ทีมเศรษฐีมีวิกฤต : เทียบปัจจัยดิ่งเหวของ เชลซี และ บีจี ที่เหมือนกันเกินคาด
สถานการณ์ของลีกฟุตบอลอาชีพชั้นนำในบ้านเร่า และลีกอันดับหนึ่งเรื่องความนิยมจากแฟนบอลทั่วโลกอย่าง พรีเมียร์ลีก อังกฤษ กำลังเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้าย ในการตัดสินผลงานบนตารางคะแนน รวมไปถึงความสำเร็จต่างๆ ในรายการบอลถ้วย
ประเด็นที่น่าสนใจสดๆ ร้อนๆ จากศึก ช้าง เอฟเอ คัพ คือ การตกรอบของยักษ์ใหญ่เงินหนาของวงการบอลไทย บีจึ ปทุม ยูไนเต็ด ที่พลาดท่าถูกทาง โปลิศ เทโร บุกมาลูบคมแซงชนะได้ถึงถิ่น 2-1 ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปอย่างน่าเสียดาย เล่นเอาแฟนบอล กระต่ายแก้ว ส่งเสียงโห่กันไม่ขาดสายหลังจบเกม
เมื่อดูจากสถานการณ์ปัจจุบันของ บีจี มันช่างคล้ายคลึงกับสิ่งที่ เชลซี ทีมชั้นนำบนลีกสูงสุดแดนผู้ดีกำลังเผชิญหน้าอยู่เหลือเกิน มีหลายปัจจัยที่บบรจจบลง ด้วยบทสรุปของผลงานของทีมที่มีแต่ถอยหลังลงคลอง แถมยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง : ภาษากายบอกได้ว่ามีปัญหา : เกิดอะไรขึ้นกับผลงานของ บีจี ปทุม ซีซั่นนี้ ?
สาเหตุใดที่สองทีมจากต่างทวีป ต้องมาเผชิญชะตากรรมที่คล้ายคลึงกัน อันดับในลีกหล่นจากทีมหัวแถว มากองอยู่กลางตาราง แถมยังตกรอบบอลถ้วย เอฟเอ คัพ ในประเทศ ไม่ต่างกัน ร่วมหาคำตอบได้ใน Think Curve - คิดไซด์โค้ง
ลักษณะการบริหารงานของเจ้าของทีม
สิ่งที่เหมือนกันของสองผู้บริหารใหญ่ของทั้ง เชลซี และ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด แน่นอนว่าไม่พ้นเรื่องของความร่ำรวยเป็นทุนตั้งต้น ทรัพย์สินที่อยู่ในคงคลังนั้นมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นเสี่ย ท็อดด์ โบห์ลี่ และ ปวิณ ภิรมย์ภักดี
แนวทางของทั้งคู่ในการบริหารทีม แทบไม่ค่อยแตกต่างกันเท่าไหร่ ยึดเอาการตัดสินใจของตัวเองเป็นสิทธิ์ขาด ต้องการทำงานร่วมกับทีมงานที่ตัวเองไว้ใจและคุ้นเคยเท่านั้น หากใครมีแววเริ่มกระด้างกระเดื่องเมื่อไหร่ เตรียมตัวรอโดนเชือดได้ทันที
เริ่มจากทางฝั่งของ เสี่ยท็อดด์ ที่พอจัดการเคลียร์ปัญหาต่างๆ ในการเทคโอเวอร์ทัพ สิงโตน้ำเงินคราม ต่อจาก โรมัน อบราโมวิช ได้สำเร็จเรียบร้อย ก็เริ่มโครงการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ทันที ด้วยการโละทีมงานเก่าๆ ของ อากู๋โรมัน ออกไปเกือบทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็น บรูซ บัค ที่นั่งแท่นประธานสโมสร และ มารีน่า กรานอฟสกาย่า ผู้อำนวยการสโมสร ที่อยู่โยงมาตั้งแต่ยุคเดิม ผลงานเรื่องการสร้างกำไรให้กับทีม ปรับสมดุลย์บัญชีให้การเงินไหลลื่น ล้วนได้รับคำชื่นชมมาตลอด แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของใหม่ชาวอเมริกันต้องการ
