Y2K เดอะ ซีรี่ส์ : มานิตย์ น้อยเวช : ชีวิตไม่ง่ายและกว่าจะเป็น “ริวัลโด้กั๊ก”
ย้อนกลับไปเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน มีเด็กน้อยอยู่คนหนึ่งที่เกิดมาโดยเขาไม่อยากทำอะไรเลย นอกจากเล่นฟุตบอล ราวกับว่าตอนอยู่ในท้องเขาได้กอดลูกฟุตบอลเอาไว้ ทุก ๆ ครั้งที่ลูกฟุตบอลหายไปหรือมีใครมาแย่ง เด็กคนนี้จะร้องไห้ออกมาราวกับฟ้าถล่ม เขาอยู่ไม่ห่างจากลูกฟุตบอลเลยแม้ในตอนกินข้าวหรืออาบน้ำ พ่อแม่ของเขาสุดจะปวดหัวเมื่อต้องหาวิธีให้เขาอยู่ห่างจากลูกฟุตบอลบ้าง
ซึ่งมันทำให้คนรอบข้างของเขารู้ทันทีว่าไอ่หนูคนนี้ "เกิดมาเพื่อฟุตบอล" จริง ๆ แล้วมันง่ายมากหากจะอยากให้เขาทำตามสั่ง เพียงแค่บอกว่า "เดี๋ยวจะพาไปเล่นฟุตบอล" เด็กคนนี้ก็จะทำทันทีโดยอัตโนมัติ
และเด็กน้อยที่ว่านี้ นั่นคือ มานิตย์ น้อยเวช นั่นเอง หรือนักฟุตบอลบอลไทยที่ได้รับฉายา "ริวัลโด้เมืองไทย" ในภายหลัง
แล้วเส้นทางความฝันของเขาคนนี้เป็นอย่างไร จะโรยด้วยกลีบกุหลาบหรือไม่ ติดตามไปพร้อมกับพวกเรา Think Curve - คิดไซด์โค้ง
บุญมีแต่กรรมบังตลอด
"ผมจำไม่ได้หรอกสมัยเด็ก ๆ ว่าเป็นอย่างไร แต่พ่อแม่เล่าให้ฟังว่า ผมติดลูกฟุตบอลมาก ถึงขนาดใครมาแย่งหรือมาใกล้ลูกบอลของผม จะร้องไห้ทันที" มานิตย์ น้อยเวช เล่า
"พอเริ่มวิ่งได้ ผมก็เริ่มเตะฟุตบอลแล้ว ก็เล่นกับพวกรุ่นผู้ใหญ่ในหมู่บ้านนั้นละ แต่ไม่ค่อยมีใครอยากให้ผมเล่น เพราะยังเด็ก กลัวว่าจะโดนบอลอัดใส่หน้า แต่ผมไม่ยอมร้องไห้จะเล่นให้ได้ สุดท้ายเขาก็ยอม ซึ่งก็ไม่ค่อยมีใครส่งบอลให้ ผมจึงต้องวิ่งไล่บอลอย่างเดียวตามประสาเด็ก ๆ"
เด็กหนุ่มที่พักอาศัยอยู่กับครอบครัวในอำเภอเลาขวัญ จ.กาญจนบุรี เขาได้สัมผัสเกมการแข่งขันฟุตบอลอย่างรวดเร็วตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เมื่อเขามีชื่อติดทีมโรงเรียนรุ่นอายุ 10 ปี
หลายคนอาจะคิดว่าเขาเก่งถึงขั้นแบกอายุตั้งแต่เด็กเลยเหรอ แต่ไม่ใช่ เหตุผลเพราะโรงเรียนของเขามีนักเรียนอยู่เพียง 50 คนเท่านั้น แถมโค้ชประจำโรงเรียนก็มีตำแหน่งเป็น นักการภารโรง อีกด้วย
"โรงเรียนที่ผมอยู่เป็นโรงเรียนบ้านนอกมีนักเรียน 50 คนเท่านั้น รู้สึกว่าตอนนี้ยุบไปแล้วด้วย คือทีมรุ่นอายุ10 ปีตัวไม่ครบ ภารโรง ที่เป็นโค้ชก็เลยมาคัดเอาเด็ก ป.1 มาเล่น ซึ่งผมตัวใหญ่ที่สุดในชั้น ก็เลยได้เล่นกับรุ่นพี่ ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าต้องยิ่งเข้าฝั่งไหน เตะไปข้างหน้าอย่างเดียว ก็เล่นมั่วไปหมด สุดท้ายก็โดนยิงไม่ต่ำกว่านัดละ 10 ลูก" มานิตย์ กล่าว
