ธนาสิทธิ์ ศิริผลา : เปิดใจ "เต๋าดินโญ่" ผมต้องหาทางกู้ชื่อตัวเองกลับมาบ้าง
นักเตะอาชีพที่ค้าแข้งอยู่ใน ไทย ลีก ต่างคนต่างมีเป้าหมายสูงสุดแตกต่างกันออกไป บางกลุ่มแค่อาจวางเป้าเพียงการประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก มีการงานที่มั่นคง อยู่กับสโมสรที่มีเงินทุนทำทีมมหาศาล รับค่าตอบแทนแบบสมน้ำสมเนื้อ เพื่อจะได้ดูแลครอบครัวเบื้องหลังได้ก็เพียงพอ
แต่เชื่อได้เลยว่าในทางกลับกัน ย่อมต้องมีกลุ่มผู้เล่นที่ไม่ได้มองแค่เรื่องของความสบาย มีความกระหายที่ต้องการพิสูจน์ตัวเอง เล่นให้คุ้มค่าเหนื่อย ไม่จำเป็นต้องอยู่กับสโมสรระดับหัวแถว แต่ต้องพยายามทำผลงานของตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อตอบแทนแฟนบอลและบอร์ดบริหารที่ไว้ใจ
“เต๋าดินโญ่” หรือ ธนาสิทธิ์ ศิริผลา เป็นอดีตนักเตะดาวรุ่งฝีเท้าดี ที่ตอนก้าวขึ้นมาเป็นที่รู้จักใหม่ๆ แฟนบอลและสื่อต่างคาดการณ์กันไว้ว่า ฝีเท้าของเขาจะไปได้ไกลในวงการนี้ แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างในอาชีพที่ต้องเผชิญ ปัญหาเบื้องลึกเบื้องหลังที่ถาโถมเข้ามา ส่งผลให้ชื่อของเขาค่อยๆ เลือนไปจากกลุ่มผู้เล่นหัวแถวในประเทศไทย
การกลับมาระเบิดฟอร์มสุดยอดกับ “ต่อพิฆาต” พีที ประจวบ เอฟซี ยิงไป 3 ประตู จากการลงสนาม 3 นัด บวกกับหนึ่งแอสซิสต์ พลิกบทบาทจากตัวเลือกรองในแนวรุกของสโมสร การท่าเรือ เอฟซี กลายมาเป็นนักเตะตัวความหวังของตั้นสังกัดชั่วคราว สาเหตุใดถึงทำให้ เต๋า มีความกระหายในการเล่นเป็นพิเศษ ร่วมหาคำตอบได้ใน Think Curve - คิดไซด์โค้ง
เส้นทางการค้าแข้งที่ยากจะคาดเดา
ความประทับใจในเกมลูกหนังของเด็กชาย ธนาสิทธิ์ เริ่มต้นขึ้นในปี 2002 ตั้งแต่อยู่สมัยอนุบาล หลังได้รับชมเกมฟุตบอลโลก ทีมเป็นการแข่งขันของทีมชาติบราซิล ยุค ทริปเปิ้ลอาร์ ประกอบไปด้วย โรนัลโด้, ริวัลโด้ และ โรนัลดินโญ่ ที่เป็นแนวรุกระดับพระกาฬทั้งสิ้น
โชคดีที่อำเภอ เขมราฐ จังหวัดอุบลราชธานี ที่เป็นบ้านเกิดของเขา มีการจัดแข่งขันกีฬาหลายชนิดเป็นประจำ ซึ่งฟุตบอลก็จัดเป็นกีฬายอดนิยม ที่มีทีมจากกรุงเทพฯ มาแข่งขันประลองฝีเท้าด้วย เขาและเพื่อนๆ จึงได้ไปคัดเป็นตัวแทน แล้วเริ่มเส้นทางแบบเอาจริงเอาจังกับกีฬานี้มากขึ้น นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
