ทีมชาติไทย จะได้อะไรเมื่อ “มาซาทาดะ อิชิอิ” มานั่งประธานเทคนิค?

ทีมชาติไทย จะได้อะไรเมื่อ “มาซาทาดะ อิชิอิ” มานั่งประธานเทคนิค?
มฤคย์ ตันนิยม

"ผมขอประกาศอย่างเป็นทางการว่า บุรีรัมย์ จะปล่อย อิชิอิ ให้มาทำหน้าที่ ประธานเทคนิคทีมชาติไทยชุดใหญ่ ตามที่ มาดามแป้งขอมา โดยจะทำงานร่วมกับ มาโน โพลกิ้ง กุนซือทีมชาติไทยคนปัจจุบันที่ยังมีสัญญาอยู่" เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กล่าว

เรียกว่าเซอร์ไพรส์ไปทั้งบาง หลัง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ประกาศปล่อยตัว มาซาทาดะ อิชิอิ กุนซือชาวญี่ปุ่นของทีมไปรับตำแหน่งประธานฝ่ายเทคนิคทีมชาติไทย

อดีตกุนซือคาชิมา อันท์เลอร์ส เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์พาทีมคว้า 3 แชมป์ 2 ปีติดต่อกันเมื่อซีซั่นก่อน แต่กลับถูกส่งตัวไปนั่งหน้าที่ใหม่ในทีมชาติ ทั้งที่เขาไม่เคยผ่านงานทีมชาติมาก่อนเลย

จึงเกิดเป็นคำถามว่า “ช้างศึก” จะได้อะไรจากการมาถึงของโค้ชสัญชาติซามูไรรายนี้ ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง

เจแปนเวย์

แม้ว่าไม่มีใครรู้เบื้องลึกเบื้องหลังว่าเพราะเหตุใด มาซาทาดะ อิชิอิ ต้องผละจากตำแหน่งเฮดโค้ช บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มาอยู่กับทีมชาติไทย แต่การได้ตัวเขามานั่งเป็นประธานเทคนิค ก็อาจเป็นชอยส์ที่ไม่เลวในการพัฒนาฟุตบอลไทย

เนื่องจากหน้าที่ของตำแหน่งนี้ของขุนพล “ช้างศึก”  คือการวิเคราะห์คู่แข่ง หาข้อมูลผู้เล่นที่ควรติดทีมชาติ รวมถึงข้อมูลคู่แข่งที่ไทยจะเจอ ที่ลักษณะงาน คล้ายกับ อิชิอิ เคยทำ สมัยคุมสโมสร

เพราะอันที่จริง กุนซือชาวญี่ปุ่น มีชื่อเสียงมากในเรื่องความละเอียด ตอนอยู่ บุรีรัมย์ เขามักจะเอาวิดีโอ ที่ถ่ายเก็บไว้ ไปดูเพื่อวิเคราะห์จุดอ่อน-จุดแข็งของทีม จากนั้นนำไปตัดต่อ แล้วค่อยมานำเสนอให้สต้าฟ และนักเตะในทีมได้ดู

“ทุกวัน ผมจะตื่นก่อน 6 โมง กินอาหารเช้า ทำความสะอาดห้องอาบน้ำและซักผ้า จากนั้นก็จะใช้เวลาไปกับการตัดต่อวิดีโอและคิดเมนูฝึกซ้อม ในแต่ละวัน และประชุมกับสต้าฟตอน 3 โมง โดยปกติแล้ว เราจะซ้อมกันตั้งแต่ 5 โมงโดยใช้เวลาราว 1 ชั่วโมง” อิชิอิกล่าวกับ Nikkan Gendai

“หลังจากนั้น ผมจะใช้ PC โหลดวิดีโอที่ถ่ายจากโดรน เอากลับบ้านไปเช็คและตัดต่อ”

Photo : Nikkan Gendai

นอกจากนี้ เขายังเป็นคนที่ไม่อยู่นิ่งและขวนขวายคิดค้นวิธีการใหม่ๆ เช่นในตอนที่โควิดระบาดหนัก จนทำให้การแข่งขันพักเบรกไป อิชิอิ ก็ใช้เวลาช่วงนั้นไปกับการฝึกซ้อมแบบออนไลน์ เพื่อรักษาสภาพร่างกายผู้เล่นให้ฟิตอยู่เสมอ

“ผมอดไม่ได้ที่จะไม่ขยับร่างกาย แต่ก็ออกแรงมากไปก็ไม่ได้ ผมก็เลยสร้างเมนูโดยปรึกษากับโค้ชกายภาพ สำหรับสิ่งที่เรียกว่ารีโมตเทรนนิ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมสนใจมากนานแล้ว” อิชิอิ อธิบาย

