วันแมนคลับ : ชาตรี ฉิมทะเล นักเตะที่ฝากชีวิตไว้กับ บีจี เพียงทีมเดียว
หลังจาก หนุ่ม - ชาตรี ฉิมทะเล ดาวเตะวัย 39 ปีของสโมสร บีจึ ปทุม ยูไนเต็ด ตัดสินใจประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นเหมือนการสั่งลาผู้เล่นระดับตำนานของ ไทยลีก ไปอีกหนึ่งคนในฤดูกาลนี้
เส้นทางลูกหนังของเด็กหนุ่มจาก โคราช ที่เริ่มต้นจากการเตะฟุตบอลกับพี่ๆ แถวบ้าน แล้วมองพวกเขาเหล่านั้นเป็นต้นแบบ อยากจะเก่งให้ได้เหมือนกับพี่ๆ สักวันหนึ่ง เดินทางมาได้ไกลเกินกว่าความฝันของเจ้าตัวจนห่างจากจุดสตาร์ทมานับสิบนับร้อยเท่า
ชาตรี เป็นผู้เล่นที่อยู่กับ บีจี ปทุม มาตั้งแต่สมัยที่ทีมยังใช้ชื่อว่า สมาคมกีฬาบางกอกกลาส ก่อนจะเข้าสู่ช่วงเทคโอเวอร์สโมสร กรุงไทย แต่เขาก็ยังอยู่กับทีมไม่ไปไหน ทุ่มเทแบบเกินร้อย เอาชนะใจโค้ชมากหน้าหลายตามานับสิบๆ ปี
แน่นอนว่าเรื่องราวการค้าแข้งของเขา เป็นเหมือนหนังสือเล่มหนึ่งที่รวบรวมข้อมูลของ บีจี เอาไว้อย่างครบถ้วนกระบวนความ ผ่านทั้งจุดที่ดีที่สุดและแย่ที่สุดมาแล้ว เห็นความเปลี่ยนแปลงจากมุมมองส่วนตัวของเขามากมาย
วันนี้ทีมงานได้มีโอกาสต่อสายสัมภาษณ์แบบเอ็กคลูซีฟกับ พี่หนุ่ม ที่ผันตัวจากนักเตะมาเป็นพนักงานคนหนึ่งของ บีจี เรื่องราวที่น่าสนใจต่างๆ ล้วนอัดแน่น ถ่ายทอดออกมาด้วยความเป็นกันเองสไตล์บ้านๆ ไม่ว่าจะเป็น นักเตะดาวรุ่งที่ไปไม่ถึงฝัน, มุมมองการทำงานร่วมกับโค้ชหลายราย และ ทีมยอดเยี่ยมและศัตรูตัวฉกาจที่เขาประทับใจ รวมไปถึงอนาคตของเจ้าตัวหลังจากอำลาบทบาทนักเตะอาชีพ
แต่คำตอบที่ได้รับกลับมาจะเป็นไปในทิศทางใดบ้าง? เชิญร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
ก้าวข้ามความเปลี่ยนแปลง
ชาตรี ถือว่าเป็นนักเตะที่เริ่มต้นเล่นฟุตบอลลีกในประเทศไทย ตั้งแต่สมัยที่เป็นลีกกึ่งอาชีพด้วยซ้ำ แม้ว่าตำแหน่งการเล่นของเขาจะเป็นกองหน้าและกองหลังตัวกลาง แต่นักเตะที่เขาชื่นชอบเป็นส่วนตัวในประเทศไทย คือ พี่แบน - ธชตวัน ศรีปาน เฮดโค้ชของ แบงค็อก ยูไนเต็ด และ พอล สโคลส์ อดีตนักเตะจากสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นมิดฟิลด์สายคลาสสิคทั้งคู่
เขาเริ่มต้นเป็นนักเตะของ สมาคมกีฬาบางกอกกลาส ลงเล่นในถ้วยพระราชทาน ถ้วย ง. และถ้วย ค. มีชื่ออยู่ในทีมมาเรื่อยๆ จนมาถึงยุคที่มีการเทคโอเวอร์สโมสร ธนาคารกรุงไทย เข้ามารวมกันเป็นทีมเดียว ผู้ใหญ่ภายในทีมก็ตัดสินใจดึงนักเตะจากชุดเดิมในบอลถ้วย ขึ้นมาซ้อมและคัดมาอยู่ในทีม 4-5 คน แล้วเขาก็มีชื่อติดหนึ่งในนั้น