การกระโดดเข้ามาเป็นนักเตะอาชีพของ เต๋า คือ การได้เซ็นต์สัญญาเป็นนักเตะกับสโมสร บางกอกกลาส ได้รับโอกาสไปเล่นให้กับสโมสรพัธมิตรอย่าง รังสิต เอฟซี ยิงประตูแรกของตัวเองและเป็นประตูชัยเอาชนะ สโมสรฟุตบอลสวัสดิการทหารบก 1-0
จบทัวร์นาเมนต์นั้น เต๋า โชว์ฟอร์มได้ค่อนข้างเข้าฝัก ด้วยการยิงไป 3 ประตู จากการลงเล่น 5 นัด พาทีมคว้าแชมป์ ถ้วย ข. พร้อมกับสิทธิ์เลื่อนชั้นไปเล่นในลีกภูมิภาค ดิวิชั่น 2 กลุ่มกรุงเทพและปริมณฑล ได้สำเร็จ
จากผลงานอันน่าประทับใจ ส่งผลให้ ธนาสิทธิ์ ได้โอกาสลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของ บางกอกกลาส ด้วยวัยเพียง 16 ปี แต่ผลงานของเขาก็ยังจัดว่าอยู่ในกลุ่มผู้เล่นที่วูบวาบเป็นบางช่วง มียิงประตูได้บ้างประปราย การลงสนามให้กับทีมยังถูกจำกัด
แม้ว่าจะอยู่ในทีมชุดแชมป์ ไทยคม เอฟเอ คัพ ของ กระต่ายแก้ว แต่ไม่มีชื่อลงเล่นให้ทีมแม้แต่เกมเดียว อย่างน้อยชื่อชั้นของเขาก็ยังอยู่ในสาระบบทีมชาติไทย ชุดอายุต่ำกว่า 19 ปี และ 23 ปี ซึ่งเป็นใบเบิกทางชิ้นสำคัญให้เขาได้ย้ายไปอยู่กับ สุพรรณบุรี เอฟซี ในเวลาต่อมา
ผลงานของเขากับ ช้างศึกยุทธหัตถี ถือว่าไปในทิศทางที่ดีเลยทีเดียว ทั้งยิงและแอสซิสต์แบบที่เห็นกันอยู่ในตอนนี้ โดยปีกมากลีลา เปิดเผยว่า เคยมีข้อเสนอจากทีมใน เจ ลีก ทู ยื่นเข้ามาให้ต้นสังกัดพิจารณาเลยด้วย
“ช่วงอายุที่ผมประมาณ 22 มีดีลจากลีก เจ ลีก ทู เข้ามา ตอนนั้นผมเล่นให้ สุพรรณบุรี ทุกอย่างเขาคุยกันเรียบร้อยหมดแล้ว เขาอยากให้ผมไปเทสต์ ตัวเลือกที่เขาระบุมากับเอเย่นต์ คือ ปีกริมเส้นคนไทย อายุไม่เกิน 22ปี มันลงตัวกับผมเอามากๆ”
“ทางที่โน่นเขาจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พักเอาไว้ให้ผมเรียบร้อยแล้ว แต่ทาง สุพรรณ ไม่ให้ผมไป อย่างน้อยถ้าสมมติผมมีโอกาสได้ไป มันก็ไม่แน่นะ ไปเล่นให้เขาดูแล้วมันเข้ากับทีม ตรงสเปคที่เขาต้องการ”
“ถ้าเป็น เจ ลีก 1 ตัวผมว่าผมเหนื่อย แต่ถ้าเป็น เจ ลีก 2 ทีมมันเยอะ โอกาสได้เล่นเยอะ ลีกมันไม่ได้แข็งโป๊กมาก ผมว่าก็น่าลองนะครับ”
