ว่าด้วยแท็คติก : ท่าเรือ บีจี บุรีรัมย์ ทีมไหนตอบโจทย์สไตล์ ชนาธิป?
จากประเด็นร้อนของ เจ - ชนาธิป สรงกระสินธ์ กองกลางตัวรุกทีมชาติไทยและสโมสร คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ ที่มีข่าวเชื่อมโยงในการย้ายกลับมาเล่นในศึก ไทยลีก บ้านเกิด เนื่องจากไม่ค่อยได้รับโอกาสในการลงเล่นมากเท่าที่ควรช่วงหลัง
ประกอบกับ มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้บริหารทีม การท่าเรือ เอฟซี เป็นคนแรกๆ ที่ออกมาเปิดประเด็นนี้เมื่อสัปดาห์ก่อน ถึงความเป็นไปได้และยืนยันว่า สนใจและติดต่อหาตัวนักเตะไปแล้วเบื้องต้นจริงๆ
ซึ่งตัวนักเตะก็มีท่าทีให้ความสนใจเช่นกัน แต่ติดอยู่ที่ต้นสังกัดยังอยากเก็บตัวเขาไว้กับทีมก่อน ตามความต้องการของเทรนเนอร์อย่าง โทรุ โอนิกิ ที่ยืนยันว่า ยังไม่อยากขาย ชนาธิป ออกไปตอนนี้ แล้วต้องการเก็บไว้ใช้งานก่อน
หลังจากนั้น เจ - วรปัฐ อรุณภักดี ก็ได้มีโอกาสสอบถามกับ ชนาธิป ในรายการ เบื้องหลังบอลไทยที่ใครก็อยากรู้ ซึ่งตัวนักเตะก็ไม่พอใจกับสถานการณ์กับต้นสังกัดที่เป็นอยู่นัก แต่ด้วยทัศนคติที่ยังไม่อยากยอมแพ้ ทำให้เขาพยายามจะสู้ต่อไป อย่างไรก็ตามไม่มีการพูดถึงประเด็นปิดตายในการย้ายกลับมาเล่นในไทยลีก
หมายความว่าความเป็นไปได้ในเรื่องนี้นั้นมีอยู่ ซึ่งรายชื่อสามสโมสรที่เข้าข่ายในประเทศไทย ล้วนเป็นยักษ์ใหญ่ประจำลีกทั้งสิ้น ประกอบไปด้วย บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่ให้ความสนใจเบื้องต้น ส่วนอีกสองทีมอย่าง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด และ การท่าเรือ เอฟซี นั้นแสดงท่าทีต้องการคว้าตัวอย่างจริงจัง
ดีลที่มีโอกาสเกิดขึ้นนี้อาจไม่ได้เป็นการซื้อขาดแบบทันที เพราะค่าตัวของ ชนาธิป นั้นถูกปักไว้ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท แต่การยืมตัวนั้นมีความเป็นไปได้อยู่ เพราะมีหนึ่งในสามสโมสรยื่นข้อเสนอไปแล้ว ซึ่งคาดกันว่า ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ 10-18 ล้านบาท เหมือนกับสมัยที่ เมืองทอง ยูไนเต็ด ปล่อยไปให้ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร
แต่สุดท้ายแล้ว ชนาธิป ก็คงต้องตัดสินใจพินิจพิเคราะห์รายละเอียดอื่นๆ ประกอบเสริมเช่นกัน โดยเฉพาะในเรื่องของแท็คติกของทีม ที่ต้องเข้ากับสไตล์การเล่นของเขา ไม่เช่นนั้นโอกาสที่จะเจอกับสถานการณ์แบบเดิมๆ กับ ฟรอนตาเล่ ก็มีความเป็นไปได้อยู่