ถือว่า หนุ่ม ไม่ใช่นักเตะที่มีเส้นสายหรือชื่อเสียงจนได้รับการพูดถึงมากมาย ไต่เต้ามาตามระบบการคัดเลือกตามปกติเหมือนกับคนอื่นๆ ต้องมีฝีเท้าผ่านเกณฑ์ในสายตาของโค้ช พิสูจน์คุณค่าของตัวเองว่ามีดีพอ ถึงจะได้ไปต่อได้ ไม่ได้มีการลัดคิวหรือถูกแนะนำมาแต่อย่างใด
การเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่ ลีกไทย ยังไม่มีความมั่นคง จนพัฒนามาเป็นลีกอาชีพได้จริงๆ ชาตรี มีมุมมองถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเอาไว้ว่า
“ถ้าถามว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ก็ลองมองย้อนไปดู ไทยลีก ตั้งแต่ก่อนผมขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ดูสิ สมัยก่อนยังไม่ค่อยมีแฟนบอลเข้ามาติดตามเชียร์ที่สนามเลย มีแต่ครอบครัวนักกีฬาเป็นส่วนใหญ่ที่เข้ามาดูกัน”
“หลังจากปี 2009 ที่กระแสฟุตบอลในบ้านเราเริ่มบูมมากขึ้น มีการถ่ายทอดสดให้แฟนบอลได้เข้าถึงง่ายขึ้น ทำให้แฟนบอล แฟนคลับ ติดตามกันเยอะขึ้น มีการตามมาดูมาเชียร์ที่สนามเพิ่มขึ้นทุกทีม”
“แต่ก่อนนักฟุตบอลจะทำงานสองทาง คือ ต้องมีงานประจำแล้วหนึ่งอย่างเพื่อเลี้ยงชีพ แล้วก็เล่นบอลลีกเป็นช่องทางหารายได้เพิ่มเติม แต่ทุกวันนี้พอลีกฟุตบอลมันพัฒนาจนเป็นอาชีพได้จริง นักเตะก็สามารถเล่นฟุตบอลเป็นรายได้ทางเดียวเลี้ยงตัวเองได้”
“ผู้เล่นกลายเป็นมืออาชีพจริงๆ โฟกัสกับฟุตบอลเพียงอย่างเดียวได้ ศักยภาพของนักเตะก็ดีขึ้น เพราะไม่ต้องหันไปห่วงเรื่องอื่นเหมือนแต่ก่อน”
แม้ว่าผู้เล่นคนอื่นๆ จะสามารถเรียกเงินค่าเหนื่อยได้ตามความพอใจ แต่ตัวของ ชาตรี ยินยันว่าตัวของเขาไม่เคยขอขึ้นเงินเดือนจาก บีจี เลยสักรั้งเดียว ปล่อยให้ทางผู้ใหญ่ดูแลต่อสัญญาทำทุกอย่างได้ตามสะดวก เพราะเขามองว่า ประธานสโมสรดูแลเขาดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปเรียกร้องอะไรให้มากกว่านี้อีก
มนต์สเน่ห์ของ บีจี
แม้ว่าสโมสร บีจี เดิมในชื่อของ บางกอกกลาส จะต้องตกชั้นไปเล่นใน ไทยลีก 2 หลังจบฤดูกาล 2018 แต่ทาง ชาตรี ก็ไม่เคยคิดจะย้ายทีมไปเล่นกับสโมสรอื่นๆ เนื่องจากผู้บริหารของทีม รวมไปถึงนักเตะภายในทีม ต่างเชื่อมั่นในนโยบายว่าจะกลับมาได้ในปีเดียว แล้วมันก็เป็นตามที่พวกเขาเชื่อมั่นจริง
