วิลเลี่ยน พ็อพพ์ กับ สถานะที่ต้องแลก หลังย้ายซบ ซั่งไห่ พอร์ต
วิลเลี่ยน พ็อพพ์ ย้ายซบ ซั่งไห่ พอร์ต จ่าฝูง ไชนีส ซูเปอร์ลีก ถือเป็นหนึ่งในดีลสุดเซอร์ไพรส์ประจำตลาดนักเตะไทยลีก 2024 เพราะเป็นการย้ายทีมที่เกิดขึ้นแบบฟ้าผ่า ไม่มีสัญญาณบอกล่วงหน้ามาก่อน
แฟนบอลกิเลนผยองส่วนใหญ่ยังมั่นใจด้วยซ้ำว่า แนวรุกชาวแซมบ้าจะอยู่ลากเลื้อยกับทีมต่อไป แต่จู่ ๆ ซั่งไห่ พอร์ต ก็แถลงคว้า พ็อพพ์ มาใช้งานด้วยสัญญายืมตัว 6 เดือน ขณะที่ เมืองทอง ก็ดึง เอมิล โรบัค อดีตกองหน้าของ เอซี มิลาน เข้ามาทดแทน
เป็นเรื่องเข้าใจได้ที่ วิลเลี่ยน พ็อพพ์ ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับ ซั่งไห่ พอร์ต นอกจากเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ แล้ว เขาก็ยังจะได้เล่นฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรเอเชียรายการใหญ่อย่าง ACL Elite อีกต่างหาก แต่มันก็ไม่ได้มีแต่ข้อดีเสียทีเดียว
ตัวท็อปไทยลีก
ปกติแล้วนักเตะต่างชาติต้องใช้เวลาปรับตัวกับไทยลีก แต่สำหรับ วิลเลี่ยน พ็อพพ์ เป็นเคสพิเศษที่ต่างออกไป เพราะเขาระเบิดผลงานเปรี้ยงทันทีตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ย้ายมาเล่นกับ เมืองทอง ในปี 2020
ตลอด 4 ฤดูกาลในไทยลีก พ็อพพ์ ยิงประตูทะลุสองหลักมาตลอด
ฤดูกาล 2020/21 : 12 ประตู (21 เกม)
ฤดูกาล 2021/22 : 15 ประตู (29 เกม)
ฤดูกาล 2022/23 : 14 ประตู (14 เกม)
ฤดูกาล 2023/24 : 17 ประตู (23 เกม)
โดยเฉพาะฤดูกาลที่ผ่านมานั้น เขาย้ายกลับมาซบกิเลนผยองในเลกที่ 2 ห่างหายจากบอลไทยไปครึ่งปี แต่ฟอร์มการเล่นของเขายังร้อนแรงไม่เปลี่ยน และมีส่วนสำคัญกับการพาทีมเข้าชิงฟุตบอลถ้วย รีโว่ คัพ ซึ่งน่าเสียดายที่เขาโดนแบนในนัดชิงชนะเลิศ ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์อาจเปลี่ยนไปอีกอย่าง
ด้วยผลงานอันเอกอุของ วิลเลี่ยน พ็อพพ์ ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาคือหนึ่งในแข้งต่างชาติที่ดีที่สุดในไทยลีก ยิ่งกับสโมสรด้วยแล้ว เขาคือหัวใจสำคัญในการสร้างสรรค์เกมรุกที่ทีมจะขาดไม่ได้ เรียกว่าถ้าไม่เจ็บไม่แบน พ็อพพ์ จะมีชื่อเป็น 1 ใน 11 ตัวจริงเสมอ
การขาดเขาไปจะส่งผลต่อเกมรุกของ เมืองทอง โดยตรง เพราะไม่มีใครรู้ว่าคนที่เข้ามาทดแทนอย่าง เอมิล โรบัค จะทำหน้าที่ได้ดีแค่ไหน แต่ตัวของ พ็อพพ์ ก็ได้รับผลกระทบต่อการตัดสินใจย้ายทีมครั้งนี้เช่นกัน