รูปแบบการเล่นของทั้งสามสโมสร ทีมไหนจะเข้ากับสไตล์ของ ชนาธิป มากที่สุด ดึงศักยภาพของเขาออกมาได้ดีที่สุด สามารถประเมินได้จากรูปแบบการเข้าทำของแต่ละทีมในฤดูกาลที่ผ่านมา ร่วมวิเคราะห์หาคำตอบในประเด็นนี้ไปกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด
แม้ว่า เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร ปราสาทสายฟ้า เคยลั่นวาจาเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า
“ต้องขอพูดกันตรงๆว่า เราจะไม่ซื้อผู้เล่นไทยบิ๊กเนมอีกต่อไป แต่เราจะผลักดันเยาวชนในอคาเดมี หรือใช้ผู้เล่นสายเลือดบุรีรัมย์”
แต่แฟนบอลก็ได้เห็นกันไปแล้วในดีลของ อุ้ม-ธีราทร บุญมาทัน แบ็คซ้ายเบอร์หนึ่งของทีมชาติไทย ที่ย้ายจาก โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส มาอยู่กับสโมสรอู่ข้าวอู่น้ำเดิม เพราะว่าดีกรีฝีเท้าของเขานั้นยากจะปฏิเสธเรื่องของคุณภาพจริงๆ
ในรายของ ชนาธิป ก็ไม่แตกต่างกันเพราะมีดีกรีเป็นถึงเพลย์เมคเกอร์เบอร์หนึ่งของทัพช้างศึก การสอบถามความเป็นไปได้เพื่อการลองเชิง ปูทางสู่การยื่นข้อเสนอขั้นตอนต่อไป ยังมีความเป็นไปได้อยู่ หากราคาอยู่ในเกณฑ์ที่จ่ายไหว เพราะฝีเท้าระดับ เจ แทบไม่ได้เป็นรองนักเตะต่างชาติของลีกไทยเลย
สำหรับแผนการเล่นฤดูกาลที่ผ่านมา มาซาทาดะ อิชิอิ กุนซือของทีมที่กวาดแชมป์เมเจอร์มาครองได้ทุกรายการในไทย ปรับเปลี่ยนให้ บุรีรัมย์ มีความเขี้ยวและละเอียดมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเดินหน้าบุกถล่ม ทำเกมรุกพับสนามในคู่แข่งอย่างเดียว เน้นการเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการก็เพียงพอ
แล้วประตูที่ทีมทำได้เป็นส่วนใหญ่ จะเป็นการเข้าทำแบบรวดเร็ว ฉกฉวยความผิดพลาดของคู่แข่งและลงโทษโดยทันที จากการเพรสซิ่งในแดนบน ก่อนที่จะมีตัวป้อนบอลเก่งๆ จ่ายไปให้ ทางเลือกในแนวรุกสามคนคอยสร้างสรรค์โอกาสในการจบสกอร์ต่อไป
การเคลื่อนที่ของตัวผู้เล่น จะไม่โอเวอร์โหลดนักเตะขึ้นมาจำนวนมากเกินไป เป็นการเล่นไปตามจังหวะเกมของตัวเอง ฟูลแบ็คสองฝั่งจะเติมขึ้นมาเป็นทางเลือก ในช่วงเวลาที่ปีกสองฝั่งตัน แต่ความจริงแล้วบางครั้งแค่ผู้เล่นแนวรุก 4-5 ตัวบนประสานงานกันก็เพียงพอในการเจาะประตูคู่แข่งแล้ว
ระบบการเล่นหลักๆ ของพวกเขา คือ 4-2-3-1 ที่สามารถปรับไปเป็น 4-3-3 ได้ตลอดตามความเหมาะสม หากมองในตำแหน่งที่ ชนาธิป สามารถลงไปเล่นได้อย่างไม่ต้องการใช้เวลาปรับตัวมาก จะเป็นแนวรุกริมเส้นทางฝั่งซ้าย และ กองกลางตัวรุกในบทบาทเพลย์เมคเกอร์