“บาเยิร์น มิวนิค ในบุนเดสลีกา ของเยอรมัน เริ่มใช้มาก่อน ผมจึงใช้มันเป็นต้นแบบ”

แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือประสบการณ์ที่โชกโชนของเขา ในการต่อกรกับคู่แข่งที่แข็งแกร่ง ซึ่งเหมาะกับทีมชาติไทย เพราะนอกจากจะเคยพา คาชิมา อันท์เลอร์ส คว้าแชมป์เจลีกในปี 2016 เขายังเคยพากวางเขาเหล็ก ไปไกลถึงระดับโลก ด้วยตำแหน่งรองแชมป์ฟุตบอลสโมสรโลก ที่ต่อกรกับยอดทีมอย่าง เรอัล มาดริด ได้อย่างสมศักดิ์ศรี

Photo : AFP

“ก่อนเกมผู้คนต่างพากันพูดว่า ‘เรอัล มาดริด จะชนะกี่ลูก แต่ผมมีความรู้สึกว่าทีมในตอนนั้นทำได้ดี แม้จะต้องเจอกับเรอัล มาดริด ผมซ้อมเกมรับอย่างหนักและมั่นใจโดยมี ฮิโตะชิ โซงาฮาตะ, เก็น โชจิ, มิตสึโอะ โองาซาวาระ และ มู คานาซากิ เป็น ‘แกน’ ในแนวกลาง” อิชิอิ กล่าวถึงแทคติกในวันนั้น

อย่างไรก็ดี ความยอดเยี่ยมของเขาไม่ได้แค่ในสนามเท่านั้น

มีทั้งพระเดชและพระคุณ

มองอย่างผิวเผิน อิชิอิ อาจจะดูเป็นโค้ชที่เป๊ะไปทุกอย่าง ตามแบบฉบับของคนญี่ปุ่น แต่ความเป็นจริง เขาคือคนที่พยายามทำความเข้าใจคนไทย ผ่านการศึกษาหาข้อมูล และปรึกษาผู้มีประสบการณ์ มาตั้งแต่ก่อนรับงานกับสมุทรปราการ ซิตี้

“เนื่องจาก (มิตสึโอะ) คาโต้ซัง (อดีตโค้ชผู้รักษาประตูทีมชาติไทย) เคยอยู่เมืองไทยมานาน ผมก็เลยถามเขา ผมยังได้โทรหา (มาซาฮิโร) วาดะซัง ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยของผม และตอนนี้เป็นเฮดโค้ชอคาเดมี ชไวเกน คานาซาวะ เนื่องจากเขาเคยมาคุมทีมในไทย” อิชิอิ กล่าวกับ Number

“ด้วยวัฒนธรรมที่แตกต่าง มันจึงมีปัญหาบางอย่าง เช่นเรื่องสัญญา และพวกเขาก็บอกว่ามันอาจจะเจ็บปวดถ้าคุณไปอยู่ที่นั่น แต่มันจะไม่เป็นปัญหาเลย ถ้าคุณเข้าใจ”

“ก็จริงอยู่ที่ (นักเตะไทย) ยังมีความหย่อนยาน แต่อาจจะเรียกว่าผ่อนคลายมากว่า เนื่องจากเมืองไทยอากาศร้อน ดังนั้นผมจึงเข้าใจ และเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้”

Photo : Nikkan Gendai

มันคือการพยายามปรับตัวให้เข้ากับคนในท้องถิ่น และเรียนรู้นิสัยใจคอของคนที่นี่ไปพร้อมกัน ด้วยเหตุนี้ ทำให้ตอนมาใช้ชีวิตอยู่ที่ไทย เขามักจะเข้าไปคลุกคลีกับคนไทย ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ทั้งตอนอยู่ สมุทรปราการ และบุรีรัมย์

“ก่อนมาไทย ผมได้ยินมาจากโค้ชชาวญี่ปุ่นรุ่นก่อนว่า ‘คนไทยมีความหยิ่งในศักดิ์ศรี  อย่าไปแสดงความโกรธต่อหน้าคนอื่น หรือทำกับพวกเขาเหมือนคนญี่ปุ่น’” อิชิอิ กล่าวกับ Shupure News

“แต่บางครั้งมันก็จำเป็นที่จะต้องโกรธ ดังนั้นเมื่อคิดว่าจะต้องโกรธอย่างไร ผมจึงหาโอกาสในการพูดคุยกับคนไทยตามฟู๊ดคอร์ทหรือร้านอาหารข้างทาง”

“แม้ว่าผมจะไม่เข้าใจภาษา แต่ผมก็เข้าใจวัฒนธรรมไทยในรูปแบบของผม ถึงจะเป็นเรื่องที่ไม่ชอบ แต่ผมก็จะตระหนักว่าต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา และไม่โกหกผู้เล่น”

