ทำไม ‘มาดามแป้ง’ จึงเป็นตัวแทน 3 ยักษ์ไทยลีกในการชิงเก้าอี้นายกส.บอลไทยฯ ?

หลังจบงานแถลงข่าวช่วง 11 โมงเช้า ณ ห้องประชุมชั้นที่ 14 อาคารเมืองไทยประกันภัย สื่อฟุตบอลในประเทศไทย รวมไปถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องในแวดวงบอลไทย ต้องตื่นตัวอีกครั้งหลังจากได้ทราบเนื้อหาข่าวทั้งหมด จากตัวแทนจากสามบิ๊กทีมไทยลีก ประกอบไปด้วย มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ (การท่าเรือ เอฟซี), ปวิณ ภิรมย์ภักดี (บีจี ปทุม ยูไนเต็ด) และ เนวิน ชิดชอบ (บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด)

อย่างที่แฟนบอลทราบกันดีว่า ประเด็นที่ทำให้วงการบอลไทยสั่นสะเทือนมากที่สุด คือ การประกาศตัวลงชิงตำแหน่ง นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย สมัยหน้า ของ มาดามแป้ง ซึ่งที่ไม่ธรรมดาไปกว่านั้นเป็นเรื่องของผู้สนับสนุนทั้งสองคนที่มาร่วมแถลงข่าวอย่าง ลุงเน และ บิ๊กปิ๊บ ที่ออกตัวชัดเจนว่าพร้อมหนุนหลังเต็มที่

แน่นอนว่าทั้งสามคนเคยออกมาจับมือกันในการแก้ปัญหาใหญ่ เกี่ยวกับการควักงบประมาณสนับสนุนลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดศึกไทยลีกไปแล้ว โดยลงทุนกันไปสโมสรละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท เพื่อซื้อบัญชีไปทำการแจกจ่ายตามช่องทางต่างๆ รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 6 หมื่นบัญชี

สายสัมพันธ์ในครั้งนั้นย่อมเป็นที่มาของการจับมือในเรื่องที่ใหญ่กว่าเดิม ด้วยการเลือกตัวแทนที่เหมาะสมเข้าไปชิงเก้าอี้นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย แทนที่ของ พล.ต.อ.ดร. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่กำลังจะหมดวาระในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า

ทำไมบิ๊กบอสทั้งสามรายจึงตัดสินใจเลือกให้ มาดามแป้ง เป็นตัวแทนที่เหมาะสมจากการเลือกของพวกเขา? ปัจจัยส่วนไหนที่ทำให้มีความพร้อมมากกว่า? ร่วมวิเคราะห์หาคำตอบไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง

องค์ความรู้การจัดการทีมชาติไทย

อย่างที่ทราบกันดีว่า มาดามแป้ง ก่อนที่จะมารับตำแหน่งเป็นผู้บริหารสโมสร การท่าเรือ เอฟซี แบบเต็มตัวในปี 2558 เธอเคยเก็บประสบการณ์ในแวดวงฟุตบอลไทยมาแล้ว จากการได้รับคำเชิญของอดีตนายกอย่าง นาย วรวีร์ มะกูดี ให้ไปนั่งแท่นเป็นผู้จัดการฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยตั้งแต่ปี 2551

แล้วก็ประสบความสำเร็จด้วยการพาทัพ ชบาแก้ว ไปแข่งขันฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย 2 ครั้งในปี 2558 และ 2562 ต่อมาในปี 2564 ในยุคของนายกคนปัจจุบันอย่าง บิ๊กอ๊อด ก็มีการเชิญชวนให้มารับตำแหน่งผู้จัดการฟุตบอลชายทีมชาติไทยชุดใหญ่ แล้วสามารถคว้าแชมป์อาเซียนได้ 2 สมัยในปี 2020 และ 2022

แน่นอนว่าเรื่องของการบริหารและจัดการภายในเกี่ยวกับทีมชาติ มาดามแป้ง ย่อมเข้าใจเรื่องของการดำเนินงานทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี แล้วต้องยอมรับว่ามีประสบการมากกว่า คุณเนวิน และ คุณปวิณ ที่คุ้นเคยกับการทำทีมระดับสโมสรมากกว่า