จากความคุ้นชินในเรื่องจังหวะเพรสซิ่งแดนบน ในการเล่นกับ ฟรอนตาเล่ มาเป็นเวลาหนึ่งฤดูกาลกว่าๆ ไม่ใช่เรื่องยากเลยของ เจ ที่จะเข้ามาเล่นในแท็คติกของทีม บุรีรัมย์ แล้วจะสามารถเติมมิติให้กับทีมได้มากขึ้น ในเรื่องของจังหวะการลากตะลุยกินตัวแบบหนึ่งต่อหนึ่ง
ยังไม่นับรวมถึงลูกจ่ายแบบเหนือชั้น ที่สามารถเลือกออกบอลเจาะได้ทั้งตรงกลาง แทงออกปีกให้ตัวริมเส้นสองฝั่ง ทั้งระยะสั้นและยาว บวกกับการให้บอลเร็วจังหวะเดียว ทำชิ่งหนึ่ง-สองที่เป็นของถนัด แล้วการที่เจ้าตัวมีวินัยสูงในการเป็นนักเตะอยู่แล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะไม่ย้ายมาเล่นกับ บุรีรัมย์
เหลือเพียงอย่างเดียวที่ต้องลุ้นกัน คือ ประเด็นของเม็ดเงินค่าใช้จ่ายให้ดีลนี้เกิดขึ้น ซึ่งถ้ามันเป็นจำนวนที่สูงแบบถล่มทลาย ลุงเน คงไม่กลืนน้ำลายตัวเอง ทุ่มคว้าตัว ชนาธิป มาด้วยราคาสะเทือนลีกแน่นอน
การท่าเรือ เอฟซี
หลังจากที่ มาดามแป้ง ให้สัมภาษณ์เปิดประเด็นเกี่ยวกับดีลของ ชนาธิป เอาไว้ว่า
"สนใจนะคะ...ก็สนใจ แล้วก็ได้ถาม เจ-ชนาธิป มีการคุยกับ เจ อาทิตย์ ละสองครั้ง"
"ก็มองว่าตอนนี้ เจ ยังเล่นอยู่กับ ฟรอนตาเล่ แต่ถามไปมั้ย ก็มีการติดต่อไปในในสัปดาห์ที่แล้ว ติดต่อ เจ-ชนาธิป"
"ก็ถาม เจ ก่อนว่า เจ สนใจที่จะมาเล่นที่ ท่าเรือ มั้ย? เจก็...อันนี้ขออนุญาตนะ เจ นะ เปิดเผยไปเลยนะ"
"เจก็สนใจ ทางแป้งก็เลยติดต่อไปทาง ฟรอนตาเล่ นะคะ แต่ก็ได้รับคำตอบกลับมาว่า ฟรอนตาเล่ ยังต้องการใช้เจอยู่ในซีซั่นนี้"
"ก็ต้องคุยกันสามส่วน คือ แป้ง กับ เจ นี่มีความผูกพันมากอยู่แล้ว มีการคุยกัน ส่วนเรื่องของซีซั่นหน้า แป้งก็ต้องคุยกับ ฟรอนตาเล่ อีกทีนึง"
เมื่อนำมาควบรวมเข้ากับผลงานของ สิงห์เจ้าท่า ที่เพิ่งคว้าอันดับที่ 3 ในศึก ไทยลีก ฤดูกาลที่ผ่านมา จนได้โควต้าไปเล่นบนเวทีชิงแชมป์เอเชียอย่าง เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ย่อมทำให้การพัฒนาศักยภาพของทีม ต้องพุ่งเป้าไปที่การเสริมทัพเพิ่มเติม
ซีซั่นที่แล้วเมื่อ การท่าเรือ ตัดสินใจปรับเปลี่ยนตำแหน่งผู้จัดการทีมมาใช้แนวทางโค้ชคู่อย่าง โค้ชโชค - โชคทวี พรหมรัตน์ และ โค้ชอั๋น - สุรพงษ์ คงเทพ ฟอร์มของทีมก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ ต่างคนต่างมีหน้าที่จัดการกันคนละส่วนชัดเจน
ในเรื่องของแนวทางการวางแท็คติกการเล่นจะเป็น โค้ชอั๋น ที่รับหน้าเสื่อเป็นหลัก ระบบการเล่นหลัก คือ 4-3-3 เน้นไปที่เกมรุกที่ดุดันเร้าใจ การโจมตีจะเน้นไปที่การเจาะทางริมเส้นของคู่แข่ง