หลังจากต้นสังกัดไม่สามารถรอดพ้นจากการตกชั้น เต๋า ก็ถูกทาง การท่าเรือ เอฟซี ติดต่อเข้ามา ซึ่งเขามองว่าเป็นโอกาสสำคัญในการพิสูจน์ตัวเอง เลยเลือกที่จะย้ายไปซบยักษ์ใหญ่แห่งคลองเตย โดยไม่ได้คิดมาก่อนเลยว่า เขาจะต้องเจอกับสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดรออยู่ข้างหน้า
ความกระหายในการพิสูจน์ตัวเอง
ช่วงเวลาที่ย้ายไปอยู่กับ การท่าเรือ เขาต้องกลายเป็นตัวเลือกรองๆ ในตำแหน่งปีกตัวริมเส้น ถึงขนาดถูกจัดไว้เป็นลำดับที่ 5 ลำดับที่ 6 ภายในทีมชุดใหญ่ เมื่อมีการซ้อมแข่งทีม เอ ปะทะกับ ทีม บี ตัวเขายังไม่มีชื่อติด ต้องไปซ้อมแยกการยิงประตูแบบเหงาๆ กับโค้ชฟิตเนส
การดูตัวนักเตะ การคัดนักเตะลงสนาม ต่อให้ทุ่มเทในการซ้อมแบบเต็มร้อยเสมอ โค้ชต่างชาติชอบทัศนคติที่เขาแสดงออกมา แต่สุดท้ายโอกาสการลงสนามของ ธนาสิทธิ์ ก็ไม่ได้มากขึ้นเลย ตัวเขาไม่มีอำนาจที่จะทำอะไรได้ และต้องยอมรับการตัดสินใจ ณ จุดนั้น
“โค้ชฝรั่งส่วนมากจะชอบผม เพราะรู้ว่าผมมีแพสชั่นเต็มที่กับการซ้อม แต่สุดท้ายแล้วผมไม่ได้เป็นตัวเลือกหลักของทีม มันก็ได้แค่นี้ ลงเล่นไป 10 นาที 20 นาที มันก็สร้างผลงานได้ยากลำบาก”
“การอยู่ ท่าเรือ มันมีเรื่องให้คิดเยอะ เรื่องนอกสนามเข้ามารบกวนในใจเยอะ บวกกับเราไม่ได้เล่น ไม่ได้รับโอกาส แต่บางทีการได้รับโอกาสแล้วผู้ใหญ่คาดหวังในตัวเรา กลายเป็นเรากดดันตัวเองกับเวลาอันน้อยนิดที่ได้รับ ผลงานมันเลยออกมาไม่เป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่”
ใช่ว่าช่วงเวลาที่ เต๋า ต้องอดทนรอจังหวะที่จะได้ลงเล่น นานเป็นปีครึ่งถึงสองปีในถิ่น แพท สเตเดี้ยม จะไม่มีทีมอื่นให้ความสนใจ ที่จะยืมตัวเขาไปใช้งาน แต่โค้ชและผู้ใหญ่ในทีม มองแล้วว่า เขายังเป็นอะไหล่ชั้นดีให้กับทีมอยู่ เลยตัดสินใจเก็บเขาไว้กับทีมก่อน แล้วเลือกปฏิเสธข้อเสนอเหล่านั้นไป
อย่างไรก็ตามการย้ายไปอยู่กับ พีที ประจวบ เอฟซี ในเลกที่สอง ด้วยสัญญายืมตัวจนจบฤดูกาลครั้งนี้ต่างออกไป เพราะทางผู้บริหารเปิดไฟเขียวให้เขาย้ายได้ ธนาสิทธิ์ จึงไม่รอช้าติดต่อไปยังผู้บริหารของ ต่อพิฆาต เองเลยทันที