ตลอดระยะเวลาที่เล่นให้กับทีมโรงเรียน ด.ช.มานิตย์ น้อยเวช แทบไม่เคยรู้จักกับคำว่าชัยชนะ จนเมื่อครอบครัวของเขาย้ายออกจากอำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี มาสู่บ้านหลัวใหม่ในอำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี เขาจึงได้มีโอกาสเข้าเรียนโรงเรียนที่ใหญ่ขึ้น จากนักเรียนหลักสิบสู่หลักร้อยคน เขาก็เริ่มได้สัมผัสกับชัยชนะในการแข่งขันฟุตบอลมากขึ้น
"ย้ายมาอยู่ด่านช้าง ก็ได้เล่นฟุตบอลให้กับโรงเรียน แต่ก็ยังเป็นโรงเรียนเล็ก โชคดี ยังพอมีคนเป็นฟุตบอลอยู่บ้าง เวลาไปแข่งก็เริ่มมีชนะบ้าง ทำให้รู้ว่าเวลาเล่นชนะแล้วมันรู้สึกอย่างไร มันทำให้การเล่นฟุตบอลดูมีความสุขมากขึ้น" มานิตย์ กล่าว
และเหมือนทุกอย่างเป็นใจเมื่อเขาย้ายมาอยู่ที่สุพรรณฯ มานิตย์ ได้สัมผัสแชมป์แรกระดับอำเภอด่านช้าง ฟอร์มการเล่นของเขาทำให้เขาเริ่มถูกจับตามองจากผู้ใหญ่มากขึ้น และการได้แชมป์ครั้งนี้เขาได้สวมบทบาทตัวเองว่าเป็น "ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน"
"ตอนได้แชมป์ครั้งแรกในชีวิต อยู่ ป.6 โรงเรียนผมก็เล่นเป็น ไม่กี่คนหรอก แต่ว่าตอนนั้นผมตัวใหญ่และวิ่งเร็ว เพื่อนก็เลยส่งให้แต่ผม เลี้ยงเข้าไปยิงอย่างเดียว บางเกมถึงขนาดลงมาเอาบอลเองตั้งแต่ประตูตัวเองเลี้ยงหลบคู่ต่อสู้ทั้งทีมเข้าไปยิง เวลายิงเขาผมก็จะตะโกนบอกว่า ข้าคือปิยะพงษ์!" มานิตย์ เล่า
"สมัยเด็ก ๆ เวลาเล่นฟุตบอลแบ่งข้างกัน ก็จะบอกว่าตัวเองเป็นคนนู้นบ้างคนนี้บ้าง แต่สำหรับผม จอง ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน เลยใครแย่งถึงกีบต้องมีเรื่องกันตามประสาเด็กๆ แต่ผมเป็นคนตัวใหญ่เพื่อนก็เลยเกรงใจให้เป็นปิยะพงษ์ (หัวเราะ) ซึ่งตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าปิยะพงษ์ เล่นอย่างไร แต่เก่งที่สุดในทีมชาติก็เป็นพี่ตุ๊ก ตอนนั้นผมก็มั่นใจว่าผมนี่ละเก่งมากด้วย"
ถนนบทเส้นทางความฝันของเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างพร้อมกับความมั่นใจที่เปี่ยมล้น เมื่อเขาเรียนจบ ป.6 สองมือหิ้วกระเป๋าคว้ารองเท้า หวังเข้าไปคัดตัวโชว์ลีลาที่ โรงเรียนกีฬาจังหวัดสุพรรณบุรี แต่...เขาสอบไม่ติด
"เราก็คิดว่าเราเจ๋งละ แต่พอไปคัดมีคนเก่งกว่าและพร้อมกว่า ก็มีเสียใจเป็นธรรมดา อีกอย่างตอนนั้นที่ไปคัดก็ใส่รองเท้านักเรียนคู่เก่า ๆ แต่คนอื่นใส่รองเท้าสตั๊ด ก็แอบคิดว่าอาจจะเป็นตรงจุดนี้ก็ได้ที่ทำให้เราสู้เขาไม่ได้ จึงไปรับจ้างตัดไม้แถวบ้าน เพื่อซื้อรองเท้าสตั๊ดมาเตะฟุตบอล" มานิตย์ เล่า