เน้นใช้ปีกและแบ็คที่มีความเร็วเปิดบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษให้ผู้เล่นลุ้นทำประตู ซึ่งหนึ่งในเป้าหลัก คือ แฮมิลตัน กองหน้าชาวบราซิล ที่มีส่วนสูงกว่า 190 เซนติเมตร รวมไปถึงการสอดเข้าไปทำประตูของกองกลางอย่าง วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ และ เนเกบ้า โดยทุกชื่อที่กล่าวมาล้วนได้ไปต่อกับทีมทั้งหมด
แน่นอนว่าหากคว้า ชนาธิป เข้ามาเสริมไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาดหรือยืมตัว ต้องมีผู้เล่นตัวจริงตอนนี้ หลุดไปเป็นตัวสำรองอย่างน้อยหนึ่งราย ซึ่งถ้าวัดกันตามตำแหน่งแล้วคนที่เข้าข่ายจะเป็น วรชิต ที่เล่นในตำแหน่งกลางรุก และ บดินทร์ ผาลา กองหน้ากึ่งปีกฝั่งซ้าย
หากได้ตัว ชนาธิป เข้ามาเสริมทัพจริง มิติเกมรุกของ การท่าเรือ จะมีทางเลือกเพิ่มเติมในเรื่องของการจ่ายบอลทะลุช่อง เปลี่ยนไปจากเดิมที่แฟนบอลแซวกันว่า เป็นบอลออกปีกแล้วเน้นการโยน รวมไปถึงการอาศัยความสามารถเฉพาะตัวของผู้เล่นเป็นหลัก
รวมไปถึงจังหวะการทำชิ่งหนึ่ง-สอง ที่ต้องมาลุ้นกันอีกทีว่า เพื่อนร่วมทีมนั้นจะปรับจังหวะให้เข้ากับ เจ ได้หรือไม่ บวกกับการเล่นเกมรับในพื้นที่แดนบน ที่ต้องเน้นเรื่องการเพรสซิ่งมากขึ้น แล้วไม่ใช่แค่นักเตะคนเดียวจะทำได้ ต้องได้ความร่วมมือจากเพื่อนๆ ด้วย
อย่างไรก็ตามด้วยจำนวนนักเตะของ การท่าเรือ ที่มีผู้เล่นให้เลือกใช้งานจนล้นมือ การจะหา 11 ตัวจริงที่แข็งแกร่งที่สุด เล่นกันได้เข้าขาลงตัวที่สุด ย่อมต้องใช้เวลานานพอสมควร ยิ่งมีตัวใหม่เติมเข้ามาหลายคนพร้อมๆ กัน ย่อมเป็นงานหนักของโค้ชในการทำงาน
แล้วถ้าหากเป็นดีลที่จบด้วยการยืมตัว เหมือนทาง ฟรอนตาเล่ ปล่อยให้มาเรียกฟอร์มช่วงสั้นๆ ถ้าผลงานเกิดของ ชนาธิป เกิดกลับมาเล่นดีขึ้นมา แล้วจำเป็นต้องกลับไปเล่นให้กับต้นสังกัดที่แท้จริง จะเป็นงานใหญ่ของ การท่าเรือ ที่มีช่องโหว่ทิ้งเอาไว้ให้อุดแบบยากยิ่ง
บีจี ปทุม ยูไนเต็ด
จากความพ่ายแพ้ในเกม รีโว่ คัพ ให้กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์ 0-2 ซึ่งเป็นเกมสำคัญนัดแรกของ โค้ชธง- ธงชัย สุขโกกี ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งเฮดโค้ชช่วงท้ายซีซั่น หลังเสร็จสิ้นภารกิจพาทีม นครปฐม ยูไนเต็ด เลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จตามเป้า ด้วยการเป็นแชมป์ ไทยลีก สอง