เพราะต้นสังกัดอย่าง สิงห์เจ้าท่า ได้ตัวใหม่ๆ อย่าง ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ และมีตัวหน้าเก่าขาประจำแบบ ปกรณ์ เปรมภักดิ์ รวมไปถึงคนอื่นๆ ที่เพียงพอแล้วในตำแหน่งเดียวกัน ผู้ใหญ่เลยถามเขาว่าอยากออกไปเล่นที่อื่นมั้ย ถ้าไม่ไปก็อยู่กับทีมต่อไปได้
“ตัวของผมอยากออกที่จะไปเล่นแล้ว คือ ผมมันคิดถึงฟีลฟุตบอลที่จะได้เล่นเต็มเกม หรือ ลงเป็นตัวหลัก ดีลนี้มันเลยเกิดขึ้น ผมโทรหาประจวบเองเลย เพราะรู้ว่าทางสโมสรนี้ อยากได้ตัวผมมาหลายปีแล้ว”
“ไม่เชิงว่าผมปฏิเสธจะไปเล่นให้กับทีมอื่นๆ แต่ผมจะให้ต่อสายไปคุยกับสโมสรเองเลย ถ้าผู้ใหญ่โอเค คุยกันอะไรยังไงลงตัว ตัวผมได้หมด ถ้าต้นสังกัดมองว่ายังต้องใช้ คือผมมีสัญญาอยู่ ผมก็ทำอะไรไม่ได้”
“อย่างนึงเลยที่สำคัญในการย้ายครั้งนี้ คือ ผู้ใหญ่เปิดทางให้เรา จังหวะมันเข้าช่วงเลกสองพอดี สัญญาเราก็ใกล้จะหมด เราก็ต้องไปหาทางกู้ชื่อตัวเองกลับมาบ้าง”
การได้รับโอกาสครั้งใหม่ แล้วผลงานของ เต๋าดินโญ่ ออกสตาร์ทได้ด้วยดีในช่วงสามเกมแรก พาทีมเก็บชัยชนะในเกมใหญ่ได้ ตัวเขาถึงกับระบายความอัดอั้นออกมาอย่างพรั่งพรู ด้วยการร้องไห้ออกมาระหว่างสัมภาษณ์ หมายความได้ว่า ตัวเขาคงปลดล็อคบางอย่างในใจ แล้วระบายมันออกมาด้วยกาวาดลีลาในสนามได้อย่างที่ต้องการสักที
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
อิสระในการเล่นที่แตกต่าง
หลังสอบถามตัวของ เต๋าดินโญ่ ถึงการการย้ายทีมครั้งนี้ เขาคิดว่ามันไม่ได้แตกต่างอะไรกับการโยกย้ายทั่วไป ที่เกิดขึ้นได้กับนักฟุตบอลทุกคน เคยผ่านเรื่องนี้จากตอนย้ายจาก บีจี ไปอยู่ สุพรรณฯ ก่อนจะไปลงเอยที่ ท่าเรือ มาแล้ว
อย่างไรก็ตามความแตกต่างที่ชัดเจน คือ การเล่นของเขา ที่ทาง “โค้ชโอ่ง” ดุสิต เฉลิมแสน ปล่อยให้เขาเล่นได้แบบอิสระในเกมรุก ความคาดหวังจากผู้บริหารของทีมก็มีบ้างเป็นธรรมดา แต่ไม่ได้ถึงขั้นกดดัน ให้เขาเป็นตัวเองได้เต็มที่ ทำหน้าที่ของตัวเองในสนามให้ดีที่สุดก็พอ
ซึ่งต่างฝ่ายต่างรู้คุณภาพเรื่องฝีเท้ากันอยู่แล้ว ถ้าไม่มีของจริงคงไม่อยากได้มาช่วยทีม ไม่ได้หวังถึงขั้นให้ต้องมายิงกระจาย ช่วยสโมสรให้รอดพ้นจากการตกชั้นให้ได้เท่านั้น ส่วนแทคติกส์และเรื่องของจิตวิทยาจากตัวโค้ช ก็สำคัญเช่นเดียวกัน