มานิตย์ ทำงานเก็บเงินหวังซื้อรองเท้าสตั๊ดคู่แรกคู่ใจของตัวเอง และเขาทำได้สำเร็จ แต่แล้วน้ำตาก็ต้องคลอเบ้า เมื่อครองครัวของเขาส่งเขาไปเรียนในโรงเรียนที่เล็กกว่าเดิม ซึ่งเป็นโรงเรียนขยายโอกาสแถว ๆ บ้าน เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการเรียน และแห่งนี้กลับไม่มีทีมฟุตบอลเนื่องจากนักเรียนระดับชั้นมัธยมมีเพียงแค่ร้อยกว่าคนเท่านั้น
"สตั๊ดคู่แรกที่ได้มาใส่เล่นได้ไม่กี่ครั้งหรอก เพราะที่โรงเรียนไม่ส่งแข่งฟุตบอล ผมจึงไปเล่นตระกร้อแทน ก็ซ้อมตระกร้อ จนไม่ค่อยได้เล่นฟุตบอลสักเท่าไหร่ จนระยะหลัง ผู้ใหญ่แถวบ้านส่งบอลเดินสาย จึงชวนไปเล่น เอาสตั๊ดที่ผมซื้อเองคู่แรกกลับมาใส่ ก็ใส่ไม่ได้แล้ว เราโตขึ้นเท้าก็ใหญ่ขึ้น" มานิตย์ เล่า
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
มานิตย์น้อย ตัดสินใจเหมือนที่เคยทำ เขากลับไปโรงเรียนกีฬาสุพรรณบุรี อีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เขาเดินทางมาคัดเลือกโควต้านักตระกร้อ ซึ่งผลที่ออกมาก็เหมือนเดิม…คือเขาไม่ติด
ต่อมาเขาได้มีโอกาสเข้าเรียนโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น นั่นก็คือโรงเรียนบรรหารแจ่มใสวิทยา 3 (ด่านช้าง) และก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้ฝึกฟุตบอลอย่างจริงจัง
เดอะกั๊กถือกำเนิด
มานิตย์ วาดลวดลายโชว์ฝีเท้ากับโรงเรียนบรรหารแจ่มใสวิทยา 3 ได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้เขาถูกดึงไปเล่นให้กับ โรงเรียนบรรหารแจ่มใสวิทยา 1 (ดอนเจดีย์ ) และได้มีโอกาสแข่งขันฟุตบอลนักเรียนกรมพละ โดยมานิตย์ ก็มีส่วนสำคัญในการพาทีมโรงเรียนของเขาคว้าแชมป์ ถ้วย.ข กรมพละ ไปครอง
ฝีเท้าของเขาเก่งเกินเพื่อนร่วมทีมถึงขนาดอาจารย์ที่เป็นโค้ชโรงเรียนแนะนำให้เขาลองมาคัดตัวนักเรียนไทยดู พร้อมกับให้เงินมาก้อนหนึ่งสำหรับเดินทางเข้าเมืองกรุงเพื่อสานต่อความฝัน
"อาจารย์ที่สอนมาบอกว่าลองไปคัดนักเรียนไทยดู และก็ให้เงินค่ารถมาส่วนหนึ่ง แกคงอยากให้ผมลองมาคัดดูเท่านั้น" มานิตย์ เผย
"ผมเดินทางจากสุพรรณบุรี ตั้งแต่วันศุกร์ มาถึงที่กรุงเทพ โดยที่ไม่รู้จักใครเลย ก็คิดว่าจะเช่าโรงแรมแถวสนาม แต่พอเห็นราคาก็เลยเดินถอยออกมา ตรงห้างมาบุญครองแอบไปนอนตรงทางหนีไฟ พอตอนเช้าไปคัด"
