ถดถอยหรือปลดล็อค : ท่าเรือ จะเป็นอย่างไรหากได้ตัว ชนาธิป
ประเด็นที่น่าสนใจในงานแถลงข่าวเซ็นข้อตกลงร่วมระหว่าง การท่าเรือ เอฟซี กับสโมสร อวิสป้า ฟูกุโอกะ สโมสรในศึก เจ ลีก ประเทศญี่ปุ่น ที่เล่นเอากระแสหลักจางลงไปเลยก็คือเรื่องของ เจ-ชนาธิป สรงกระสินธ์ กับโอกาสการย้ายมาเป็นแข้งใหม่ สิงห์เจ้าท่า
หลังจาก มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ เปิดเผยเรื่องราวที่ได้คุยกันส่วนตัวกับนักเตะ แล้วทางนักเตะก็ตอบรับว่า มีความสนใจที่จะย้ายมาร่วมทีมเช่นกัน แต่ปรากฏว่าต้นสังกัดอย่าง คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ ยังไม่สนใจจะปล่อยตัวออกมาในฤดูกาลนี้
อย่างไรก็ตาม มาดามแป้ง ก็ยังเปิดช่องพูดถึงเอาไว้ในฤดูกาลหน้าว่า อาจมีการพูดคุยสามฝ่ายกันอีกรอบ ถึงความเป็นไปได้ที่จะทำให้ดีลนี้เกิดขึ้น เพราะทาง การท่าเรือ ก็มีความสนใจที่จะดึงตัว ชนาธิป มาร่วมทีมเอามากๆ
จากสถานการณ์ปัจจุบันของ ชนาธิป ที่ต้องตกเป็นตัวสำรองบ่อยครั้งในทีม ฟรอนตาเล่ มีอาการเจ็บรบกวนอยู่เรื่อยๆ พอกลับมาก็ได้แต่นั่งดูเพื่อนร่วมทีมลงสนาม แต่ตัวของเขาเองไม่ได้ลงเล่น เปรียบเทียบกับอนาคตของ สิงห์เจ้าท่า ที่กำลังพัฒนาทีมให้แกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนได้ไปลุยศึก ACL รอบคัดเลือก แล้วมีความเป็นไปได้ไม่น้อยที่จะก้าวมาเป็นแคนดิเดต ลุ้นแชมป์ลีกในอนาคตอันใกล้
ความเป็นไปได้ของดีลนี้ไม่ได้ปิดตายลงเสียทีเดียว แล้วดูมีลุ้นที่จะเกิดขึ้นไม่น้อยแค่รอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าการย้ายทีมรอบนี้จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย แต่จะเป็นในด้านใดบ้างนั้น ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
ประโยชน์ต่อการท่าเรือ
แน่นอนว่าการออกไปลุยศึกชิงแชมป์ระดับเอเชีย หรือ ACL ย่อมทำให้ผู้บริหารทีมต้องมองภาพรวมของการสร้างทีมให้ใหญ่ขึ้น จำเป็นต้องรวบรวมทรัพยากรนักเตะฝีเท้าดี มาเป็นตัวเลือกในมือของโค้ชให้ได้มากที่สุด
การอำลาทีมของ เซร์คิโอ ซัวเรซ เพลย์เมคเกอร์ตัวเก่ง ถูกทดแทนที่ด้วย ยิม-วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ กลางตัวรุกระดับดีกรีทีมชาติชุดใหญ่ รวมไปถึงทางเลือกในการดัน เนเกบ้า มิดฟิลด์สาระพัดประโยชน์ชาวบราซิล ขึ้นมาเล่นในตำแหน่งนั้นได้เช่นกัน