“ถ้าเมื่อไหร่มีโค้ชบอกผมว่า ตัวรุกพยายามอย่าเสียบอลนะ แบบนี้ผมจะเล่นฟุตบอลในแบบของตัวเองไม่ได้เลยทันที แต่ถ้าบอกให้เล่นแบบอิสระไปเลยเต็มที่ เสียแล้วไปไล่เอาทีหลัง ก็เป็นการช่วยเรื่องความผ่อนคลายในการเล่นตามหลักจิตวิทยา”
“บางทีมันก็อยู่ที่ตัวโค้ชด้วยในการเลือกใช้คำพูด ถ้าโค้ชบางคนบอกว่าเล่นปีกห้ามเสียบอลง่ายนะ แต่อีกคนใช้วิธีพูดให้เล่นไปเลย เสียแล้วค่อยไปช่วยเพื่อนไล่เอาบอลคืนมา แค่ความต่างของคำพูดเหล่านี้ ก็เพิ่มความมั่นใจให้กับลูกทีมได้แล้ว”
บรรยากาศภายในทีมที่เป็นกันเอง ไม่มีความถือตัวระหว่างผู้เล่นทุกคน ต่างฝ่ายต่างร่วมแรงร่วมใจกันช่วยทีมให้ไปถึงเป้าหมาย ไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น
รวมไปถึงการร่วมงานกับเพื่อนเก่าอย่าง ชุติพนธ์ ทองแท้ ที่ช่วยให้เขาอยู่ในพื้นที่ที่เป็นเหมือน เซฟโซน ก็ช่วยในเรื่องการปรับตัวได้เยอะ พอควบรวมเข้ากับตัวโค้ชและผู้บริหารที่มีความเข้าใจ ทุกอย่างมันก็ลงตัว
“ไม่ว่านักเตะไทยหรือต่างชาติก็ต้องการอิสระในการเล่น ทุกคนมีสไตล์เฉพาะตัว แต่ถ้าบางที่เขาจะบอกว่าต่างชาติทำอะไรได้ตามใจเลย แต่นักเตะไทยห้ามทำ แบบนี้ผมมองว่าไม่แฟร์สำหรับคนไทยสักเท่าไหร่”
“ทั้งที่จริงแล้วนักเตะทุกคนก็มีฝีเท้าดีใกล้ๆ กัน แต่จะไปอิงให้นักเตะไทยคอยสนับสนุนตัวต่างชาติเยอะๆ แล้วต่างชาติไม่ทำแบบเดียวกัน ทีมมันก็ไม่เป็นทีม”
“นักเตะต่างชาติในไทยก็มีทั้งของจริงของปลอม นักฟุตบอลมีลักษณะนิสัยต่างกันออกไป”
“บางคนเป็นพวกอีโก้สูงเลยก็มี ไม่เอาคนไทยเลย ตั้งใจแต่จะทำสถิติของตัวเอง บางคนมีดีกรีมีอะไรติดตัวมาแต่นิสัยดีก็มี พร้อมเปิดรับ ฟังเพื่อน แชร์ประสบการณ์ พูดคุยกันได้แบบเปิดอก มันก็แล้วแต่ว่าสโมสรไหนจะเจอกับอะไร”
“โควต้าใน ไทย ลีก ผมมองว่า พวกยุโรป พวกเอเชีย นี่โอเค แต่ถ้าเป็นอาเซียน ยังไม่แตกต่าง เก็บโควต้านั้นไว้เพื่อสำหรับการพัฒนาเยาวชน หรือให้โอกาสนักเตะไทยได้โชว์ของจะดีกว่า”
“ในทีมประจวบนี่ดีอย่าง ผู้เล่นทุกคนทั้งไทยและต่างชาติคุยกัน ตัดอีโก้ของตัวเองออก มองผลประโยชน์ส่วนรวมของทีมมาก่อน”
สำหรับการเล่นของ เต๋า ที่เจ้าตัวมองว่าพัฒนาขึ้นกว่าแต่ก่อน คือ เรื่องของความ “กล้า” ในจังหวะสับไกยิงประตู ซึ่งแต่ก่อนเขามักจะเน้นไปที่การ แอสซิสต์ จ่ายให้เพื่อนยิงมากกว่า แค่มีส่วนร่วมกับเกมก็เพียงพอแล้ว
