ตัวบัคแน่ ๆ แม่จ๋า : กาลครั้งหนึ่งเมื่อ ดิโอโก้ สวมวิญญาณ "ฮาลันด์ไทยลีก"
ในวันที่ เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ย้ายจาก โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาอยู่กับ แมนฯ ซิตี้ มีหลายคนบอกว่าเขาจะต้องใช้เวลาปรับตัวกับลีกที่ยากที่สุดในโลก และมันจะไม่ง่ายกับเขาแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ความจริงนั้นก็อย่างที่เราได้เห็นกัน ฮาลันด์ เปิดโหมด "No Haaland No Party" ลงเมื่อไหร่ยิงเมื่อนั้นยากที่ใครจะหยุดอยู่ ถึงตอนนี้ก็ซัดไปแล้ว 18 ประตูในเกมลีก
ความโหดระดับนี้ คุ้น ๆ ว่าเคยเกิดขึ้นในไทยลีกบ้านเรามาก่อน ... ย้อนกลับไปในช่วงปี 2015 ไทยลีก ก็เคยมี "ตัวบัค" ที่ใครก็เอาไม่ลงอย่าง ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต้ ที่ ณ เวลานั้นเล่นให้กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
แม้จะเป็นฟุตบอลคนละระดับ แต่ความโหดนรกแตกและสิ่งที่ทั้ง ฮาลันด์ และ ดิโอโก้ ทำกับลีกฟุตบอลของพวกเขานั้นไม่ต่างกันเลย ... ถ้าหากให้ลองเทียบคุณจะพบว่าพวกเขาเหมือนกันอยู่หลายอย่างเลยทีเดียว
ดีกรี...ดีกว่าใคร
ฮาลันด์ มาแมนฯ ซิตี้ ด้วยสถิติยิงประตูถล่มทลายแบบการันตีฝีเท้าได้แน่นอน ฮาลันด์ มีค่าเฉลี่ย 'การยิงประตูต่อนาที' ดีที่สุดในประวัติศาสตร์บุนเดสลีก้าโดยเฉลี่ยแล้ว เขายิงประตูให้กับดอร์ทมุนด์ในทุก ๆ 87 นาที
นอกจากนี้เขายังมีค่าเฉลี่ยประตูต่อนาทีดีที่สุดในเวทีแชมป์เปี้ยนส์ลีกเช่นเดียวกัน โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 64 นาที มีตัวเลขดีกว่านักเตะอย่างมาริโอ โกเมส และโรแบร์โต้ โซลดาโด้ (102 นาที) รวมถึงลีโอเนล เมสซี่ และแฮร์รี่ เคน (104 นาที) เสียอีก พร้อมกันนี้เขายังครองสถิตินักเตะอายุน้อยทื่สุดที่ยิงประตูในแชมเปี้ยนส์ลีกครบ 20 ลูก อีกด้วย
เมื่อคุณมีคนที่มีสถิติดีเลิศขนาดนี้คุณจะแปลกใจอะไรกับสิ่งทีเกิดขึ้นกับที่ ฮาลันด์ ทำกับ แมนฯ ซิตี้ ณ เวลานี้ได้อีก ?