โดยตัวของ บัค ที่โดนปรับตำแหน่งไปเป็น ผู้ให้คำแนะนำระดับอาวุโส กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของ ท็อดด์ ในการบริหารทีมเอาไว้ว่า
“เจ้าของทีมมีวิสัยทัศน์ที่น่าสนใจ เขาจะเข้ามามีบทบาทกับทีมนี้ ตั้งเป้าเพื่อช่วยพัฒนาสโมสรให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ แล้วจะทำงานร่วมกับสตาฟฟ์ที่มีฝีมือยอดเยี่ยม ผู้เล่น โค้ช และ แฟนบอล ควบคู่ไปพร้อมๆ กัน”
แต่แล้วเพียงไม่นาน ผู้ที่ได้รับฉายาว่า หญิงเหล็ก อย่าง มารีน่า ก็ต้องปลิวออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการสโมสรแบบสุดช็อค แม้ว่าจะขึ้นชื่อเรื่องการเจรจาซื้อ-ขาย ผู้เล่นแบบเขี้ยวลากดิน ซึ่งสร้างประโยชน์ให้ทีมมาแล้วนักต่อนักก็ตาม
รวมไปถึงทีมงานบริหารคนอื่นๆ ที่โดนล้างไพ่ทั้งหมด ตามคำแถลงจากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสโมสรที่ประกาศไว้ว่า
“เมื่อยุคใหม่ของเจ้าของสโมส โบห์ลี่ และ เคลียร์เลค แคปปิตอล เริ่มต้นขึ้น พวกเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะสร้างองค์กรเพื่อก้าวไปสู่ตำแหน่งแชมป์ และ หวังกระจายความนิยมของทีมออกไปสู่ระดับสากลในทุกแพลตฟอร์ม”
ประกาศฉบับนั้นทำให้ ท็อดด์ เข้ามาทำหน้าที่แทน มารีน่า พร้อมด้วยการนำทีมงานที่เขาเลือกเฟ้นมาเอง เข้ามานั่งแท่นบอร์ดบริหารชุดใหม่มากหน้าหลายตา ประกอบไปด้วย เบห์ดาด เอกห์บาลี, โชเซ่ เฟลิเชียโน่, มาร์ค วอลเตอร์ส, ฮันส์ยอร์ก วีสส์ และ โจนาธาน โกลสไตน์ เป็นต้น
ส่วนทางฝั่ง คุณ ปวิณ ของ บีจี ปทุม ก็มีแนวคิดคล้ายๆ กัน พร้อมเชือดสตาฟฟ์ที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน หรือออกลูกดื้อทิ้งออกจากทีมทันทีแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยได้เหมือนกัน
ดังเช่นตอนที่เขาปลด ออเรลิโอ วิดมาร์ กุนซือชาวออสเตรเลีย ออกจากตำแหน่งทั้ง ๆ ที่พาทีมไม่แพ้ใคร 7 เกมติดต่อกัน ด้วยเหตุผลที่เล่นทีจริงที่บอกว่าวิดมาร์นั้นเป็นคนดื้อ
“โค้ชผมดื้อ (หัวเราะ) ที่ผมปลด วิดมาร์ เพราะแนวทางการทำทีมไม่ตอบโจทย์สโมสร ผมดึงเขากลับมาเพื่อให้ยกระดับทีมให้ดีกว่าเดิม จากที่เราคว้าแชมป์เมื่อปีที่แล้ว แต่ผมไม่ประทับใจเกมไหนเลย ไม่ว่าเราจะแพ้ หรือ ชนะ ทำให้เราแยกทางกันในที่สุด” นายใหญทัพกระต่ายแก้ว กล่าว
ยังไม่หมดแค่นั้นล่าสุดเมื่อสด ๆ ร้อนเขาก็เพิ่งปลด มาโกโตะ เทกุระโมริ ที่พาทีมจบอันดับสองศึก ไฮลักซ์ รีโว่ ไทยลีก ฤดูกาล 2021-22 คว้าแชมป์ ไดกิ้น ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์คัพ 2022 และผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายรายการ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก 2022 ด้วยเหตุผลที่สร้างความงุนงงให้กับแฟนบอลกระต่ายแก้วไม่แพ้กันนั่นคือ "ใช้แต่ทีมชาติ" หรือถอดความอีกชั้นก็คือแนวทางของโค้ชและผู้บริหารไม่ตรงกันก็คงไม่ผิดนัก