รวมไปถึงการเติมเอาตัวใหม่ดีกรีทีมชาติอย่าง ไนซ์-ชานุกูล ก๋ารินทร์ เข้ามาเป็นอีกทางเลือก แต่เมื่อเทียบดีกรีเรื่องคุณภาพฝีเท้าแล้ว เจ-ชนาธิป ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นรองใครเลย แถมยังมีมิติการเล่นที่แตกต่างและยิดหยุ่นกว่าเสียอีกด้วยในเรื่องของตำแหน่งการเล่น หลังจากย้ายไปอยู่กับ ฟรอนตาเล่ ตามที่เคยกล่าวว่า
“ผมเล่นตำแหน่งเบอร์ 8 (กองกลางตัวสร้างสรรค์เกม) ผมต้องฟิตมาก เล่นปีกไม่เหนื่อยเท่าเบอร์ 8 คือ มันเป็นระบบทีมของเขา ที่เราต้องทำตามให้ได้ เพราะมันเป็นระดับมืออาชีพแล้ว”
“ผมเชื่อว่าผมเล่นสู้ได้ ผมซ้อมสู้ได้ ขนาดน้องผมที่รู้จักบินมาดู ถามเขาว่า เห็นพี่เล่นแล้วเป็นไง? เขาตอบกลับมาว่า สู้ได้สบาย”
“ผมยิงตลอดในเกมอุ่นเครื่อง ผมยิงตลอดจริงๆ เพราะผมไม่ได้คิดอะไร มันก็แค่เกมอุ่นเครื่อง อยากเล่นอะไรก็เล่น แต่พอไปแข่งจริงมันต่างกัน อยากเล่นอะไรมันเล่นตามใจตัวเองไม่ได้”
ก่อนหน้านี้ เจ-วรปัฐ อรุณภักดี เคยได้พูดคุยช่วงสั้นๆ กับ ชนาธิป ในช่วงที่โอกาสการลงสนามช่วงต้นซีซั่น ดูเหมือนว่าไม่เป็นไปตามที่แฟนบอลไทยคาดหวังเท่าไหร่ ซึ่งตัวนักเตะเองก็ได้มีการพูดคุยกับโค้ช แล้วผลก็ออกมาในทิศทางที่ทีมยังต้องการเขาอยู่
ประกอบกับเรื่องของการซ้อมที่ทาง โทรุ โอนิกิ จับทาง ชนาธิป ลองเล่นในหลากหลายตำแหน่งทั้ง ปีกทั้งสองฝั่ง, แนวรุกสามตัวบน หรือ กองหน้าตัวเป้า ยิ่งทำให้ตัวของนักเตะเรียนรู้ศาสตร์ฟุตบอลที่หลากหลาย เรียกได้ว่าเล่นตำแหน่งไหนก็ได้ ขาดแค่โอกาสในการลงสนามเท่านั้น ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่ดีขึ้นจากเดิมเลย
พอลองมาเทียบตัวผู้เล่นที่ทาง การท่าเรือ มีอยู่ในตำแหน่งต่างๆ ที่ ชนาธิป เล่นได้ ยกตัวอย่างเช่น บดินทร์ ผาลา, ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ หรือ ปกร เปรมภักดิ์ ว่ากันตามตรงแล้วดีกรีล้วนเป็นรอง ชนาธิป ทั้งสิ้น รวมไปถึงตำแหน่งเพลย์เมคเกอร์อย่าง ยิม-วรชิต ดาวเตะป้ายแดงก็อยู่ในโผเช่นกัน
อาจจะมีเพียงแค่ในรายของ เนเกบ้า ที่พอจะเบียดกันสู้กันได้แบบสูสี แล้วถ้ามองกันตามระบบการเล่น 4-3-3 ก็สามารถนำมาจับคู่กันได้ แล้วมีทางเลือกที่จะเติมกองกลางตัวรับแท้ๆ ลงไปอยู่ด้านหลังของทั้งคู่ หากต้องการใช้งานพร้อมๆ กันทั้งสองคนแบบจัดเต็ม