โค้ชธง ได้แย้มเอาไว้เกี่ยวกับรูปแบบแท็คติกของเขากับ บีจี ปทุม เอาไว้ว่า
“ฤดูกาลหน้าแท็คติกที่จะนำมาใช้ ก็คงจะเป็นในเรื่องของฟุตบอลที่มันเร็วทั้งรุกและรับมากกว่านี้ เพียงแต่ว่าผมก็ต้องไปปรับในเรื่องของวิธีการถ่ายทอด วีธีการสื่อสาร ให้เด็กนำมาใช้จริงได้ในสนามได้ดีกว่านี้”
“โครงสร้างหลักๆ ก็อยู่กับเกือบครบ อาจจะมีผู้เล่นต่างชาติบางตำแหน่ง เพราะเราใช้ผู้เล่นต่างชาติยังไม่ครบตามโควต้า ดังนั้นผู้เล่นต่างชาติจะมีการเสริมเข้ามาใหม่ มาเป็นกำลังเสริมให้กับผู้เล่นคนไทยตัวหลักในฤดูกาลนี้”
“เราได้มีการพูดคุยปรึกษากับผู้บริหารมาตลอดในเรื่องของการเสริมตัวผู้เล่น ซึ่งผู้บริหารก็ให้สิทธิ์ขาดและสอบถามตลอดว่าต้องการแบบไหน อำนวยความสะดวกให้ตลอด แล้วตอนนี้เราก็ได้นักเตะมาเกือบครบแล้ว ขาดบ้างแค่ในบางตำแหน่ง”
เมื่อมองดูจากรายชื่อผู้เล่นหน้าใหม่ของ บีจี ที่เพิ่งจะปิดดีลกันไปสดๆ ร้อนๆ จะเห็นชื่อที่น่าสนใจอย่าง ดานิโล อัลเวส (กองหน้า), อิกอร์ เซเกอเยฟ (กองหน้า), เรนาโต้ เคลิช (เซนเตอร์แบ็ค), เฟร็ดดี้ อัลวาเรซ (กลางรุก) และ ชินภัทร์ ลีเอาะ (เซนเตอร์แบ็ค) ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
ระบบการเล่นล่าสุดที่ โค้ชธง เลือกวางหมาก คือ 4-2-3-1 ที่สามารถปรับมาเป็น 4-3-3 อันเป็นแผนยอดฮิตในยุค โมเดิร์น ฟุตบอล ที่มีความยืดหยุ่นค่อนข้างสูง ทั้งเกมรุกและเกมรับ
จากตัวผู้เล่นที่มีอยู่ในมือตอนนี้หากได้ ชนาธิป เข้ามาเสริมทัพเพิ่มเติม ตำแหน่งที่น่าจะลงตัวที่สุดคงไม่ต่างจากสองทีมแรก คือ เพลย์เมคเกอร์ และ ตัวรุกริมเส้นฝั่งซ้าย โดยคนที่หลุดออกไปจากตัวจริงเดิม คงหนีไม่พ้น เชาวัฒน์ วีระชาติ หรือ สเตนิโอ จูเนียร์ ที่อำลาทีมไปแล้ว
การเข้ามาของ เฟร็ดดี้ อัลวาเรซ จะกินโควต้าตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งของทีมแน่นอน ซึ่งยังเหลือที่ว่างสำหรับ ชนาธิป อีกหนึ่งที่ โดยทั้งคู่มีการเล่นที่คล้ายคลึงกันไม่น้อย ขึ้นอยู่กับว่าโค้ชจะเลือกวางใครให้เล่นในบทบาทไหน แล้วลงตัวกับแท็คติกของทีมมากที่สุด ซึ่งหน้าที่หลักคงหนีไม่พ้นการปั้นบอลให้กับกองหน้าตัวเป้าคอยจบสกอร์
ข้อดีของ บีจี ปทุม ที่เหนือกว่าทีมอื่นๆ เป็นเรื่องของตัวผู้เล่นดีกรีทีมชาติไทย ที่เคยประสานงานกับ ชนาธิป ในทีมชาติชุดใหญ่มาอย่างยาวนานอย่าง ธีรศิลป์ แดงดา, สารัช อยู่เย็น และ พิธิวัต สุขจิตธรรมกุล ดังนั้นเรื่องความเข้าขารู้ใจ หากเลือกมาอยู่ทัพกระต่ายแก้ว รับรองได้เลยว่า ‘ยืนหนึ่ง’
