างคุ้มค่ามากที่สุด เพื่อหาคำตอบในข้อสงสัยต่างๆ ด้วยการพูดคุยแบบ Exclusive กับ เบน เดวิส ณ สนาม ชลบุรี ยูทีเอ สเตเดี้ยม ซึ่งคำตอบที่ออกมาจะเป็นเช่นไรบ้าง? สามารถติดตามได้ในบทความนี้
สถานการณ์ที่พลิกผันที่อังกฤษ
จุดเริ่มต้นในการค้าแข้งที่ประเทศอังกฤษของ เบน เกิดขึ้นเพราะได้ไปคัดตัวกับอคาเดมี่ของสโมสร ฟูแล่ม แล้วทีมงานสตาฟฟ์โค้ชเห็นศักยภาพในตัวเขา ที่มีความแตกต่างจากคนอื่นๆ จึงเลือกที่จะมอบทุนการศึกษาให้ ส่วนหน้าที่ของเขาก็มีแค่พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อไต่เต้าไล่ระดับจนกว่าจะได้โอกาสกับทีมชุดใหญ่
ซึ่งช่วงเวลาที่เขาประทับใจมากที่สุดของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ คือ การได้ลงเล่นบนเวที คาราบาว คัพ ในเกมที่เจอกับ เซาแธมป์ตัน แต่ทุกอย่างมันก็ถึงเวลาที่มีจุดสิ้นสุด เนื่องจากสัญญาของเขาเหลือเพียงอีกแค่ปีเดียว และเจ้าตัวไม่อยากจะเล่นในทีมยู-23 อีกต่อไปแล้ว
เขาเลยตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะลดระดับตัวเองไปสู่ลีกรองๆ ซึ่งข้อเสนอที่ยื่นเข้ามานั้นมีให้เลือกมากมาย เพียงแต่ว่าสโมสรที่อยู่ในลีกรองระดับที่ดีที่สุด คือ อ็อกซ์ฟอร์ด ดังนั้นเจ้าตัวจึงตัดสินใจว่าสถานีต่อไปของเขาต้องเป็นทีมนั้น เพื่อหวังจะได้รับโอกาสในการลงสนามในเกมลีกจริงๆ อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม เบน ไม่รู้มาก่อนเลยว่านั่นคือความผิดพลาดครั้งสำคัญที่สุด ซึ่งจะทำให้เขาต้องเปลี่ยนเส้นทางการค้าแข้งและจุดมุ่งหมายต่อจากช่วงเวลานั้นเป็นต้นไป ตามที่กล่าวไว้ว่า
“ผมรู้สึกหมดความอดทนนิดหน่อยในตอนนั้นที่ผมเหลือสัญญากับทีมอีกแค่ปีเดียว แต่ผมไม่อยากเล่นในทีม ยู-23 อีกต่อไปแล้ว ผมอยากถูกดันขึ้นไปเล่นทีมชุดใหญ่ แล้วผมก็เลยคิดว่าถ้าผมยอมถอยลงไปเล่นในลีกล่างสักหนึ่งระดับ ผมจะมีโอกาสลงสนามมากขึ้น”
“แต่กลับกลายเป็นว่าไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีของผมเลย เพราะว่าผู้จัดการทีมอ็อกฟอร์ดไม่เคยเห็นผมเล่นมาก่อน ผมไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นเลยจริงๆ ตอนนั้นผมคิดว่าผู้จัดการทีมยอมรับและเข้าใจสไตล์การเล่นของผม ชอบแนวทางที่ผมเล่นฟุตบอลเลยอยากได้ตัวผมไป แต่ความจริงแล้วดีลนี้มันเกิดขึ้นผ่านตัวประธานสโมสรที่เป็นคนไทย เขาเลยอยากได้ตัวผมไปและผมไม่รู้เรื่องนี้เลย ผมเลยต้องไปลงเอยกับพวกเขาด้วยความผิดพลาด”
ความพยายามของเขาที่เคยทุ่มเทให้กับฟุตบอลในสมัยที่อยู่กับ ฟูแล่ม ต้องซ้อมทั้งช่วงเช้า-บ่าย ต่อรถไฟไปเองเป็นชั่วโมง พักเที่ยงต้องรีบกินข้าวและรีบเดินทางทันที กว่าจะซ้อมเสร็จกลับถึงบ้านก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่มต้องกลายเป็นพังทลายลง หลังจากที่สไตล์การเล่นของเขาไม่เข้ากับแท็คติกของ อ็อกซ์ฟอร์ด ที่เน้นเล่นบอลไดเร็คท์ โยนบอลไปลุ้นเอาข้างหน้า ใช้ความแข็งแกร่งเข้าปะทะ