ความจริงแล้ว ชาตรี เคยได้รับการติดต่อจากสโมสรอื่นให้ย้ายไปเล่นด้วยเช่นกัน ทีมนั้นก็คือ นครราชสีมา หรือ โคราช ทีมในจังหวัดบ้านเกิดของเขาเอง เพียงแต่เจ้าตัวบอกกับผู้ที่ติดต่อมาว่า ให้ไปคุยกับผู้ใหญ่ของต้นสังกัดของเขาเอง ซึ่งเรื่องราวมันก็จบลงแบบไม่มีอะไรในกอไผ่ เขาไม่ได้ปิดโอกาสที่จะย้ายไปที่อื่น เพียงแต่ต้องการให้การเจรจานั้นเป็นไปตามขั้นตอนอย่างถูกต้องชัดเจน
ในมุมมองส่วนตัวของ ชาตรี คิดว่าสโมสร บีจี มีมนต์สเน่ห์ที่ทำให้เขาสามารถฝากชีวิตการค้าแข้งเอาไว้ได้ ตามที่กล่าวว่า
“โดยส่วนตัวคิดว่าทางผู้ใหญ่ดูแลเราดี ให้ใจกับเรา เต็มที่กับเรา อยู่กันแบบเป็นครอบครัวเป็นพี่น้อง ทั้งตัวเจ้านายเองและนักเตะด้วย”
“พอทางตัวผู้บริหารมีแนวทางการทำทีมที่ชัดเจน ลูกทีมทุกคนก็เชื่อมั่น ไว้ใจกับอนาคตของทีมที่จะเป็นไปในทิศทางที่ดีในอนาคต”
แน่นอนว่า บีจี เป็นสโมสรที่ดึงตัวนักเตะต่างชาติ เข้ามาใช้งานมากมายอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงตัวโค้ชด้วยเช่นกัน ต่างคนก็มีอุปนิสัยที่หลากหลายแตกต่างกันออกไป ซึ่งตัวของ ชาตรี ได้แชร์บรรยากาศในทีมบางส่วนเอาไว้ว่า
“ต้องเข้าใจก่อนว่าวัฒนธรรมของเรากับต่างชาตินั้นไม่เหมือนกัน เราอาจจะมีรุ่นพี่รุ่นน้องการให้ความเคารพกันตามอายุงานในสโมสร ต่างชาติเข้ามาจะเป็นลักษณะเพื่อนกันมากกว่า”
“แต่นักเตะต่างชาติที่ทีมนำเข้ามา ดีที่พวกเขาพยายามเรียนรู้วัฒนธรรมของเรา อาจจะมีเล่น หยอกล้อกันบ้างตามประสา แต่เขาก็ให้ความนับถือเราเช่นกัน เนื่องจากต่างชาติก็เคยผ่านประสบการณ์ระบบซีเนียร์มาก่อน ที่ต่างประเทศก็มีระบบนี้อยู่บ้างบางที ดังนั้นเขาก็รู้ว่าเวลาไหนเล่นได้ เวลาไหนควรจะจริงจัง”
ความเห็นส่วนตัวเพิ่มเติมเกี่ยวกับการร่วมงานกับโค้ชมาหลากหลาย ชาตรี เชื่อว่า ทุกคนล้วนเก่งแตกต่างในความเชี่ยวชาญต่างกันไป โค้ชโอ่ง - ดุสิต เฉลิมแสน ทำทีมเป็นแชมป์ได้ด้วยการมีจุดเด่นในเรื่องของจิตวิทยา เข้าใจนักเตะรู้ว่าต้องใช้งานใครแบบไหน นักเตะในทีมก็ให้ใจตอบแทน
ด้านโค้ชต่างชาติอย่าง มาโกโตะ เทกุระโมริ ก็เก่งในเรื่องแทคติกส์ มีความจริงจังในการวางรูปแบบการซ้อมและการเล่น แต่ในเรื่องของการสื่อสารอาจจะเป็นปัญหา พอคาแรกเตอร์ดูนิ่งๆ ลูกทีมก็อาจจะไม่เข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่ ส่วนทาง แมต สมิธ ก็แค่ยังใหม่และมีประสบการณ์น้อย
อย่างไรก็ตาม ชาตรี แชร์ความเห็นส่วนตัวว่า การที่ บีจี เป็นทีมใหญ่ หากมีโค้ชที่ถนัดเกมรุกเข้ามา ก็น่าจะเข้ากับ ดีเอ็นเอ ของทีมแต่เดิมที่ถนัดในการเล่นเกมรุก สามารถใช้ศักยภาพนักเตะในทีมที่มีคุณภาพสูงได้เต็มที่ แล้วถ้าเป็นโค้ชชาวไทย ก็อาจจะช่วยในเรื่องของการสื่อสารแทคติกส์ได้ตรงเป้า แล้วก็มีความเป็นไปได้ที่หวยไปออกที่ โค้ชธง - ธงชัย สุขโกกี ตามที่แฟนบอลได้ทราบข่าวกันไป