นอกจากนี้ อิชิอิ ยังถ่อมตัวและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เมื่ออยู่นอกสนาม จนถึงขนาดสมัยอยู่ญี่ปุ่น เคยมีประสบการณ์ไปเป็นเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์อาหารของเมือง ทั้งที่ไม่กี่เดือนก่อน เพิ่งจะพาทีมคว้ารองแชมป์สโมสรโลก

เมื่อครั้งหนึ่ง “อิชิอิ” เคยทำงานในโรงอาหาร หลังคว้ารองแชมป์สโมสรโลก | Think Curve - คิดไซด์โค้ง
Think Curve - คิดไซด์โค้ง 1 กุมภาพันธ์ นอกจากจะเป็นวันเริ่มต้นของเดือนที่ 2 ของปี ยังเป็นวันคล้ายวันเกิดของ มาซาทาดะ อิชิอิ กุนซือชาวญี่ปุ่นของ “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

“ก่อนหน้านี้ผมอยากใช้เวลากับครอบครัวแบบไม่รีบร้อน และตอนนั้นก็มีการรับสมัครเจ้าหน้าที่ในศูนย์อาหารกลางวันของเมืองพอดี” อิชิอิ กล่าวกับ Number

“ผมได้หยุดเสาร์-อาทิตย์ ได้ใช้เวลาในช่วงหน้าร้อน ผมจึงคิดว่ามันดีมาก”

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้เขาน่าจะเป็นสต้าฟที่คนไทยเข้าถึงง่าย แต่ก็สามารถให้คำแนะนำที่จริงจังและเป็นประโยชน์แก่ทีม และกล้าที่จะพูดตรงๆ ในแบบไม่หักหาญน้ำใจ

ขณะเดียวกัน บางทีนี่อาจจะเป็นการปูทางไปสู่ตำแหน่งที่ใหญ่กว่านี้

กุนซือใหม่ทีมชาติไทย?

"ผมขอประกาศอย่างเป็นทางการว่า บุรีรัมย์ จะปล่อย อิชิอิ ให้มาทำหน้าที่ ประธานเทคนิคทีมชาติไทยชุดใหญ่ ตามที่ มาดามแป้งขอมา โดยจะทำงานร่วมกับ มาโน โพลกิ้ง กุนซือทีมชาติไทยคนปัจจุบันที่ยังมีสัญญาอยู่" เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กล่าว

แม้ว่านี่จะเป็นยืนยันว่า ตำแหน่งของ อิชิอิ ในทีมชาติไทย คือประธานเทคนิค แต่ก็มีกระแสข่าวลือว่า มันอาจจะเป็นแค่ตำแหน่งชั่วคราว เพื่อปูทางไปสู่การคุมทีมชาติไทยชุดใหญ่ในอนาคต?

และอันที่จริง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ อิชิอิ ถูกเชื่อมโยงกับตำแหน่งหัวเรือใหญ่ช้างศึก เพราะก่อนหน้านี้ เขาก็เคยถูกมองเป็นตัวเลือก ตอนสมาคมฟุตบอลไทย สั่งปลด อาคิระ นิชิโนะ โค้ชชาวญี่ปุ่น เมื่อปี 2021 แต่สมุทรปราการ ซิตี้ ต้นสังกัดในตอนนั้นไม่ยอมปล่อยไป

Photo : AFP

“ผมไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่ได้ยินมาจากเจ้าของทีมว่า ‘เคยมีการพูดกันเรื่องเฮดโค้ชทีมชาติ แต่ด้วยที่ยังทำงานกับสโมสรอยู่ เลยได้ปฏิเสธไป’ (หัวเราะ)” อิชิอิ กล่าวกับ Shupure News

“แต่ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร ถ้ามีโอกาสเข้ามาอีก ผมคงจะตัดสินใจทำอย่างแน่นอน”

นอกจากนี้ ทีมชาติไทย ก็เป็นเป้าหมายของเขามาตลอด ยกตัวอย่างเช่นตอนให้สัมภาษณ์กับ Nikkan Gendai เมื่อปี 2022 เขาก็ยอมรับว่า อยากจะพา บุรีรัมย์ ประสบความสำเร็จ ที่อาจทำให้เขาถูกเชิญไปคุมทัพช้างศึกในอนาคต

“ถ้าผมพาบุรีรัมย์ คว้าแชมป์ได้อีกในฤดูกาลนี้ ผมก็น่าจะเป็นที่รู้จักมากขึ้นในฟุตบอลไทย และถ้าผมถูกชวนไปคุมทีมชาติไทย ผมก็จะทำให้ดีที่สุด” อิชิอิ กล่าวกับ Nikkan Gendai