แม้ว่าตัวของ มาดามแป้ง จะยังไม่ได้เปิดเผยนโยบายออกมาอย่างเต็มรูปแบบ แต่พอจะสรุปปัญหาคร่าวๆ ที่ต้องเร่งแก้จากบทสัมภาษณ์เอาไว้ว่า

“ร้อยพันปัญหาที่เกิดขึ้นสะสมกันมาหลายยุคหลายสมัย แป้งไม่ขอโทษใคร เพราะผู้บริหารสมาคมทุกท่านก็ได้ทุมเทเสียสละและมีคุณูปการกับวงการฟุตบอลไทยมาตามลำดับ แต่สิ่งที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในขณะนี้ก็คือ เราจะต้องร่วมมือกันเสริมสร้างรายได้และความนิยม ความศรัทธา ให้กลับคืนมาสู่วงการฟุตบอลไทยอีกครั้ง”

"เนื่องจากในปัจจุบัน โครงการเพื่อการพัฒนาฟุตบอลหลายโครงการต้องหยุดชะงัก เงินสนับสนุนหล่อเลี้ยงทีมลดลง สปอนเซอร์หดหาย การประมูลลิขสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดฟุตบอล ที่เป็นรายได้หลักขององค์กรบริหารฟุตบอลทั่วโลก ไม่บรรลุข้อตกลง สิ่งต่างๆเหล่านี้จะทำให้คุณภาพของการบริหารจัดการทีมลดลง ด้วยเงินอุดหนุนที่ลดลง ผลงานก็จะตกต่ำลง ความนิยมจากแฟนฟุตบอล ก็จะลดลงตามไปด้วย"

“แป้งยอมรับว่า นี่เป็นการตัดสินใจที่ไม่ง่าย ด้วยเหตุผลหลายประการที่ได้เคยกล่าวไว้ ทั้งครอบครัวที่ห่วงเรื่องสุขภาพ และภาระงานที่รัดตัวในปัจจุบัน แต่เมื่อฟุตบอลไทยอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ก็คงต้องมีใครสักคนที่ต้องเสนอตัวขึ้นมา ยอมเสียสละเวลาและทรัพยากรที่มี ลงมาทำตรงนี้ให้ดีที่สุด แป้งเชื่อในความตั้งใจจริงของตัวเอง และยินดีที่จะรับภาระดังกล่าว”

การเลือกพูดถึงประเด็นปัญหาต่างๆ แบบตรงจุด แสดงให้เห็นว่า มาดามแป้ง ในฐานะผู้จัดการทีมชาติไทยชุดใหญ่คนปัจจุบัน คงมีการปรึกษาและวิเคราะห์แนวทางการแก้วิกฤติทุกเรื่องไว้ก่อน แล้วคงมีการวางแผนดำเนินงานแบบเป็นขั้นเป็นตอนในการจัดการแบบเร่งด่วน

ซึ่งจากการที่เธอคุ้นเคยกับการทำทีมชาติเป็นทุนเดิม เรื่องการการประสานงานที่ผ่านมือ หรือองค์ความรู้ต่างๆ ที่สั่งสมมา ย่อมนำมาใช้ได้ทันที ไม่ต้องมาเรียนรู้กันใหม่ตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่ใช่ว่า คุณปวิณ หรือ คุณเนวิน จะทำตรงจุดนี้ไม่ได้ แต่การไปเริ่มใหม่ตั้งแต่ศูนย์ย่อมช้ากว่าคนที่เป็นงานแล้วแน่นอน

สละภาระหน้าที่ได้ง่ายกว่า

แน่นอนว่าคุณสมบัติของผู้สมัครลงชิงตำแหน่ง นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ย่อมต้องมี คุณวุฒิ, วัยวุฒิ และ บารมี เพียบพร้อมครบทุกองค์ประกอบ ซึ่งทั้งสามบิ๊กบอสนั้นผ่านเกณฑ์ไม่ต่างกัน ไม่ว่าส่งใครลงชิงเก้าอี้ก็เป็นตัวเต็งได้หมด ในเงื่อนไขที่ต้องสละตำแหน่งการบริหารงานสโมสรฟุตบอลในมือ