เคล็ดลับการเล่นฟุตบอล
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ทาง ชาตรี จะยืดอายุการค้าแข้งมาได้อย่างยาวนาน จนเกือบแตะหลักเลขสี่ นอกจากความเป็นมืออาชีพในสนามแล้ว ก็ย่อมต้องมีการดูแลตัวเองนอกสนามด้วย แล้วการพัฒนาของวงการฟุตบอลที่ไปไกลกว่ายุคก่อน ก็มีส่วนช่วยเขาได้มากเช่นกัน ตามที่เผยเคล็ดลับเอาไว้ว่า
“อย่างแรกเลยคือเราต้องพยายามดูแลร่างกายของเราให้ดีก่อน ต้องมีการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือโค้ชฟิตเนสในทีมที่มีอยู่แล้วด้วย ควรจะเสริมกล้ามเนื้อจุดไหนยังไง”
“พอเวลาอยู่บ้านเรื่องของการพักผ่อน โภชนาการอาหารการกินก็ต้องใส่ใจดูแลเช่นกัน พอมีผู้เชี่ยวชาญมาช่วยดูแลคอยแนะแนวทาง มันก็ช่วยพัฒนาได้มากกว่าสมัยก่อนเยอะ”
ด้านวัฒนธรรมการดื่ม-การสังสรรค์นอกสนามของนักกีฬา ชาตรี ที่ส่วนตัวแล้วไม่ใช่สายปาร์ตี้ งดดื่ม งดเที่ยว มาตั้งแต่แรกเริ่ม มองว่า เดี๋ยวนี้วงการพัฒนาไปมากแล้ว หากนับจากประสบการณ์สมัยก่อน ที่นักบอลยังคงสังสรรค์กันจนไร้ลิมิตให้เห็น
ถึงแม้ว่าจะมีอยู่บ้างบางส่วน ตามธรรมดาของชีวิตคนทั่วไป แต่นักกีฬาต้องรู้ตัวเอง ดูแลร่างกายด้วยความเป็นมืออาชีพ อาจมีการสร้างสมดุลย์ให้กับชีวิตให้มีความสุขได้บ้าง แต่ต้องไม่ลืมหน้าที่ของตัวเอง แต่สมัยนี้เท่าที่เห็นนับว่าน้อยลงมากแล้ว เต็มที่เขาก็ให้คำแนะนำในแบบฉบับรุ่นพี่สอนน้องกันไปตามเรื่องตามราว
จากความทุ่มเทที่เราได้เห็นในสนาม ชาตรี ถือว่าเป็น เจ้าเวหา คนหนึ่งในวงการฟุตบอลไทย ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้กับการต้องเสี่ยงเรื่องการปะทะ แล้วอาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ แต่เขาไม่เคยรู้สึกแหยงหรือกลัวเลย ยามต้องลงเล่นให้กับ บีจี ตามคติประจำใจในการค้าแข้งที่เมื่อได้โอกาสแล้วต้องทำให้ดีที่สุด พร้อมเปิดเผยว่า
“ถ้าถามเรื่องการปะทะ ผมก็มีแตกบ่อยเย็บบ่อยอยู่ครับผม ส่วนใหญ่แล้วก็เย็บ 3-4 ครั้งอย่างมาก ประมาณ 4-5 ครั้งได้ ถามว่าแหยงมั้ยส่วนตัวผมต้องทำอย่างเต็มที่ ไม่ค่อยรู้สึกแหยง ทุ่มเทให้เหมือนเดิมแบบที่เป็นมาตลอด”
“ตั้งแต่ขึ้นมาเล่น ไทยลีก ยังไม่เคยปะทะจนน็อค เพราะต่างคนต่างเป็นมืออาชีพให้เกียรติกัน ไม่ตั้งใจจะทำร้ายคู่แข่ง แต่ในสมัยยังเล่นบอลมหาวิทยาลัย เคยเจอประตูชกท้ายทอย ก็มีเบลอ มีมึนอยู่”