"สาเหตุการปลด เทกุ เป็นวิถีฟุตบอล ทุกคนรู้เป้าหมายพอถึงเวลาไม่เป็นที่หวัง มีช้อยที่จะยืดถึงจบฤดูกาลหรือปรับเปลี่ยนเลย ถามว่าเร็วไปมั้ย ถ้ามองจากปีได้แชมป์เราทำทีมให้ได้แชมป์เร็ว ปีนี้คิดว่าจบฤดูกาลต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้ว คิดว่าโค้ชจะประคองถึงปลายปีแล้วแต่ดูไม่น่าจะรอดจึงต้องมีการปรับเปลี่ยน"
"โค้ชเทกุใช้แต่ทีมชาติ ไม่ยอมโรเตชั่นใช้คนอื่น ถ้าใส่ธีรศิลป์แดงดาเป็นผู้รักษาประตูได้คงใส่ไปแล้ว"
แม้จะเป็นการพูดแบบติดตลกและยืนยันว่าเป็นการยินยอมแยกทางกันทั้งสองฝ่าย แต่แน่นอนว่าในความรู้สึกของแฟนบอลย่อมมีเสี้ยงหนึ่งที่เอะใจถึงความขัดแย้งบางสิ่งที่เกิดขึ้น แม้จะไม่ใช่ความขัดแย้งระดับคอขาดบาดตาย แต่ที่แน่ ๆ มันแสดงให้เห็นถึงอำนาจการตัดสินใจของเจ้าของทีมที่สามารถลงดาบได้ทันที ต่อให้ผลงานทีมยังไม่ได้เข้าใกล้คำว่าวิกฤตก็ตาม
การเลือกผู้จัดการทีม
คุณ ปวิณ เคยให้สัมภาษณ์ถึงแนวคิดหลักในการทำทีมฟุตบอลแบบของตัวเอง ในช่วงเริ่มแรก เอาไว้ว่า
“ในการทำสโมสรกีฬาจะต้องมีคำว่า Passion อยู่ในใจก่อน ต้องรักก่อน ทำแล้วไม่รักนี่ผมคิดว่าอยู่ไม่ยาวแน่ ผมมีความฝันว่าสักวันหนึ่งจะมีโอกาสบริหารจัดการทีมฟุตบอล แล้วก็มีโอกาสจริงๆ”
“ธุรกิจกีฬาเป็นอะไรที่จะนำมาเทียบกับธุรกิจทั่วไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผน หรือปัจจัยอื่นๆ ธุรกิจกีฬาเป็นอะไรที่วางแผนค่อนข้างยากมาก”
“เป้าหมายที่เราวางไว้ มันไม่ค่อยเป็นไปตามที่เราวางไว้ เรากำลังดีลกับคน 100% เราไม่ได้ดีลกับเครื่องจักร เพราะฉะนั้นจิตวิทยาเป็นอะไรที่สำคัญมาก การบริหารจัดการสำคัญมาก"
“ซึ่งปัญหาเกิดขึ้นตลอด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของทีม เรื่องของคน คนทำงานเท่านั้นถึงจะรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น และต้องแก้ปัญหาให้ได้”
“ความสำเร็จเราไม่ได้มองในเชิงของถ้วยรางวัลเป็นหลัก เรามองหลายสิ่งหลายอย่างมากกว่า ผมพอใจในสิ่งที่เรากำลังทำครับ ถึงแม้มันจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกหรือพลาดก็ตาม เพราะถ้าไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาด ผมคงจะต้องคิดกลับไปตลอดว่าทำไมไม่ตัดสินใจให้รู้เรื่องไปเลย”
“สุดท้ายผมคิดว่าสิ่งที่ทำให้เราประสบความสำเร็จได้ก็คือเรื่องบุคลากรครับ นอกจากการพัฒนาบุคคลากรที่ร่วมงานกับเราให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เรายังได้พัฒนาตัวเองควบคู่กันไปอีกด้วยครับ”