ขณะที่ฝั่ง ดิโอโก้ นั้นคือข้อแตกต่างของนักเตะต่างชาติในไทยลีกจริง ๆ เขามาไทยลีกในแบบที่ไม่ได้แก่เกินเเกง ไม่ได้หมดไฟ และไม่ได้อยู่ในช่วงขาลง ย้อนกลับไป ณ เวลานั้นมีไม่เยอะที่นักเตะบราซิลในไทยลีกจะย้ายมาจากลีกสูงสุดของ บราซิล โดยตรง และ ดิโอโก้ เป็นหนึ่งในนั้น โดย ดิโอโก้ ย้ายตรงมาจาก พัลไมรัส ทีมระดับหัวแถวของลีกบราซิล ซีรี่ย์ เอ
อันที่จริง ดีกรีในลีกบราซิลที่กล่าวมา ว่าตรง ๆ มันก็ยังงั้น ๆ สำหรับนักเตะอย่าง ดิโอโก้ เพราะเขาเคยพีกยิ่งกว่านี้เยอะ ในช่วงปี 2008-09 ที่เล่นให้กับ โอลิมเปียกอส ในลีกกรีซ ดิโอโก้ นั้นยิงกระจายถึง 16 ประตู ได้ลงเล่นเกมระดับสูงครบถ้วน และเคยถูกหมายตาโดยทีมอย่าง ลิเวอร์พูล มาเเล้ว ... นักเตะระดับนี้ที่อยู่ในช่วงอายุ 28 ปี ซึ่งถือว่าเป็นช่วงพีกของอาชีพ ก็ต้องยอมรับว่า "เหลือ ๆ" สำหรับไทยลีกอย่างแท้จริง
ฮาลันด์ และ ดิโอโก้ มีต้นทุนที่ดีกันทั้งคู่ ทว่าฝีเท้า ชื่อเสียง และการการันตีจากผลงาน ไม่ใช่แค่สิ่งเดียวที่ทั้งคู่มี ... พวกเขาสมบูรณ์แบบได้ก็เพราะ "ทัศนคติ" นั่นเอง
ซูเปอร์เพลย์เยอร์ + ทีมเพลย์เยอร์ = สมบูรณ์แบบ
ฮาลันด์ และ ดิโอโก้ มีทัศนคติที่เหมือนกันอย่างหนึ่งพวกเขาต่างก็เป็นผู้ชนะและชอบความท้าทาย
ฮาลันด์ เป็นคนที่เก่งแต่เด็ก และรับตำแหน่ง "คนที่เก่งที่สุดในทีม" มาตั้งแต่สมัยเล่นให้ทีม โมลด์, ซัลซ์บวร์ก และ ดอร์ทมุนด์ แต่สิ่งที่เขาแสดงออกมานั้น คือทัศนคติที่ให้ความสำคัญกับทีมมาก่อนเสมอ
มาร์โก รอยส์ กัปตันของดอร์ทมุนด์ เคยพูดถึง ฮาลันด์ ตอนมาอยู่กับทีใหม่ ๆ ว่าไม่เหมือนใครที่เขาเคยเจอ พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นคนที่ไม่กลัวกองหลังคนไหน ยิ่งโดนเตะ ยิ่งเดินใส่ ... ยิ่งโดนชน เขาก็ยิ่งอยากจะชนกลับ เหนือสิ่งอื่นใดเขาทำงานหนักเพื่อให้เพื่อนร่วมมีงานที่ง่ายขึ้น นั่นคือการพยายามศึกษาวิธีการจ่ายบอลกับเพื่อนร่วมทีม และวิธีการเล่นของกองหลังคู่แข่ง เพื่อให้เขาสามารถสลัดหนีตัวประกบ และสร้างโอกาสการยิงประตูได้เยอะอย่างที่เราเห็น ๆ กันอยู่ในทุกวันนี้
แทบทุกคนที่เคยร่วมงานกับเขา มักจะพูดตรงกันว่า ฮาลันด์ ซ้อมเหมือนกับแข่งจริง เพราะเอาจริงเอาจังมาก ทั้งการวิ่ง การเข้าปะทะ และการยิงประตู ที่เน้นทุกลูก ใส่กันจนหมดแม็กซ์
ตัดภาพกลับมาที่ ดิโอโก้ เขามาถึง บุรีรัมย์ ด้วยดีกรีที่ดีกว่าใคร แต่ ดิโอโก้ ก็ได้รับการยกย่องเรื่องทัศนคติ ไม่ต่างกับ ฮาลันด์ เลยคือเมื่อถึงเวลาที่ต้องทำงาน เขาใส่สุดแรงเกิดมีความเป็นมืออาชีพสูงมาก
“ดิโอโก้ เป็นคนที่ซีเรียสมากเวลาฝึกซ้อม เขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่เคยแสดงอาการเหยาะแหยะ หรือไม่เต็มที่ ทุกๆการฝึกซ้อม จะเห็นชัดเลยว่า เขามีความตั้งใจมากเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ ไม่ว่าจะร่วมงานกับโค้ชคนไหน เขาเป็นคนที่รับฟัง แล้วทำตามทุกอย่างที่โค้ชบอก ทำให้เขาเข้าใจแท็คติกได้เร็ว และสามารถเล่นได้หลากหลายตำแหน่ง”