และเมื่อบวกกับแนวคิดการทำทีม ที่เน้นการสร้างทีมด้วยนักเตะที่มี พัฒนาความสามารถผู้เล่นเป็นรายบุคคล ที่เคยทำให้ สมุทรปราการ สร้างเซอร์ไพรส์ จบในอันดับ 6 ของตาราง 2 ปีติด ทั้งที่เป็นทีมน้องใหม่ ก็น่าจะเหมาะกับทีมชาติไทย ในการต่อกรกับบิ๊กทีมของเอเชีย

“สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจคือรูปร่างที่สูงของคนไทย มันสูงกว่าส่วนสูงมาตรฐานของคนญี่ปุ่นเสียอีก ในทางกลับกัน พวกเขามีความเข้าใจในแทคติกรายบุคคล และแทคติกทีมในระดับที่ค่อนข้างต่ำ” อิชิอิ กล่าวกับ Shupure

“ตอนแรกผมเข้าหาพวกเขาเหมือนกำลังสอนเด็ก ๆ ผมสอนตั้งแต่พื้นฐาน แต่นิสัยประจำชาติคือความซื่อตรงและจริงจัง ดังนั้นจึงเรียนรู้ได้เร็ว ผมรู้สึกได้ถึงศักยภาพของฟุตบอลไทย และรู้สึกสนุกขึ้นในแต่วัน”

Photo :AFP

เช่นกันกับการให้ความสำคัญกับการสื่อสาร ที่แม้ว่า อิชิอิ จะพูดไทยไม่ได้ แต่เขาก็โดดเด่นในเรื่องวิธีการ ทั้งการลดช่องว่างระหว่างนักเตะด้วยการจำชื่อเล่น ไปจนถึงอธิบายแทคติกทีมด้วยภาพหรือเอกสารล่วงหน้า

“โดยพื้นฐานแล้วผมคิดว่ามันคงไม่มีอะไรเปลี่ยน ไม่ว่าจะคุมทีมในชาติไหน เพราะส่วนของการสร้างทีมไปพร้อมกับเหล่านักเตะ มันไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” อดีตกุนซืออันท์เลอร์สกล่าวกับ Nikkan Gendai

“แต่ที่ไทย การสื่อสารด้วยคำพูดมันไม่ค่อยลื่นไหล เหมือนกับญี่ปุ่น ดังนั้นผมจึงใช้วิธีส่งวิดีโอและพาวเวอร์พอยท์ให้พวกเขาดูล่วงหน้า เพื่อถ่ายทอดแทคติกของทีมด้วยภาพ”

มาซาทาดะ อิชิอิ รับรางวัลจากทูตญี่ปุ่น ในฐานะผู้สร้างความสัมพันธ์อันดีกับไทย
เรียกว่าประสบความสำเร็จทั้งในและนอกสนามอย่างแท้จริง สำหรับ มาซาทาดะ อิชิอิ เทรนเนอร์คนเก่งของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ล่าสุดได้เข้าไปรับรางวัลในฐานะผู้สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างญี่ปุ่นกับไทย นับตั้งแต่ อิชิอิ เข้

แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือทัศนคติที่ดี โดยเฉพาะความปรารถนาดีต่อฟุตบอลไทย ที่อยากทำให้วงการลูกหนังของที่นี่พัฒนาขึ้น แล้วค่อยกลับไปเกษียณตัวเองที่บ้านเกิดในอนาคต

“ผมอยากจะช่วยให้ฟุตบอลไทยแข็งแกร่งขึ้น เรื่องทีมชาติผมก็สนใจ ในทางกลับกันท้ายที่สุดผมก็อยากกลับญี่ปุ่น และมีความรู้สึกว่าอยากใช้ประสบการณ์ที่ไทยมาเป็นผู้จัดการทีมอีกครั้ง” อิชิอิ กล่าวกับ Shupure

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้การเข้ามานั่งประธานเทคนิค ในทีมชาติไทย ของ อิชิอิ มีความน่าสนใจ และหากได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายอย่างเต็มที่ ด้วยความสามารถ และความเป็นมืออาชีพของเขาก็น่าจะช่วยผลักดันฟุตบอลไทยให้ไกลกว่าที่เป็นอยู่

แหล่งอ้างอิง

https://wpb.shueisha.co.jp/news/sports/2023/07/26/120111/

https://www.nikkan-gendai.com/articles/view/sports/309351/2

https://number.bunshun.jp/articles/-/842285

https://www.sanook.com/sport/1497086/

แชร์บทความนี้
ลีดส์ ยูไนเต็ด, ญี่ปุ่น, มังงะ
mask-bg
logo-black

SOCIAL MEDIA

สนใจโฆษณาติดต่อ