จากคำกล่าวข้างต้น ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นัก ที่จะเห็นการเข้ามารับงานแบบขัดกตราทัพของกุนซือคู่บุญของทีมอย่าง “โค้ชง้วน” สุรชัย จตุรภัทรพงษ์ ซึ่งไม่ว่ารอบใดที่สโมสรมีการเปลี่ยนแปลงผู้ฝึกสอน แฟนบอล กระต่ายแก้ว มักจะยกให้เขาเป็นเต็งหนึ่งเสมอ
แต่ครั้งนี้มันต่างกันออกไปเพราะทาง คุณ ปวิณ ต้องการคิดแบบกลับทางใหม่หมด เมื่อทำอะไรแบบเดิมๆ แล้วผลลัพธ์ออกมาแบบเดิม จึงเป็นที่มาของการแหวกแนว สร้างทีมด้วยการใช้ ดีเอ็นเอ ของสโมสร เป็นจุดตั้งต้น
เมื่อผลงานของทีมช่วงต้นฤดูกาล ภายใต้การนำทัพของ โค้ชเทกุ ไม่เป็นไปตามเป้า จึงตัดสินใจเปลี่ยนแปลงหัวเรืออย่างเร่งด่วน แล้วคนที่เข้ามารับตำแหน่งแทน คือ แม็ตต์ สมิธ อดีตผู้เล่นขวัญใจแฟนบอล ที่เข้ามารับไม้ต่อแบบสุดเซอร์ไพรส์ เนื่องจากโปรไฟล์เทียบชั้นโค้ชเก่าไม่ได้เลย แถมไม่เคยผ่านงานการคุมทีมมาก่อน
พอไปเปรียบเทียบกับฝั่ง สิงโตน้ำเงินคราม ก็มีการเปลี่ยนแปลงตัวกุนซือในช่วงต้นซีซั่นเช่นกัน แล้วก็เป็นทาง โธมัส ทูเคิ่ล ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน ที่กระเด็นออกจากตำแหน่งไป เนื่องจากผลงานไม่เป็นไปตามเป้า
ส่วนตัวเลือกที่ เสี่ยท็อดด์ ไปคว้ามานั้น คือ เกรแฮม พ็อตเตอร์ เทรนเนอร์ของ ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน ที่กำลังทำทีมติดลมบนได้อย่างน่าทึ่ง แม้ว่าจะมีทรัพยากรจำกัด แต่พอนำไปเทียบชั้นกับดีกรีของ ทูเคิ่ล ที่เคยพาทีมคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาแล้ว แฟนบอลย่อมประหลาดใจกับการเสี่ยงดวงครั้งนี้พอสมควร
สุดท้ายสิ่งที่สองสโมสร ต้องเจอไม่ต่างกัน ก็คือ พ็อตเตอร์ และ สมิธ มีผลงานการคุมทีมที่แย่ที่สุด หากเทียบกันตามสถิติกับผู้จัดการทีมคนก่อนๆ ของทีม ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นภายในทีม จำนวนนับสิบคนในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
การเสริมทัพ
อย่างที่แฟนบอลทราบกันดีว่า บีจี ปทุม และ เชลซี ต่างเป็นสโมสรที่มีงบประมาณทำทุนต่อฤดูกาลล้นมือเอามากๆ ขึ้นอยู่ว่าจะลงตลาดแล้วช็อปปิ้งมากแค่ไหน ต้องมีดีลใหญ่ให้เห็นกันจนชินตา จากการให้สัมภาษณ์ของ คุณ ปวิณ ที่เคยกล่าวถึงการเสริมทัพเอาไว้ว่า
“ถ้า ไทย ลีก ไม่มีสโมสรอย่าง บีจี กับ ท่าเรือ ทีมอื่นๆ จะปั้นนักเตะมาขายใคร ทุกลีกต้องมีการซื้อ-ขายให้เกิดความสมดุล”
พอประกอบเข้ากับการประกาศเตรียมหยุดให้การสนับสนุน เชียงใหม่ เอฟซี สโมสรพันธมิตรใน ไทย ลีก 2 ผู้เล่นที่ถูกยืมตัวไปใช้งาน ก็ทยอยถูกส่งกลับมา บวกเข้ากับที่ซื้อเข้ามาเติมอีก เลยกลายเป็นว่า มีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่น เก่าไป ใหม่มา ระดับสิบคน