“อีกอย่างคงเป็นเพราะ ดิโอโก้ มีความสามารถเฉพาะตัวสูง ไม่ว่าจะจับเขาไปเล่นตรงไหน แท็คติกอะไร เขาก็จะทำให้สิ่งที่ดูยากๆ ของฟุตบอล ให้ดูเป็นเรื่องง่ายไปหมด” จ๊อบบี้ - บริพัทธ์ สูนรอด ล่ามแปลภาษาประจำทีม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด พูดถึงยอดดาวยิงชาวบราซิลเช่นนั้น
นอกจากเก่งแล้ว ตั้งใจซ้อมแล้ว ดิโอโก้ ยังเป็นนักเตะที่เล่นเพื่อทีม ทำให้ทีมทำงานกันง่ายขึ้นเมื่อมีเขาลงสนาม ว่าง่าย ๆ ก็คือเป็นนักเตะที่วินัยในการเล่นสูง ทุ่มเทจริงจัง พยายามลงมาช่วยทีมเล่นเกมรับ ลงมาล้วงบอลตลอด ไม่ยืนกางมุ้งรอยิงอย่างเดียว เหนือสิ่งอื่นใดคือเมื่อเวลาที่ ดิโอโก้ เสียบอล เขามักจะพยายามเอาบอลคืนมาให้ได้ ... นี่คือสิ่งที่เราเห็นได้ไม่บ่อยในนักเตะต่างชาติดีกรีสูง ๆ ในไทยลีก
อยู่กับทีมที่ผลักดันกันและกัน
แมนฯ ซิตี้ ในยุคนี้ ก็เหมือนกับ บุรีรัมย์ ในยุคที่ ดิโอโก้ พีก ๆ ... ความเหมือนในที่นี้คือหากวัดกับระดับลีกที่พวกเขาลงเเข่งขัน พวกเขาเป็นทีมที่พร้อมกว่าใครทั้งเรื่องของคุณภาพนักเตะ งบประมาณ และการสนับสนุนของผู้บริหารของทีม
ทั้ง 3 ข้อนี้คือคุณสมบัติที่สำคัญมากที่จะทำให้ทีมฟุตบอลทีมหนึ่งประสบความสำเร็จได้ และการเอานักเตะที่เก่งทั้งฝีเท้าและเป็นคนที่มีทัศนคติดีเล่นเพื่อทีมไปไว้ในทีมลักษณะนี้ก็เหมือนกับเสือติดปีกดี ๆ นี่เอง
นักเตะทุกคนจะทำงานง่ายกว่าเดิมเยอะ ยกตัวอย่างที่ แมนฯ ซิตี้ ในเวลานี้ เควิน เดอ บรอยน์ มีกองหน้าตัวเป้าที่มองตาก็รู้ใจ เปิดไปตรงไหนก็หากันเจอ เช่นเดียวกับบอลจากริมเส้นที่มาจากเหล่าตัวรุกอย่าง เจา คันเซโล่, ฟิล โฟเด้น หรือ แบร์นาโด้ ซิลวา ก็อันตรายขึ้นในทันที เมื่อมีคนที่ทำการบ้านมาอย่างหนักก่อนลงสนามอย่าง ฮาลันด์ เป็นเป้าหมายในการส่งบอลของพวกเขา
เช่นเดียวกันกับที่ บุรีรัมย์ คุณเองก็น่าจะเห็นความยอดเยี่ยมของทีมสมัยที่ ดิโอโก้ ยังอยู่ เขามีคู่หูที่รับส่งกันรู้ใจอย่าง กิลเเบร์โต้ มาเชน่า มีบอลแนวลึกจากกองกลางอย่าง โก ซุล-กี, มีบอลริมเส้นจากฟูลแบ็คอย่าง ธีราทร บุญมาทัน และมีนักเตะไทยที่เป็นสายแอสซิสต์โดยเฉพาะอย่าง จักรพันธ์ แก้วพรม ... พวกเขาทั้งหมดมองตาก็รู้ใจ หรือต่อให้เข้าตาจนที่สุด คิดอะไรไม่ออก ก็แค่ส่งบอลไปให้ ดิโอโก้ ที่เหลือเขาคนนี้จะบันดาลความมหัศจรรย์ให้ทุกคนได้เห็นเอง
ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ว่าทำไมนักเตะคนเดียวจึงไล่ถล่มทั้งลีกได้อย่างเหลือเชื่อ ทั้ง ฮาลันด์ และ ดิโอโก้ คือนักเตะที่ยอดเยี่ยม ย้ายทีมในช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยม และเหนือสิ่งอื่นใดพวกเขากระหายความสำเร็จเสมอ เหมาะสมแล้วที่ทั้งคู่ต่างก็เป็น "ตัวบัค" ในยุคของตัวเองอย่างแท้จริง
ข้อมูลอ้างอิง
https://www.bundesliga.com/.../marco-reus-i-ve-never-seen...