แล้วเมื่อทาง การท่าเรือ จำเป็นต้องพัฒนาทีม เพื่อไปลงแข่งขันในรายการที่ใหญ่ขึ้น เป้าหมายของทีมสูงขึ้นกว่าเดิม การเติมเรื่องของ สควอด เด็ปท์ มีตัวผู้เล่นฝีเท้าดีเท่าๆ กันในตำแหน่งเดียวให้ใช้งานหลายคน ก็เป็นเรื่องปกติทั่วไปที่สโมสรชั้นนำทั่วโลกทำกัน ยกตัวอย่างเช่น แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือ เชลซี
ประสบการณ์จากการลงเล่นในเวที เจ ลีก และ ชิงแชมป์สโมสรเอเชีย ของ ชนาธิป จะเข้ามาเติมความเก๋าเกมให้กับเพื่อนร่วมทีมได้มากเลยทีเดียว แล้วจากการที่เจ้าตัวเป็นรุ่นพี่ในทีมชาติของนักเตะไทยในทีม การท่าเรือ หลายคน เรื่องความสัมพันธ์ การปรับตัวต่างๆ ย่อมไม่ใช่ปัญหาที่ต้องกังวลเลย
ซึ่งถ้าดีลนี้เกิดขึ้นจริง สิงห์เจ้าท่า จะได้ประโยชน์ในการใช้งาน ชนาธิป ได้หลากหลายรูปแบบ เรื่องของดีกรีฝีเท้าและประสบการณืนั้นรู้ๆ กันอยู่ว่าผ่านเกณฑ์แบบสบายๆ อาจจะคุ้มค่ามากกว่าไปหาตัวต่างชาติค่าเหนื่อยเท่าๆ กัน ที่ต้องมาลุ้นเรื่องของการปรับตัว แล้วสามารถใช้โควต้าที่เหลือไปเติมในสิ่งที่ทีมขาดจริงๆ ได้อีก
อนาคตของนักเตะ
จากสถานการณ์ของ ชนาธิป ในปัจจุบันกับ ฟรอนตาเล่ ถือว่าอนาคตของเขากับทีมอยู่ในขั้นวิกฤติก็ไม่ผิดนัก เพราะได้โอกาสลงสนามรวมๆ ในซีซั่นนี้ไปเพียงแค่ 5 เกมรวมทุกรายการ ยิงไปได้ 1 ประตู ก่อนจะมาเจอปัญหาเรื่องของอาการบาดเจ็บเล่นงาน กลับมานั่งสำรองได้สองเกม แต่ยังไม่ได้รับเลือกให้ลงเล่นจากโค้ช
ยิ่งทาง ฟรอนตาเล่ นั้นมีปรัชญาการเล่นของทีมที่ชัดเจน ทำให้จุดเด่นในการเล่นของเขา ที่ต้องการอิสระมันลดหายไปโดนสิ้นเชิง กลายเป็นถูกครอบด้วยระบบและคำสั่ง เหมือนกับหุ่นยนต์เล่นบอล ตามที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า
“ปรัชญาฟุตบอลของ ฟรอนตาเล่ คือ การครอบครองบอล ให้บอลที่เท้า แทบไม่ค่อยมีจังหวะวิ่งตัดหลังไลน์แนวรับคู่แข่ง มีน้อยมาก ต้องให้บอลที่เท้าแล้วขยับ พยายามถ่างโซนรับคู่แข่ง จากช่องเล็กๆ ให้มันกว้างขึ้น”
“การเล่นจะเป็นแบบ ให้ ขยับ หนึ่ง-สอง ให้ขยับ ทีมอื่นๆ ก็แย่งบอลไปจากเรายาก แต่บางครั้งมันก็ลงเอย ด้วยการครองบอล เซ็ตบอลนาน แบบไม่มีจังหวะเข้าทำเลยก็มี”
“อยู่ทีมชาติไทย ถ้าผมจ่ายบอลเสีย ผมก็ยังรู้สึกไม่เป็นไร กล้าที่จะจ่าย กล้าที่จะเสี่ยง แต่ถ้าเป็น ฟรอนตาเล่ จ่ายเสียลูกนึง ความคิดมันก็แวบขึ้นมาแล้วว่า เดี๋ยวโดนเปลี่ยนตัวแน่เลย”