ดังนั้นเรื่องภาระหน้าที่หลักในการบริหารสโมสรที่ตัวเองเป็นเจ้าของ กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องนำมาคิดร่วมด้วย บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด วางรากฐานความสำเร็จมาอย่างยาวนาน ภายใต้การบริหารงานของชายที่ชื่อว่า เนวิน ชิดชอบ เป้าหมายต่อไปคือการก้าวไปเป็นแชมป์ระดับเอเชีย แน่นอนว่าหากขาดหัวเรือในการนำทางย่อมไม่ใช่ผลดี เพราะทีมกำลังไปได้สวยจากการคว้า ทริปเปิ้ล แชมป์ สองฤดูกาลติดในประเทศ

ส่วนทาง คุณปวิณ กำลังอยู่ในช่วงกลับมาตั้งต้นกันใหม่ ในการผลักดันให้ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด กลับมาทวงความยิ่งใหญ่อีกครั้ง เพิ่งจะทุ่มซื้อสตาร์ทั้งไทยและเทศมาร่วมทีม ไม่ว่าจะเป็น ชนาธิป สรงกระสินธ์, อิกอร์ เซอเกเยฟ และ ริคาร์โด้ อัลวาเรซ ซึ่งหมดเงินไปหลักหลายสิบล้านบาท เผลอๆ รวมทุกอย่างอาจมีแตะร้อยล้าน

ยังไม่นับรวมเรื่องธุรกิจนอกเหนือจากการทำทีมฟุตบอล ที่จำเป็นต้องลงไปดูแลรายละเอียดต่างๆ ทุกภาคส่วนจากการดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารหลายบริษัท เรื่องของการสละพันธะทั้งหมดเพื่อไปทุ่มเทให้กับนั่งแท่นเป็นนายกสมาคมฟุตบอล อาจไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมเท่าไหร่ เพราะยังไม่มีตัวแทนในส่วนนี้ได้แบบชัดเจน

แตกต่างกับทาง มาดามแป้ง ที่เหมือนเคยเปรยๆ ถึงสามี พ.ต.อ.ดร. ณรัชต์ เศวตนันทน์ ว่ามีส่วนช่วยบริหารสโมสร การท่าเรือ เอฟซี ด้วยกันเอาไว้ว่า

“ถ้าได้ทำงานร่วมกันกับคุณเอ ก็เป็นการทำฟุตบอลทีม ท่าเรือ ดูตัวนักเตะ,ซื้อ-ขายนักเตะทำด้วยกัน บางทีก็คุยกับประธานสโมสรต่างๆ ที่เรารู้จักด้วย เพราะทำฟุตบอลมาแล้ว 8-9 ปี”

ซึ่งพอทาง มาดามแป้ง ถูกนักข่าวยิงประเด็นถามถึงการสละตำแหน่งผู้บริหารสโมสร การท่าเรือ เอฟซี ก็ไม่มีทีท่าลังเลว่าเป็นเรื่องยากแต่อย่างใด พร้อมที่จะสละหน้าที่เพื่อเข้ามาบริหารงานในสมาคมอย่างเต็มตัว เหมือนมีการเตรียมการมาแล้วล่วงหน้าแบบไม่มีอะไรให้ต้องห่วง

ตัวเชื่อมความสัมพันธ์ที่ลงตัว

บรรยากาศภายในงานแถลงข่าว ย่อมมีประเด็นที่สื่อสงสัยเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วว่า การออกมาแถลงข่าวของทั้งสามบิ๊กบอสไทยลีก นั้นดูเหมือนเป็นการยึดอำนาจของ บิ๊กอ๊อด แบบกลายๆ หรือไม่? เพราะเอาจริงๆ แล้ววาระการดำรงตำแหน่งของเขายังไม่จบลง

ยิ่งมีการออกตัวจาก ลุงเน และ บิ๊กปิ๊บ ที่หนุนหลังมาดามแป้งแบบเต็มตัว พูดเต็มปากเต็มคำว่าให้การสนับสนุน มีการพูดคุยเรื่องการแบ่งภาระหน้าที่การรับผิดชอบไว้หมดแล้ว ทุกอย่างดูเหมือนจะชี้ไปในทางลบไม่น้อย