โดยการคัดเลือกนักเรียนไทยครั้งนั้นใช้เวลานานถึงเดือนครึ่ง เริ่มจากนักเรียนกว่า 1,000 คน เริ่มถูกคัดออกจนเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ และแน่นอน มานิตย์ ต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ทุกสัปดาห์ และต้องมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากสุพรรณบุรีเข้าเมืองหลวง
"ไม่คิดว่าการคัดจะนานขนานนี้ ทุก ๆ ช่วงหลังเลิกเรียน ผมจึงหนีซ้อมฟุตบอลกับทางโรงเรียนเพื่อไปทำงานรับจ้างหาเงินเพื่อเป็นทุนในการเดินทาง ซึ่งมันก็ไม่พอหรอก ก็ต้องขอยืมจากอาจารย์ในโรงเรียน เขาก็ช่วย ๆ กัน" มานิตย์ เล่า
"ผมเข้ากรุงเทพฯ ทุกวันศุกร์และกลับเย็นวันอาทิตย์ ก็เท่ากับว่ามาครั้งหนึ่งก็นอนสองคืน ส่วนใหญ่คืนแรกก็จะแอบนอนตามสถานที่ต่าง ๆ อย่างในห้องน้ำผมก็นอนมาแล้ว ส่วนคืนที่สองก็เกาะกลุ่มกับคนที่มาจากต่างจังหวัดไปขอนอนด้วยเขา เรียกว่าต้องประหยัดทุกอย่าง"
และในที่สุด มานิตย์ ถูกเรียกติดทีมนักเรียนไทยไปลุยทำการแข่งขันที่ประเทศเกาหลีใต้ พร้อมกับค้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ โดยในนัดชิงชนะเลิศกับเจ้าภาพ เกาหลีใต้ มานิตย์ เป็นคนตีเสมอให้กับทีมไทย 2-2 ในช่วงนาทีสุดท้าย ก่อนที่ชนะการดวลจุดโทษไปได้
เมื่อเขาเดินทางกลับมาถึงเมืองไทยเขาก็ต้องพบกับเรื่องเซอร์ไพรส์สุด ๆ ในชีวิตเมื่อพ่อและแม่เหมารถบัสมาจากสุพรรณบุรี โดยขนคนทั้งหมู่บ้าน กว่า 50 ชีวิต เพื่อมาต้อนรับตนเองที่สนามบินดอนเมือง
"เดินทางมาถึงส่วนใหญ่ญาติพี่น้องแต่ละคนก็มารับ แต่ของผมนี่หนักสุด พ่อแม่เหมารถมาจากสุพรรณเลย เรียกว่ามากันยกหมู่บ้านมาเลย ก็ยังดีนะที่ไม่เอากลองเอาอะไรมาตีในสนามบิน (หัวเราะ)" มานิตย์ เล่าถึงเหตุการณ์สุดเซอร์ไพรส์หลังได้แชมป์ฟุตบอลนักเรียนชิงแชมป์เอเชีย
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา มานิตย์ ก็ถูกเรียกตัวติดทีมชาติชุดยู 19, 21 และ ฟุตบอลปรีโอลิมปิก มาโดยตลอด
"หลังจากกลับจากนักเรียนไทย ก็ได้เล่นเยาวชน 19 ปี ชุดนั้นก็พวกดังๆที่กลับมาจากชิงแชมป์โลก ทั้ง บำรง บุญพรหม, สุธี สุขสมกิจ, ธีระศักดิ์ โพธิ์อ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ผมยังนั่งดูพวกเขาเล่นในทีวีอยู่เลย หลังจากนั้นก็ติดทีมเยาวชนมาแทบจะทุกชุด" มานิตย์ เล่า
มานิตย์ เริ่มมีประสบการณ์ในทีมชาติไทยระดับเยาวชนมากขึ้น และมีโอกาสเห็นฝีเท้าของนักเตะทีมชาติรุ่นพี่หลายคน ซึ่งทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไอดอลในการเล่นฟุตบอล จาก ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน มาสู่ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง
"สมัยเด็ก ๆ เวลาเปิดทีวีก็จะเห็นแต่พี่ตุ๊ก (ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน) ก็อย่างที่บอกผมจะจิตนาการตัวเองว่าเป็นปิยะพงษ์ แต่พอเข้ามากรุงเทพ ก็เห็นรุ่นพี่เก่ง ๆ หลายคน อย่าง พี่โก้ (เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง)และอัลเฟรด (เนติพงษ์ ศรีทองอินทร์) ตอนนั้นคู่นี้กำลังดังเลย ถ้าให้เลือกใครเก่งกว่า ก็บอกไม่ได้ แต่ผมชอบพี่โก้ ตรงที่เป็นนักเตะตัวอย่างที่มีวินัยในการฝึกซ้อม" มานิตย์ เล่า
และในศึกเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 14 มานิตย์ มีรายชื่อติดทัพทีมชาติไทยไปร่วมแข่งขันที่เมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งในทัวร์นาเมนต์นี้เขาได้มีโอกาสเล่นร่วมกับไอดอลของเขาเองอย่าง “ซิโก้” เกียรติศักด์ เสนาเมือง ที่เป็น 1 ใน 3 นักเตะโควต้าอายุเกินของทีมชาติไทย
"แค่รู้ว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่ ปีเตอร์ วิธ เลือกติดไปด้วยผมก็ดีใจแล้ว เอาตรง ๆ ตอนนั้นผมแทบจะเป็นคนเดียวที่เล่นฟุตบอลโปรลีก ส่วนคนอื่น ๆ เล่นไทยลีกกันหมด ยิ่งตอนรู้ว่า พี่โก้ ลงมาเล่นด้วย ก็ตื่นเต้นมากตอนแข่งก็ยืนคู่หน้ากับพี่โก้เลย เป็นอะไรที่สุด ๆ แล้ว" มานิตย์ เผย
ซึ่งในทัวร์นาเมนต์นี้ถือได้ว่าเป็นรายการแจ้งเกิดของ มานิตย์ เลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อเข้าได้ประสานงานกับเกียรติศักด์ เสนาเมือง ทุกอย่างมันลงตัวสุด ๆ และพวกเขาพาทีมทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศก่อนคว้าอันอับ 4 ในที่สุด โดยเฉพาะรอบ 8 ทีมสุดท้าย มานิตย์ น้อยเวช เป็นคนทำประตูชัยให้กับทีมเฉือนเอาชนะเกาหลีเหนือ 1-0
หลังจากการโชว์ฟอร์มสุดยอดเยี่ยมของเขา มานิตย์ กลายมาเป็นศูนย์หน้าตัวความหวังใหม่ของทีมชาติไทย และด้วยความที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับ ริวัลโด กองหน้าทีมชาติบราซิล ในเวลานั้น เขาจึงได้รับฉายา “ริวัลโด้เมืองไทย” ไปครอง
หลาย ๆ คนคาดหวังว่าเขาจะกลายมาเป็นตัวแทนของดาวยิงรุ่งพี่อย่าง “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ซึ่งทำให้เขากลายเป็นดาวยิงที่มีหลายสโมสรต้องการตัวไปร่วมทีม ก่อนสุดท้ายเขาจะเลือก ธ.กรุงเทพ
"หลังกลับจากเอเชียนเกม ธ.กรุงเทพ ก็ติดต่อเข้ามา ผมก็เลยตัดสินใจย้ายออกจากสุพรรณบุรี เลย เพราะว่าตอนนั้นนักเตะทีมชาติที่เล่นอยู่ในเมืองไทยก็เล่นไทยลีกทั้งหมด พอย้ายมาอยู่ ธ.กรุงเทพ เสร็จแล้ว ก็มีหลายทีมติดต่อตามมาทีหลังอีกพอสมควร ความจริงผมก็สนใจนะ แต่ว่าจังหวะนั้น บินดิน ติดต่อเข้ามาด้วย ก็เลยเล่น ธ.กรุงเทพ ปีเดียวแล้วก็ย้ายไปเวียดนามเลย" มานิตย์ เล่า