ด้วยวัยที่ ชนาธิป กำลังจะอายุย่างเข้าหลักเลขสาม แล้วยังมีสัญญาผูกพันกับ ฟรอนตาเล่ ฉบับปัจจุบันถึงปี 2025 ถ้าสถานการณ์เรื่องการลงสนามไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ย่อมส่งผลเสียต่อตัวนักเตะแบบเต็มๆ แล้วเมื่อไม่มีเกมให้ทีมอื่นที่สนใจส่องฟอร์มการเล่น โอกาสที่จะย้ายไปเล่นไปอยู่กับทีมระดับ เจ ลีก ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
แน่นอนว่าด้วยค่าตัวที่ย้ายมาด้วยราคาสูงถึง 3.5 ล้านยูโร หรือตีเป็นเงินไทยกว่า 130 ล้านบาท คงไม่มีสโมสรไหนกล้าเสี่ยงกับผู้เล่นที่มีปัญหาเรื่องอาการบาดเจ็บติดตัว ขาดเกมการลงสนามที่ต่อเนื่อง ความเป็นไปได้ คือ การปล่อยออกไปให้ทีมอื่นยืมตัว แต่ถ้าปล่อยออกไปให้อยู่ในลีกเดิม ก็มีโอกาสจะกลายเป็นกรณียื่นอาวุธชั้นดีให้ศัตรู
ดังนั้นทางออกที่ดูดีไม่น้อย คือ การย้ายกลับมาเล่นแบบยืมตัวกับสโมสรใน ไทยลีก ซึ่งทาง การท่าเรือ ก็พร้อมเปิดอกรอรับอุปการะอยู่อย่างเต็มใจอยู่แล้ว แล้วมันอาจจะตรงกับความตั้งใจของ ชนาธิป เองด้วย ที่เคยให้สัมภาษณ์ถึงการวางอนาคตของตัวเองไว้ว่า
“ผมวางแผนไว้แค่ 35 แต่เคยมีโค้ชเคยเชียร์ให้ผมเล่นไปถึง 40 มองเป้าหมายไปแบบปีต่อปี ตอบได้ยากว่าผมจะไปถึงจุดนั้นได้มั้ย เพราะผมอาจเบื่อเรื่องที่เจ็บเยอะด้วย”
ผลดีของ เจ ในการย้ายมาเล่นในประเทศไทย ย่อมเป็นเรื่องการการันตีโอกาสในการลงสนาม ไม่ว่าอยู่กับสโมสรไหนในไทยลีก ฝีเท้าระดับเขาสามารถเบียดเป็นตัวจริงได้สบาย แตกต่างกับสถานการณ์ที่พบเจออยู่ในขณะนี้ แล้วถ้าย้ายมาเรียกความมั่นใจช่วงสั้นๆ จนฟอร์มกลับมาดีเหมือนเดิม การจะคัมแบ็คกลับไปพิสูจน์ตัวเองในญี่ปุ่นก็ยังเปิดกว้างอยู่
การปลุกกระแสบอลไทย
ปฏิเสธได้ยากว่ากระแสความนิยมของแฟนบอลในเมืองไทย ที่เข้าไปชมเกมบอลลีกที่สนามแต่ละสัปดาห์นั้นลดน้อยถอยลงกว่าเดิม อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ รวมไปถึงปัญหาสืบเนื่องมาจากการระบาดของโรคโควิด-19
ยิ่งไปกว่านั้นผลงานของทีมชาติไทย ในการลงแข่งขันรายการสำคัญต่างๆ ในช่วงหลัง ก็ไม่เป็นไปตามเป้าเสียอีก ทำให้แฟนบอลไทยไม่รู้สึกฟีเวอร์เหมือนช่วงที่พีคๆ หากย้อนกลับไปในช่วงยุคของ โค้ชซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่สามารถดึงแฟนบอลมาชมเกมทีมชาติได้เต็มความจุอยู่ช่วงหนึ่ง