ความกระหายในการลงเล่น ช่วยให้ตัวของเขามั่นใจว่าจะทำทุกอย่างได้ดั่งใจแน่นอน พอนำไปรวมกับปัจจัยดีๆ ที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้กล้าเล่น กล้าเสี่ยงมากขึ้น กล้ายิง เข้าไม่เข้าไม่เป็นไร ขอแค่ได้ลองส่องไปก่อน แต่ก็ไม่ทิ้งเรื่องการเปิดบอลให้เพื่อน จึงทำให้ตอนนี้มีอาวุธรอบด้าน ทำได้ทั้งยิงและจ่าย
ยิ่งไปกว่านั้นการเล่นเกมรับของเขาก็ดีขึ้นด้วย วิ่งขึ้น-ลงไปช่วยตำแหน่งฟูลแบ็คได้สบาย แม้ว่าสภาพร่างกายตอนนี้จะอยู่ที่ราว 70-80 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ไม่ได้จำกัดตัวเองว่า ต้องประจำการอยู่ตรงตำแหน่งตามแผนการเล่นตลอด แต่ในเรื่องของสภาพจิตใจกลับมาดีเต็มร้อยแล้ว
ส่วนจุดที่อยากพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม คือ เรื่องของการจบสกอร์ในจังหวะทีเด็ดทีขาด หรือ ช่วงเวลาที่ตัดสินเกมได้ ให้มีความ “นิ่ง” กว่าเดิม เพราะตัวเขาเพิ่งจะมากล้ายิงเองได้ไม่นาน แต่ก็ต้องดูเรื่องของพละกำลังที่เหลือในแต่ละเกมด้วย ซึ่งถ้าได้เล่นต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ทุกอย่างก็จะดีขึ้นตามลำดับ
เป้าหมายที่วางไว้หลังจากนี้
การย้ายมาช่วยทีม ประจวบ เอฟซี ของ เต๋า มีภารกิจสำคัญ คือ ต้องพยายามเก็บแต้ม พาทีมอยู่รอดบนลีกสูงสุดประเทศไทยให้ได้ ถึงแม้ว่าเกมไหนจะชนะทีมใหญ่ ผู้เล่นภายในทีมก็แค่ดีใจตามประสา แต่ไม่ได้ฉลองกันเว่อร์วัง เพราะต่างคนต่างรู้ดีว่า งานมันยังไม่จบ วันต่อมาก็ต้องเตรียมตัวในเกมต่อไปแล้ว
“เป้าหมายของผมตอนนี้ โฟกัสให้ทีม ประจวบแบบเต็มร้อย ผมเลือกที่จะมาที่นี่มาช่วยทางผู้ใหญ่และมาช่วยทีม ชัดเจนเลยคือต้องพาทีมรอดตกชั้น ส่วนเป้าหมายส่วนตัวของผม ขอลงเล่นทุกเกม ไม่บาดเจ็บ ส่วนฟอร์มจะดีไม่ดียังไงไม่เป็นไร ขอแค่ทีมยังได้แต้มก็พอ ไม่ว่าจะหนึ่งหรือสามแต้มก็ได้”
อนาคตของตัว เต๋าดินโญ่ เจ้าตัวเองก็ยอมรับว่ายังไม่รู้จะออกหน้าไหนเหมือนกัน เพราะพอจบซีซั่นนี้ ยังเหลือสัญญากับต้นสังกัดที่แท้จริงอย่าง การท่าเรือ เอฟซี อีกประมาณ 6 เดือน ดังนั้นก็ต้องกลับไปยังถิ่น แพท สเตเดี้ยม ตามสัญญาก่อน