เดินทางสู่ต่างแดน
และไม่นานดาวยิงดีกรีทีมชาติไทยในเวลานั้นถูก บินดินห์ สโมสรในประเทศเวียดนาม คว้าตัวไปร่วมทีม พร้อม ๆ กับ อิศวะ สิงห์ทอง แต่ มานิตย์ ก็อยู่เล่นให้กับสโมสรในเวียดนามเพียงแค่ 1 ฤดูกาลเท่านั้น แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์อันยอดเยี่ยมของเขา
"ต้องยอมรับว่าฟุตบอลไทยเวลานั้น แทบไม่มีคนดูในสนามเลย พอไปเล่นเวียดนาม บรรยากาศ แตกต่างกันมาก แฟนบอลเต็มสนามเกือบทุกนัด ยิ่งเป็นนักเตะไทยนะ ไม่ต่างไปจากดาราเลย" มานิตย์ เล่า
หลังจากได้ไปโชว์ฝีเท้าและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในเวียดนามเสร็จแแล้ว ก็เดินทางต่อไปยังอีกหนึ่งดินแดนที่มีความบ้าคลั่งฟุตบอลในภูมิภาคอาเซียน อย่าง อินโดนีเซีย โดยเขาไปเล่นให้กับสโมสร เปอร์ซิจา จาปารา ร่วมกับ ไพฑูรย์ เทียบมา ซึ่งที่นี่ มานิตย์ กล่าวว่าเร้าใจกว่า วี-ลีก เวียดนาม สุด ๆ
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
"ตอนนั้นผมว่าบรรยากาศที่เวียดนามสุดยอดแล้วนะ แต่พอมาเจอฟุตบอลที่อินโดฯ คนละเรืองเลย ความบ้าบอลไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ แต่เรื่องความดุดันในการเชียร์ฟุตบอลที่นี่ไม่เป็นสองรองใครแน่นอน ผมว่าบางทีอินโดนีเซียนี่คือเบอร์หนึ่งอาเซียน หากจะเทียบกับเมืองไทยก็เล่นที่ แพท สเตเดี้ยม ของท่าเรือนั้นละ แต่ว่าสนามที่นั้นใหญ่กว่า" มานิตย์ เล่า
"ถ้าเราชนะนะ ทุกอย่างก็ดูดีไปหมด ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ แต่หากแพ้นะ เก็บตัวนอนอยุ่ในห้องได้เลย อย่าได้ออกไปเดินข้างนอกเด็ดขาด ไม่ใช่แค่นักเตะไทยนะ นักเตะอินโดก็เช่นกัน แฟนบอลอินโดค่อนข้างมีอารมณ์ร่วมกับเกม มีช่วงหนึ่งไม่ชนะติด ๆ กันหลายเกม การใช้ชีวิตก็ลำบากเหมือนกัน (หัวเราะ)"
อยู่เร้าใจกับอินโดนีเซียครบ 1 ปี มานิตย์ เดินทางกลับมายังบ้านเกิด เมื่อ สุพรรณบุรี เอฟซี ที่ได้เข้าไปเล่นในไทยลีกปี 2006 ได้เรียกตัวเขากลับมาช่วยทีม
"ความจริงก็กำลังสนุกกับการเล่นที่อินโดนีเซีย แต่ว่าเราก็ไปเล่นแค่ช่วงสั้น ๆ เท่านั้น ใจจริงก็อยากเล่นต่อ แต่ว่า ไพฑูรย์ กลับ ผมก็เลยกลับ อีกอย่างช่วงนั้น สุพรรณบุรี กำลังโยกมาเล่นไทยลีก ผู้ใหญ่ในทีมก็มีบุญคุณกับผมหลายคน ก็เลยเลือกที่จะกลับมาเล่นที่บ้าน" มานิตย์ กล่าว