แล้วประโยชน์ที่จะได้จาก ชนาธิป ของ บีจี คือ มิติการเล่นเกมรุกและเกมรับของ บีจี ที่ตรงกับคำสัมภาษณ์ของโค้ชธง ที่เน้นเรื่องของเกมเร็วทั้งเกมบุกและเกมป้องกัน การต่อบอลทำชิ่งที่เข้าขารู้ใจ รู้ทางรู้ใจกันดีระหว่างตัวนักเตะตั้งแต่แดนกลางถึงแดนหน้า
สิ่งเดียวที่เป็นความเสี่ยงของ เจ คือ การทำทีมของ โค้ชธง ที่เพิ่งจะเริ่มปั้นทีมของตัวเองในฤดูกาลแรกแบบเต็มตัว เรื่องการใช้ระยะเวลาปรับจูนเพื่อหาความลงตัวต่างๆ ย่อมไม่สามารถกำหนดได้ว่าเครื่องจะติดเต็มที่เมื่อไหร่ แล้วยิ่งผู้บริหารของทีมขึ้นชื่อเรื่องความใจร้อนอยู่ไม่น้อย ประเด็นนี้ไม่สามารถมองข้ามได้อย่างยิ่ง
ด้านเรื่องเม็ดเงินที่จะนำมาใช้จ่าย ไม่ใช่ปัญหาใดๆ ที่ทาง บีจี ต้องขบคิดเพื่อนำมากังวล เพราะแค่ดีลการขาย วรชิต ไปให้กับ การท่าเรือ เอฟซี ก็น่าจะถอนทุนกลับมาในการนำไปต่อยอดได้สบาย แค่ควักกระเป๋าเพิ่มอีกนิดหน่อยเท่านั้น
สุดท้ายแล้วไม่มีใครคาดเดาได้ว่า ชนาธิป จะตัดสินใจกับอนาคตของตัวเองไปในทิศทางไหน ซึ่งแฟนบอลที่คอยเชียร์ คอยให้กำลังใจ และสนับสนุนเขาอยู่เสมอ คงได้แต่หวังว่า เจ จะเลือกหนทางที่ถูกต้องได้ตรงตามที่ต้องการ แล้วไม่ต้องเจอสถานการณ์ที่ยากลำบากเหมือนในปัจจุบัน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
https://www.youtube.com/watch?v=AJsoEXQuw7Q
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เทพนิยายภูธร : ‘สโมสร ดอนมูล’ ตำนานทีมระดับตำบลผู้พิชิตแชมป์ เอฟเอ คัพ
เมื่อครั้งหนึ่ง “อิชิอิ” เคยทำงานในโรงอาหาร หลังคว้ารองแชมป์สโมสรโลก
คล้ายตรงไหนบ้าง? : ศุภณัฏฐ์ นักเตะเงา โลซาโน่ ในสายตาสื่อต่างประเทศ
เวียดนามกร้าวก่อนซีเกมส์ : "4 ปีก่อน ทรุสซิเย่ร์ ก็เคยพาทีมเวียดนามยู 19 เอาชนะไทยมาแล้ว
เก่งในสนามไม่พอ : สาเหตุใด บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ถึงครองความยิ่งใหญ่ได้แบบยั่งยืน ?
บุรีรัมย์ ยังห่างแค่ไหน ? 10 สถิติไร้พ่ายนานที่สุดในโลก ณ ตอนนี้
ข่าวและบทความล่าสุด
MOST POPULAR
ส.บอล เผยหลักเกณฑ์พิจารณาเลือก สงขลา จัดคิงส์คัพ ครั้งที่ 50
ชลบุรี ตั้ง ชาญณรงค์ กัปตันคนใหม่ ดัน ลูกชายโค้ชโม้ ขึ้นทีมชุดใหญ่
ครั้งหนึ่งที่ ‘อาแจ็กซ์’ ยอดทีมลีกดัตช์ ยังคุม ‘ซิฟโควิช’ กองหน้าป้ายแดง แบงค็อก ไม่อยู่!
สเปอร์ส ปิดดีลคว้า ยาง มิน-ฮยอก เด็กเทพเคลีกวัย 18 ปี
ผู้บริหารดอร์ทมุนด์ จำทริปไทยไม่ลืม ซ้อนพี่วินไปสนามแข่งบีจี