อย่างไรก็ตามการดึงนักเตะอย่าง ชนาธิป ที่เป็นระดับซูเปอร์สตาร์ในทีมชาติ กลับมาเล่นบนเวที ไทยลีก ให้แฟนบอลได้ชมลีลาการเล่นของเจ้าตัวแบบสดๆ ในสนาม มีโอกาสเกิดแรงกระเพื่อมที่เป็นด้านบวกให้กับวงการบอลไทยได้แน่นอน
พอมารวมเข้ากับนักเตะชื่อดังรายอื่นๆ ที่ตบเท้ามาค้าแข้งในประเทศไทย จะกลายเป็นตัวช่วยในการโปรโมทให้กับลีกได้มากขึ้น เปิดทางให้กับผู้เล่นโปรไฟล์ระดับสูงๆ จากลีกชั้นนำอย่าง เจ ลีก หรือ เค ลีก มองลีกบ้านเราเป็นทางเลือกในการย้ายมาค้าแข้งได้ในอนาคต
ประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับแฟนบอลไทย คือ การมีโอกาสได้รับชมฝีเท้านักเตะชั้นนำได้สดๆ ทั้งในสนามและผ่านการถ่ายทอดสดช่องทางต่างๆ แบบถูกลิขสิทธิ์ ความเป็นไปได้ที่กระแสบอลไทยจะกลับมาบูมอีกครั้ง จาการย้ายกลับมาของซูเปอร์สตาร์อย่าง ชนาธิป ดูแล้วไม่ใช่เรื่องที่ฝันเกินจริง
แล้วหากว่าเจ้าตัวผลงานดี ได้ลงสนามต่อเนื่อง ทีมชาติไทยชุดใหญ่ ก็จะได้รับผลพลอยได้ในส่วนนี้ไปด้วย ส่งผ่านกันไปเป็นทอดๆ มีแต่ประเด็นที่น่ายินดีทั้งนั้น หากตัดเรื่องของอดคติออกไป แล้วมองว่ามันเป็นการก้าวถอยหลังในอาชีพ
ท้ายที่สุดแล้วคงไม่มีใครรู้สถานการณ์ของตัวเองดีเท่ากับ ชนาธิป ว่าทางเลือกที่ดีที่สุดของเขา ควรจะตัดสินใจแบบไหน? แล้วยิ่งกำลังจะเข้าสู่ช่วงท้ายของการค้าแข้ง ความมั่นคงของอาชีพ การเงิน และปัจจัยต่างๆ ย่อมต้องถูกนำมาชั่งน้ำหนัก เพื่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
https://www.youtube.com/watch?v=f_81HlyOAW0&t=1178s&pp=ygUf4LiK4LiZ4Liy4LiY4Li04LibIGZvb3RiYWxsIDEwOA%3D%3D
https://thinkcurve.co/3-thaangkh-ng-ecch-m-ngr-bdaanthueng-naakht-chnaathip-ainkaarkhaaaekhngtaangeedn/
https://thinkcurve.co/epliiynyangaing-thamaimaefn-fr-ntaael-ykf-rm-chnaathip-ekm-echeroch-radab-maaset-rphiich/
บทความที่เกี่ยวข้อง :
องค์ประกอบการปลุกพลังแฝง : "ยิม" วรชิต หลังจุดติดด้วยประตู
จากเมืองทองฯ ถึง ท่าเรือฯ : รวมดาวทีมชาติไว้ในสโมสรเดียวกันได้ประโยชน์จริงหรือ?
ไม่ใช่แค่กรรมการ : เจาะแท็คติกท่าเรือ ต้นตอเสียจุดโทษเยอะ ได้จุดโทษน้อย
จากดาวรุ่ง T3 : ธีรศักดิ์ เผยพิมาย วันเดอร์คิดท่าเรือฯ ผู้แจ้งเกิดสำเร็จเพียง 1 เดียว