แต่ด้วยทักษะการตอบคำถามของ มาดามแป้ง ก็สามารถกลบคำครหาดังกล่าวได้หมดจด ด้วยการตอบไปแบบตรงประเด็นไม่มีกั๊กว่า

"เมื่อสองสามวันก่อน ท่านนายกสมาคมฯ พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้เชิญแป้งเข้าไปพูดคุย และปรารภว่าท่านอยากวางมือ เนื่องจากอายุมากแล้ว และอยากสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้มาช่วยกันบริหารสมาคมฯ ท่านได้เล็งเห็นความรักในฟุตบอลไทยของแป้ง จึงได้ขอร้องและสนับสนุนให้ลงสมัครแข่งขันคัดเลือกเป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยคนต่อไป"

“แป้ง ได้พบกับทาง พี่อ๊อด แล้วท่านก็ สนับสนุนอย่างเต็มที่ คงจะไม่ใช่การยึดอำนาจอะไรแน่นอนนะคะ เพราะว่า แป้ง เป็นคนที่ทำงานในวงการฟุตบอลมาตลอดนะคะ ไม่ใช่เป็นคนที่จะสร้าง ศัตรู และก็มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับพี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ ในวงการฟุตบอลมาโดยตลอด เรื่องนี้ ท่านนายกสมาคมฯ พลตำรวจเอก สมยศ ท่านก็ทราบดีแล้ว และก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มตัว...ไม่ได้ยึดอำนาจนะคะ”

แน่นอนว่าหากทาง มาดามแป้ง ไปถึงฝั่งฝันได้นั่งแท่นนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยจริง เรื่องของความสัมพันธ์ต่างๆ จากการที่มีคาแรกเตอร์เป็นคนอ่อนโยน เจรจาพาทีเก่งตามแบบฉบับผู้บริหาร บารมีถึง คอนเนคชั่นพร้อม และผู้สนับสนุนเบื้องหลังแน่น ย่อมทำให้การทำงานต่างๆ ไหลลื่นไปได้ด้วยดี

การขอตัวนักเตะที่เคยเป็นปัญหาระหว่างสโมสรและทีมชาติมาก่อน, เม็ดเงินสนับสนุนจากสปอนเซอร์ที่ไม่เพียงพอ และสาธารณูปโภคที่ขาดความพร้อมสมบูรณ์ น่าจะถูกแก้ไขได้ไม่ยาก เหลือแค่เพียงศรัทธาแฟนบอลที่ต้องกู้คืนมาโดยไว โดยมีเส้นตายอยู่ที่ผลงานบอลโลกรอบคัดเลือกที่จะเตะกันช่วงเดือนพฤศจิกายนเป็นตัวตัดสิน

ขนาดประเด็นอนาคตของ มาโน่ โพลกิ้ง เฮดโค้ชทีมชาติไทย ที่น่าจะรู้สึกเก้าอี้ร้อนอยู่หน่อยๆ จากการมาของ มาซาทาดะ อิชิอิ เทรนเนอร์ชาวญี่ปุ่นที่จะมารับตำแหน่งประธานเทคนิคอย่างเป็นทางการให้กับทัพช้างศึกหลังจากนี้ มาดามแป้ง ก็ยังตอบชัดเจนว่ายังไม่ปลดวันนี้เพียงแต่ว่าให้ผลงานเป็นตัวชี้วัดตามวัฎจักรของฟุตบอล ซึ่งเป็นการตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ได้มีทรงเลยทีเดียว

แหล่งข้อมูลอ้างอิง : https://www.facebook.com/MadamPangID
https://www.youtube.com/watch?v=zO4ON0-Euu4

บทความที่เกี่ยวข้อง :

อาจลงเลือกตั้ง : วิเคราะห์อนาคตหาก 'มาดามแป้ง' นั่งแท่นนายก ส.บอลไทย

แชร์บทความนี้

ข่าวและบทความล่าสุด