เช่นเดียวกับทาง เชลซี ของ เสี่ยท็อดด์ เมื่อผลงานไม่ดี การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าที่เร็วที่สุด ย่อมเป็นการซื้อตัวเข้ามาเติมขุมกำลังในแดนต่างๆ ที่มีสตาร์ตบเท้าเข้ามาสู่ถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ นับรวมสองตลาดกว่า 10 รายด้วยกัน
อย่างไรก็ตามนอกจากจำนวนจะเยอะแล้ว สิ่งที่ผู้จัดการทีมต้องเจอ คือ ปัญหาเรื่องคนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ เมื่อเจ้าของทีมต้องการดึงนักเตะที่ตรงตามสเปคตัวเองเข้ามา คนหน้างานแบบกุนซือทั้ง พ็อตเตอร์ และ สมิต ก็ต้องรับลูกใช้ตัวหมากที่มีในมือให้คุ้มค่ามากที่สุด
แผนการเล่นของ บีจี และ เชลซี มีจุดที่เหมือนกันอีกอย่าง เป็นเรื่องของระบบการเล่น ที่เลือกใช้ระบบเซนเตอร์แบ็คสามคน หวังสร้างพื้นฐานจากเกมรับที่แข็งแกร่ง ก่อนจะต่อยอดไปถึงเรื่องของเกมรุกอันดุดัน
แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาในสนาม ดันออกมาเป็นตรงกันข้ามกับที่หวัง เนื่องจากเกมป้องกันรั่วเกินห้ามใจ แถมแนวรุกก็ใช้โอกาสเปลืองแสนเปลือง ทำแต้มหล่นไปกับเกมเบี้ยใบ้รายทางจำนวนไม่น้อย จนอันดับหล่นมาอยู่กลางตารางของลีกพอดิบพอดี (เชลซี อันดับ 10 ส่วน บีจี ปทุม อยู่อันดับ 8)
การันตีเลยว่า หากฟอร์มของทั้งสองทีม ยังคงดำดิ่งไปสู่ความหายนะเรื่อยๆ เช่นนี้ สิ่งที่จะเหมือนกันต่อไป คือ การปลดผู้จัดการทีม หากุนซือใหม่โปรไฟล์ดีมารับงาน รื้อแผนงานใหม่หมดในฤดูกาลหน้า
ส่วนในมุมมองของแฟนบอลตอนนี้ คงปลงตกไปเรียบร้อย พร้อมปล่อยจอยเชียร์แบบซึมๆ ไปจนปิดฤดูกาล เพราะต่อให้ผลการแข่งขันออกมาย่ำแย่แค่ไหน เสียงของพวกเขาก็ยังดังไปไม่ถึงกลุ่มผู้บริหารสโมสรอยู่ดี
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
คิดและทำแบบ “อันเก” : สาเหตุที่อดีตกุนซือ ‘มารินอส’ ถูกยกให้เป็นตัวแทน คล็อปป์
เกิดอะไรขึ้นจึงทำให้ เอเด็น อาซาร์ กลายร่างจากปีกเทพเจ้าสู่ต้าวอ้วง ?
ยุทธวิธีปลดแอก : เหตุใด วินิซิอุส จึงใส่สตั๊ดที่ไม่มีโลโก้ Nike ?
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
https://talksport.com/football/1134663/chelsea-marina-granovskaia-exit-todd-boehly-transfers/
https://www.football.london/chelsea-fc/news/chelsea-marina-granovskaia-todd-boehly-24282197#
https://www.mixmagazine.in.th/00001926
https://www.thesun.co.uk/sport/21445416/graham-potter-chelsea-managers-record-worst-win-percentage/
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=646837914111829&set=pb.100063568779350.-2207520000.&type=3