เรื่องของอาการบาดเจ็บ มันเป็นสิ่งที่เลี่ยงได้ยากสำหรับนักเตะอาชีพ ซึ่งตัวของ ชาตรี ก็เคยเห็นดาวรุ่งในทีมต้องไปไม่ถึงฝัน ทั้งที่ระดับฝีเท้าดูมีอนาคตไปได้ไกลมาแล้ว นั่นก็คือ “ทอช” ศิวกร แสงวงศ์ ดาวเตะในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ
ทอช เล่นในสไตล์ฮาร์ดแมน พร้อมปะทะแบบไม่มีกลัว จนนำมาสู่ปัญหาบาดเจ็บร้ายแรงที่เข่าถึงขั้นต้องผ่า แล้วก็กลับมาได้ไม่เหมือนเดิม จนปัจจุบันย้ายไปเล่นให้กับ ระยอง เอฟซี ในศึก ไทยลีก 2 ซึ่งเขามองว่า เป็นดาวรุ่งที่น่าเสียดายเรื่องพรสวรรค์อย่างมาก
ทีมยอดเยี่ยมและนักเตะที่อันตรายที่สุด
การเล่นได้ทั้งกองหลังตัวกลางและกองหน้าตัวเป้า ชาตรี คิดว่ามันเป็นข้อได้เปรียบของเขา ที่ช่วยให้ทีมมีความยืดหยุ่นในการใช้งานเขาได้หลากหลาย แล้วก็เป็นประโยชน์ต่อตัวเขาเอง ที่สามารถนำประสบการณ์ของตำแหน่งที่ตรงข้ามกัน มาคิดแบบกลับด้านแล้วใช้มันอ่านเกมในสนาม
อย่างไรก็ตามนักเตะที่สร้างความหวาดหวั่นให้กับเขามากที่สุด ยามต้องเข้าประกบเมื่อได้รับมอบหมายให้ลงสนามในตำแหน่งกองหลัง ก็คือ มุ้ย - ธีรศิลป์ แดงดา กองหน้าตัวเก่งของ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เพราะมีความแข็งแกร่ง คลาสบอล ไม่ต่างกับการเจอกับกองหน้าต่างชาติเลย จับทางได้ยากสุดๆ
แล้วก็ไม่น่าแปลกใจที่ ชาตรี จะเลือก มุ้ย ติดอยู่ในทีมรวมดาว บีจี ของเขา ที่นับรวมนักเตะทุกยุคทุกสมัย ตั้งแต่สมัยเริ่มเล่น ซึ่งมีเลือกออกมาตามตำแหน่งดังต่อไปนี้
“โกล์ก็เป็น ฉัตรชัย บุตรพรม พี่บอยละกัน”
“กองหลังคู่เซนเตอร์ก็เป็น อำนาจ แก้วเขียว คู่กับ อันเดรส ตูเนซ แบ็คซ้ายให้ พี่บอย-ศุภชัย คมศิลป์ แบ็คขวาให้ สันติภาพ จันทร์หง่อม ก็ได้ครับ”
“กองกลางต้องเป็น สารัช อยู่เย็น คู่ ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ ปีกซ้ายเอาเป็น ฮิโรโนริ ซารูตะ ทางขวานี่มีเยอะมาก ยิม ก็เก่งนะแต่เล่นกันปีเดียว เอาเป็น พี่เก่ง-สุรชาติ สารีพิมพ์ ละกัน”
“ส่วนกองหน้าเอาเป็น พี่มุ้ย คู่กับ ดิโอโก้ (ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต) เพราะเป็นกองหน้าที่มีครบทุกองค์ประกอบ อาจไม่เร็วมาก แต่ว่าเซ้นส์บอลนี่ดีเยี่ยม พอเล่นกับ พี่มุ้ย - พี่ตังค์ นี่ทันกันดีเลย”