เบน รู้ดีว่าตัวของเขาไม่ใช่นักฟุตบอลที่ถนัดกับการเล่นแบบนั้น เนื่องจากเขาเป็นรองผู้เล่นต่างชาติในเรื่องของความแข็งแกร่งในจังหวะเข้าปะทะ เมื่อเล่นตามที่โค้ชมอบหมายให้ไม่ได้ ไม่ได้ลงเล่นมากเท่าที่ควรตามแผนที่วางไว้ สโมสรที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาเป็นทางออกให้กับเขาตอนนั้น คือ ‘การท่าเรือ เอฟซี’ สโมรชั้นนำในประเทศไทย
ความผิดหวังซ้ำสอง
อย่างไรก็ตามช่วงเวลากับ การท่าเรือ เอฟซี กลับไม่เป็นไปตามแผนของ เบน อีกครั้ง เพราะเขาไม่ได้โอกาสลงสนามมากเท่าที่ควรเหมือนเดิม พร้อมกับมีข่าวลือด้านลบหลุดออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ทัศนคติ, ความทุ่มเทในสนาม และ การเป็นคนเข้าใจยาก
เขายอมรับตามตรงว่าตอนนั้น ตัวของเขาเองนั้นก็มีปัญหาส่วนตัวที่เป็นเรื่องนอกสนาม แล้วมันส่งผลกระทบต่อการเล่นฟุตบอลโดยตรง เขาไม่มีเพื่อน ไม่มีครอบครัวอยู่ข้างๆ เพื่อคอยให้คำปรึกษา แต่สิ่งที่เขาพอจะยืนยันได้แน่ๆ คือ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องการปรับตัวเข้ากับทีมที่หลายคนมองว่าเป็นปัญหาหลัก
ต้นตอของปัญหาทั้งหมดมันเป็นปัญหาภายในสโมสร ซึ่งเขาขอไม่พูดถึงจะดีกว่า แต่ถ้าให้ตัดเกรดตัวเองตอนนั้น เขายืดอกรับได้เต็มปากว่าตัวเขา ‘ล้มเหลว’ จากการที่เขาไม่ได้มีความสุขกับสถานการณ์รอบตัวเลย ดังนั้นเขาจึงขอเก็บเรื่องราวนั้นล็อคไว้เป็นส่วนตัว
ซึ่งถ้าจะให้เขาพูดถึงต้นสังกัดเก่า สิงห์เจ้าท่า ขอพูดเพียงแค่ว่า
“ช่วงเวลาที่สโมสร การท่าเรือ มันมีหลายอย่างเกิดขึ้น แต่เมื่อถึงจุดสิ้นสุดผมยังรู้สึกขอบคุณทีมงานทุกคนที่ให้โอกาสผมเป็นส่วนหนึ่งของทีม เพียงแค่มันไม่เป็นไปด้วยดี ไม่ลงตัว ผมพูดได้เท่านี้จริงๆ”
แน่นอนว่าประเด็นเรื่องเสียงวิจารณ์ถึงสไตล์การเล่นของเขา เป็นสิ่งที่แฟนบอลถกกันอยู่หนาหูอยู่เป็นประจำ ตั้งข้อสงสัยเอาไว้ว่า แท้จริงแล้ว เบน นั้นเก่งจริงหรือไม่? ซึ่งตัวของ เบน ก็ได้อธิบายเบื้องต้นไว้ง่ายๆ ว่า ‘ฟุตบอลไม่ใช่กีฬาเดี่ยวที่เล่นดีคนเดียวจะดีทั้งทีม’ ดังนั้นต้องมองถึงศักยภาพของทีมโดยรวมด้วย ทุกคนต้องทำงานแบบร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย
เขาได้ยกตัวอย่างเพิ่มเติมว่า การเล่นฟุตบอลในประเทศไทย ตัวเขาอาจดูเป็นผู้เล่นที่ค่อนข้างที่มีความเร็ว แต่ในการเล่นในยุโรปนั้นไม่เป็นแบบนั้นเลย
กระแสวิจารณ์ด้านลบ
เบน มองว่าฟุตบอลในอังกฤษและไทยต่างกันมาก ทั้งเรื่องของระบบการจัดการและคุณภาพรวมๆ ซึ่งตัวของเขาต้องใช้เวลาในการปรับตัวเยอะมากเช่นกัน เนื่องจากที่นี่หลายทีมเลือกที่จะเล่นด้วยการ ‘อุด’ หรือ Park the bus เพื่อให้ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ
ส่วนเรื่องที่เขาจำเป็นต้องปรับตัวจริงๆ คงเป็นประเด็นการสื่อสาร และ ‘สปีดบอล’ หากเทียบกับที่แดนผู้ดี เบน บอกว่าเข้าแทบไม่มีเวลาให้คิดให้ทำอะไรถนัดนัก แต่สำหรับที่ไทยนั้นมีเวลามากกว่า มีทางเลือกให้ต้องตัดสินใจมากกว่า แล้วต้องเสี่ยงดวงเลือกเพียงทางเดียวที่เขาคิดว่าดีที่สุดเท่านั้น ตามที่บอกไว้ว่า
“การเล่นในประเทศไทยมันต่างกับยุโรปมาก ทุกอย่างมันดูช้าลงนะเอาจริงๆ แล้ว ดังนั้นเลยมีเวลาให้คุณคิดมากขึ้น มีทางเลือกมากขึ้น และ คุณต้องตัดสินใจเลือกทางเหล่านั้นด้วยตัวเอง แต่การเล่นในยุโรปทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ดังนั้นคุณแค่ใช้สัญชาติญาณปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้น เพราะคุณรับรู้ได้เองว่าควรทำอะไร แล้วบางทีมันก็มีแค่ทางเลือกเดียวให้เล่นในจังหวะนั้น”
“สำหรับผมแล้วมันเล่นไปตามสัญชาติญาณมากกว่าคิดไว้ก่อน แต่มันต้องใช้เวลาหลายปีมากๆ ในการฝึกพิเศษหลังซ้อมถึงได้ความชำนาญในเรื่องนี้มา ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ เมื่อผมได้บอลอยู่กับตัว ผมจะมองก่อนที่จะรับบอลมาอยู่แล้ว และจะเห็นว่าใครเริ่มวิ่งออกตัวบ้าง ความคิดแรกในหัวคือการพลิกบอลและพาบอลไปข้างหน้า ไม่ว่าจะเลี้ยงหรือจ่ายก็ตาม แล้วผมก็ต้องมองว่าเพื่อนร่วมทีมของผมเป็นใคร มีจุดเด่นตรงไหน การเล่นของผมขึ้นอยู่กับจุดแข็งของเพื่อนร่วมทีมด้วย ถ้าเขาวิ่งเร็วผมก็จะส่งบอลเผื่อระยะไปข้างหน้าให้เขาใช้ความเร็วไปรับ นั่นแหละคือวิธีการเล่นของผม”
ตำแหน่งถนัดของ เบน คือผู้เล่นหมายเลข 10 หรือ ‘เพลย์เมคเกอร์’ ซึ่งเขายอมรับว่าจะเล่นได้ดีกว่า หากมีผู้เล่นที่มีความเร็วอยู่ทางริมเส้นคอยสนับสนุน ตัวของเขาไม่ได้มีความเร็วเทียบเท่ากับปีกอาชีพ มีจุดเด่นอยู่ที่จังหวะการพลิกบอล และพยายามหาทางจ่ายให้เพื่อนด้วยการแทงทะลุช่อง เหมือนกับที่เขาคุ้นชินในการเล่นในยุโรป
สำหรับเรื่องของกระแสวิจารณ์ด้านลบจากแฟนบอลเกี่ยวกับความทุ่มเทในสนาม ตัวของ เบน ขอตอบกลับไว้ดังนี้ว่า
“ผมเคยได้ยินเสียงวิจารณ์เรื่องนี้มาบ้าง แต่คนที่วิจารณ์ไม่เคยรู้มาก่อนว่าแนวทางที่ผมเล่นในยุโรปมันเป็นแบบไหนกับทีมเก่าของผม ซึ่งมันแตกต่างกับแนวทางที่ผมเล่นในประเทศไทยเพราะทุกอย่างมันไม่เหมือนกันเลย”
“ อย่างที่ผมบอกไปว่าต้องปรับตัวเยอะมากในหลายอย่าง และผมคิดว่าในบางจังหวะมันไม่ควรจะเสียพลังงานไปกับสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับทีมจริงๆ ดังนั้นผมเลยพยายามใช้แรงของผมกับจังหวะที่มันช่วยทีมได้จริงๆ”
ข้อเสียที่ตัวของ เบน ยอมรับว่าเขาต้องปรับปรุงและแก้ไขต่อไป คือ เรื่องของความดุดันในการเล่น แม้ว่าตัวเขาจะเชื่อว่าข้อดีอีกหนึ่งอย่างของเขาเป็นการเพรสซิ่งในจังหวะที่เหมาะสมก็ตาม แฟนบอลที่ได้ติดตามผลงานของเขาจะเห็นได้ว่า เบน นั้นดูกระตือรือร้นในการเล่นฟุตบอลมากขึ้น