อะไหล่ลีกจีน
อย่างที่บอกไปแล้ว พ็อพพ์ จะได้รับการการันตีเป็นตัวจริงเสมอตอนอยู่กับ เมืองทอง แต่พอย้ายมาเล่นกับ ซั่งไห่ พอร์ต สถานะของเขาจะไม่ได้เป็นแบบเดิมอีกแล้ว โอกาสลงสนามของเขาจะน้อยลง เพราะต้องแย่งตำแหน่งกับบรรดาแข้งระดับท็อปในทีม ไหนจะมีกฎจำกัดแข้งต่างชาติเข้ามาเป็นข้อจำกัดอีก
ไชนีส ซูเปอร์ลีก อนุญาตให้สโมสรลงทะเบียนนักเตะต่างชาติได้ 7 คน แต่ส่งชื่อในแมทช์เดย์และส่งลงสนามได้ 5 คน ซึ่งกฎข้อนี้อาจทำให้ วิลเลี่ยน พ็อพพ์ ไม่มีโอกาสลงสัมผัสเกมลีกแม้แต่นัดเดียวเลยก็เป็นได้
นั่นก็เพราะ เควิน มุสแคท เฮดโค้ชของ ซั่งไห่ พอร์ต มักใช้บริการ 5 แข้งต่างชาติอย่าง เลโอ ซิตตาดินี่, มาเธอุส ชุสซ่า, ออสการ์, มาติอัส วาร์กัส และ กุสตาโว่ เฮนริเก้ ลงสนามเป็นตัวจริงในเกมลีกพร้อมกัน จนทีมขยับขึ้นไปรั้งตำแหน่งจ่าฝูงของลีก นั่นหมายความว่ามันจะไม่มีโควตาต่างชาติเหลืออีกแล้ว
ยิ่งดูผลงานของแข้งในตำแหน่งแนวรุกอย่าง มาติอัส วาร์กัส ทำไป 8 ประตู (18 เกม), ออสการ์ 10 ประตู (18 เกม), กุสตาโว่ เฮนริเก้ 13 ประตู (17 เกม) และ อู๋ เหล่ย 21 ประตู (19 เกม) มันยิ่งไม่มีเหตุผลเลยที่ เควิน มุสแคท ต้องปรับเปลี่ยนทีม
เพราะฉะนั้น วิลเลี่ยน พ็อพพ์ จะมีโอกาสลงสนามในเกม ไชนีส ซูเปอร์ ลีก ก็ต่อเมื่อแข้งต่างชาติที่ยืนขวางทางเขาได้รับบาดเจ็บหรือโดนแบนเท่านั้น ถ้าทุกคนอยู่ในสภาพพร้อมลงสนาม พ็อพพ์ ก็คงทำได้แค่นั่งดูเพื่อนเล่นจากบนอัฒจันทร์
แต่ใช่ว่า พ็อพพ์ จะไม่มีโอกาสวาดลวดลายกับทีมใหม่เลย เพราะฟุตบอล ACL Elite สามารถลงทะเบียนนักเตะต่างชาติได้ไม่จำกัด ทำให้เขาจะมีชื่ออยู่ในทีมแน่นอนและน่าจะได้รับโอกาสลงสนาม เพราะ เควิน มุสแคท คงไม่ฝืนใช้นักเตะต่างชาติชุดเดิมทั้งในลีกและสโมสรเอเชีย ไม่อย่างนั้นร่างกายของนักเตะคงช้ำแย่
ดังนั้น วิลเลี่ยน พ็อพพ์ ต้องพยายามฉกฉวยโอกาสในฟุตบอลถ้วยสโมสรเอเชียให้ได้มากที่สุด เพราะในสัญญายืมตัวของเขามีอ็อปชั่นซื้อขาดรวมอยู่ด้วย และเมื่อดูจากสถานการณ์ของ ออสการ์ ที่ส่อแววลาทีมหลังหมดสัญญาในช่วงสิ้นปีนี้ หาก พ็อพพ์ สร้างความประทับใจให้กับสตาฟฟ์โค้ชของ ซั่งไห่ พอร์ต ได้ เขาก็มีลุ้นได้เซ็นสัญญาถาวรและยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมทดแทน ออสการ์ ในฤดูกาลหน้า