นั่นคือโฉมหน้าทีมรวมดาวของสโมสร จากมุมมองของ ชาตรี ที่เคยร่วมงานกับพวกเขาเหล่านั้นมาครบทุกคน ซึ่งในฤดูกาลหน้า เขาต้องเปลี่ยนบทบาทของตัวเอง ปรับมาเป็นแค่แฟนบอลคอยให้กำลังใจ ไม่ใช่ผู้เล่นของทีมอีกต่อไป หลังประกาศแขวนสตั๊ดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อนาคตหลังเลิกเล่น
เส้นทางของ ชาตรี หลังเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ เจ้าตัวยังต้องรอคำสั่งจากผู้ใหญ่ในทีม บีจี ว่าจะให้ไปทำอะไร หรือ รับตำแหน่งหน้าที่ไหนต่อ เนื่องจากมีชื่อเป็นพนักงานในบริษัท ได้รับเงินเดือนตา่มปกติอยู่ เหมือนพนักงานทั่วไปในโรงงานคนอื่นๆ
แต่หากจะทำงานด้านฟุตบอลต่อก็ยังมีลุ้น เพราะ บีจี เองก็มีอะคาเดมี่ของสโมสรอยู่ แล้วในตอนนี้ตัวเขาก็จบการอบรมระดับ ซี-ไลเซนส์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถ้าสโมสรมอบโอกาสให้เป็นสตาฟฟ์ในอะคาเดมี่ ก็จะสามารถเก็บชั่วโมงประสบการณ์ เพื่อไต่ระดับให้สูงขึ้นไปได้อีก
ซึ่งตัวของ ชาตรี ได้ฝากข้อความทิ้งทายมาถึงแฟนบอล บีจี และ แฟนคลับ ของเขาเอาไว้ว่า
“ฝากถึงแฟนบอลและแฟนคลับทุกคนที่ตามเชียร์นะครับ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เล่นต่อแล้ว แต่ก็อยากฝากให้ติดตามเชียร์ทีม บีจี ปทุม ต่อไป”
“ยังไงแล้วผมจะเข้ามาเชียร์ มาติดตามทีมเหมือนเดิม สามารถเข้ามาเจอมาทักทายกันได้ เป็นพี่น้องเป็นครอบครัวกันเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนสถานะผมที่ดูเป็นแฟนบอลมากขึ้น”
ส่วนตัวแล้ว ชาตรี เชื่อมั่นว่า บีจี จะกลับมาสู้เต็มตัว แล้วมีโอกาสที่จะกลับไปเป็นทีมในกลุ่มลุ้นแชมป์ ไทยลีก เหมือนเดิมได้อย่างแน่นอน
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
การสัมภาษณ์ออนไลน์
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ
เมื่อครั้งหนึ่ง “อิชิอิ” เคยทำงานในโรงอาหาร หลังคว้ารองแชมป์สโมสรโลก
คล้ายตรงไหนบ้าง? : ศุภณัฏฐ์ นักเตะเงา โลซาโน่ ในสายตาสื่อต่างประเทศ
เวียดนามกร้าวก่อนซีเกมส์ : "4 ปีก่อน ทรุสซิเย่ร์ ก็เคยพาทีมเวียดนามยู 19 เอาชนะไทยมาแล้ว
เก่งในสนามไม่พอ : สาเหตุใด บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ถึงครองความยิ่งใหญ่ได้แบบยั่งยืน ?
บุรีรัมย์ ยังห่างแค่ไหน ? 10 สถิติไร้พ่ายนานที่สุดในโลก ณ ตอนนี้
คุณสมบัติอะไรที่ทำให้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เป็นทีมไร้พ่ายนานที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ ?
ศุภณัฏฐ์ นำทัพ : 6 วันเดอร์คิดเอเชียที่ติดอันดับโลกปี 2019 ทุกวันนี้เป็นอย่างไร ?