ซึ่งเหตุผลที่ทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไปและสำคัญที่สุด คือ แค่มีต้นสังกัดที่เชื่อในตัวเขา และพร้อมจะส่งเขาลงสนามในทุกๆ สัปดาห์
เป้าหมายต่อกับกับสโมสรและทีมชาติ
การย้ายมาอยู่กับ ชลบุรี เอฟซี เป็นการพูดคุยกันระหว่าง เบน กับเอเย่นต์ส่วนตัว ที่พยายามหาทางเลือกที่ดีที่สุดในการเล่น ไทยลีก ต่อไป โดยเจาะจงไว้ว่าต้องอยู่กับสโมสรที่มีศักยภาพและได้ลงสนามอย่างต่อเนื่องสักที ซึ่งทาง ฉลามชล ตอบโจทย์ทุกข้อเพราะเป็นทีมที่พร้อมให้โอกาสดาวรุ่งฝีเท้าดีอยู่เสมอ
ยิ่งไปกว่านั้น เบน เปิดเผยว่าเฮดโค้ชอย่าง ‘เทกุซัง-มาโกโตะ เทกุระโมริ’ เป็นคนเลือกเขามาเสริมทีมเป็นนักเตะรายแรก จากการที่ประทับใจผลงานตั้งแต่สมัยที่เล่นให้กับทีมชาติในปี 2019 และเล็งเห็นว่าเขาจะสามารถสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้ ซึ่งตัวของเขาก็ประทับใจเรื่องนั้นมากเช่นกัน
ส่วนเรื่องการกลับไปเล่นฟุตบอลในยุโรปอีกครั้ง เบน ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ เพียงแต่ว่าต้องรอดูกันต่อไปว่า ผลงานของเขากับ ชลบุรี ออกมาเป็นหน้าไหนดีหรือร้ายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า แต่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเจ้าตัวตอนนี้ ยังคงตั้งธงไว้ที่การติด ‘ทีมชาติไทย’ ชุดใหญ่ ตามที่ยืนยันไว้ว่า
“เป้าหมายของผม คือ การได้เป็นตัวหลักให้กับทีมชาติไทยชุดใหญ่ ช่วยทีมผ่านการคัดเลือกไปเล่นฟุตบอลโลก และพาทีมเป็นแชมป์ให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น เอเชียน เกมส์ หรือ ซูซูกิ คัพ รวมไปถึงทัวร์นาเมนต์ระดับชาติอื่นๆ ทั้งหมด”
นอกจากนี้ เบน ยังคงมีความเชื่อมั่นว่า นักเตะไทย มีคุณภาพฝีเท้าที่ดีพอจะไปเล่นในลีกยุโรปได้แน่นอน แต่สำหรับเขาในระดับชาติมันต่างกันออกไป การจะไปถึงความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทุกชาตินั้นคัดมาแต่ผู้เล่นหัวกะทิมารวมทีมกันทั้งสิ้น
ค่าเฉลี่ยความสามารถของทีมจึงกระจายลดหลั่นกันออกไป ยากที่จะมีชาติที่มีผู้เล่นสมบูรณ์พร้อมระดับเดียวกันในทุกตำแหน่ง ซึ่งถ้าแค่วัดกันแบบตัวต่อตัวแล้ว ‘นักเตะไทย’ มีฝีเท้าที่ยอดเยี่ยม คุณภาพคับแก้ว อยู่แล้ว
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : สัมภาษณ์พิเศษโดย : ทีมงาน Think Curve - คิดไซด์โค้ง
บทความที่เกี่ยวข้อง :
บุรีรัมย์ส่งประกวด : ‘เบน เดวิส’ เลือกหนึ่งในขุนพล ‘ปราสาทสายฟ้า’ เป็นนักเตะไทยที่เก่งที่สุด
เบน เดวิส เล่าความลับ : อยู่อังกฤษเขาเป็นนักเตะที่ช้า แต่มาไทยลีกกลับถูกเรียกว่าตัวจี๊ด