"การออกไปเล่นลีกต่างประเทศ ก็เป็นอีกตัวเลือกที่อยู่ในหัวตลอด อย่างลีก มาเลเซีย ก็น่าสนใจ เพราะเห็นทาง “พี่กอล์ฟ” อดิศักดิ์ ไกรษร ไปลองเปิดตลาดนักเตะไทยอยู่ แล้วก็มีการพูดคุยกันตลอด ซึ่งทางตัวเอเย่นต์ก็มีติดต่อมาเหมือนกัน"
ส่วนอนาคตของตัวเองกับทีมชาติไทย ไม่ได้คาดหวังอะไรแล้วจริงๆ เพราะทุกวันนี้ตัวเลือกเยอะ แถมเด็กๆ ที่ขึ้นมาใหม่ๆ ก็ฝีเท้าไม่ธรรมดา ลักษณะการทำทีมก็เข้าสู่ช่วงถ่ายเลือดหลายตำแหน่งแล้วด้วย
"ถ้าก่อนหน้านี้สมมติได้เล่นต่อเนื่อง ร่างกายฟิตๆ โอกาสมันก็พอมีอยู่ แอบเสียดายเวลาของตัวเองที่เสียไปอยู่บ้าง พอเห็นเพื่อนๆ ที่เล่นกันมานานยังมีชื่ออยู่ในทีมชาติ แต่ตัวเขาเองกลับหายหน้าหายตาไปหลายปี เพิ่งจะกลับมาเล่นเต็มเกม 90 นาทีได้ไม่กี่นัด"
การที่ฟอร์มดีเป็นกระแสอยู่ไม่กี่นัด เริ่มกลับมาเป็นที่พูดถึงจากปากของแฟนบอลบ้างก็ดีใจแล้ว แต่โค้ชคงไม่มองผลงานแบบฉาบฉวย ขอโฟกัสกับการเล่นให้กับสโมสรก่อนดีกว่า ซึ่งถ้าจับพลัดจับผลูเรียกตัวไปก็พร้อมอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นตัวของ เต๋า ก็มีการวางแผนงานหลังแขวนสตั๊ดไว้บ้างแล้วล่วงหน้า เพราะมองว่า เส้นทางอาชีพของนักฟุตบอลนั้นไม่มีอะไรแน่นอน อย่างน้อยก็จะได้ฝึกการบริหารธุรกิจเอาไว้เนิ่นๆ ซึ่งเป็นโปรเจ็คท์ พูล วิลล่า ที่เตรียมปล่อยให้เช่าที่จังหวัด นครนายก
สุดท้ายทาง ธนาสิทธิ์ ก็ฝากคำขอบคุณมาถึงแฟนบอล ที่ยังคอยตามเชียร์ สนับสนุน ให้กำลังใจไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขาได้โอกาส หรือ ไม่ได้โอกาส รวมไปถึงพี่น้อง ญาติ โค้ช และเพื่อนๆ อันเป็นแรงใจสำคัญให้เขาสามารถก้าวผ่านช่วงที่ย่ำแย่ไปได้ แล้วยังเชื่อมั่นในตัวของเขาเสมอมา
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
Y2K เดอะ ซีรี่ส์ : มานิตย์ น้อยเวช : ชีวิตไม่ง่ายและกว่าจะเป็น “ริวัลโด้กั๊ก”
Y2K เดอะ ซีรี่ส์ : เรื่องเล่าสมัยไทยลีกยังเต็มไปด้วยขาโหดจาก "รุ่งโรจน์ สว่างศรี"
Y2K เดอะ ซีรีส์ : เปิดตำนาน “ชลขาโหด” ของ ชลทิตย์ จันทคาม
แหล่งอ้างอิง:
https://www.facebook.com/kidsidekong
การสัมภาษณ์ออนไลน์ส่วนตัว