ซึ่งดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างขณะที่ มานิตย์ กำลังโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมนั้น กลับเป็นช่วงที่โปรแกรมการแข่งขันของทีมชาตินั้นเงียบเหงา เนื่องจากทีมชาติไทยตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกตั้งแต่รอบแรก ๆ หลังแพ้ เกาหลีเหนือ แบบไป-กลับ
"ผมว่าโชคร้ายนะ ตอนที่ขึ้นมาเป็นกองหน้าตัวเลือกแรก ๆ ของทีมชาติไทย แต่ว่าดันไม่ค่อยมีโปรแกรมแข่งขัน เกมอุ่นเครื่องอะไรก็ไม่ค่อยมีสำหรับทีมชาติชุดใหญ่นะ มันก็ทำให้ขาดความต่อเนื่องของเกมระดับทีมชาติไปเลย" มานิตย์ เล่า
"ตอนมาเล่นให้กับสุพรรณบุรี เอฟซี ผลงานของทีมไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ก่อนที่จะตกชั้นไปเล่น ดิวิชั่น 1 หลังจากนั้นผมก็ย้ายไปเล่น ยาสูบ กับ ตำรวจ ซึ่งผลงานขอผมก็ไม่ได้ตกอะไรมาก ก็ยิงประตูได้ต่อเนื่องนะ แต่ว่าต้องยอมรับว่าเวลานั้น ทีมชาติไทยมีกองหน้าฝีเท้าดีขึ้นมากลายคน"
และจุดเปลี่ยนของ มานิตย์ อยู่ที่การแยกทางของ ทีมชาติไทย กับ ปีเตอร์ วิธ มันกำลังทำให้ชื่อของเขากำลังเลือนหายไป
"ตอนที่ ปีเตอร์ วิธ อยู่ผมก็ถูกดันมาเล่นกับรุ่นพี่ในชุดใหญ่หลายครั้ง แต่หลังจาก ปีเตอร์ วิธ ไม่ได้คุมทีมชาติ ก็ทำให้ผมไม่ค่อยได้รับโอกาสในนามทีมชาติสักเท่าไหร่ ตอน น้าชัช (ชัชชัย พหลแพทย์) เข้ามาก็ยังมีชื่ออยู่ แต่หลังจากนั้นก็แทบไม่ได้เล่นเลย มีบางที่ถูกเรียกมาซ้อม แต่พอตัดตัวไปแข่งก็หลุดตลอด อาจจะเป็นเพราะสภาพร่างกายที่ไม่สมบูรณ์เหมือนเดิมที่เริ่มมีอาการบาดเจ็บรบกวน มันก็เหมือนเป็นการเลิกเล่นทีมชาติไปในตัว" มานิตย์ เล่า
ช่วงสุดท้ายของการค้าแข้ง มานิตย์ เล่นให้กับ เชียงราย ยูไนเต็ด, อยุธยา เอฟซี, เกษตรศาสตร์ เอฟซีและแขวนสตั๊ดกับนอร์ทกรุงเทพ และเริ่มต้นเปิดอาคาเดมี่ สอนฟุตบอลให้กับเด็ก ๆ โดยเฉพาะการปลุกปั่นลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเองให้ก้าวมาเป็นนักเตะฝีเท้าดีในอนาคต สืบทอดเตนารมณ์ของเขาต่อไปบนเส้นทางลูกหนัง
"ตอนนี้นอกจากทุ่มเทเวลาสอนฟุตบอลเด็ก ๆ ในอาคาเดมี่ของผมแล้ว ก็ยังโฟกัสไปที่การถ่ายทอดทักษะฟุตบอลให้กับลูกสาว ซึ่งโชคดีมากที่เขาชอบฟุตบอลเหมือนผม ที่สำคัญเขาน่าจะไปได้สวยเมื่อมีโอกาสและความพร้อมมากกว่าผม" มานิตย์ กล่าวทิ้งท้าย
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ศุภณัฎฐ์ พุ่งพรวด : อัพเดท 10 อันดับนักเตะไทยลีกมูลค่าสูงที่สุดในเวลานี้
ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา : ไปเจออะไรมาที่ เลสเตอร์ ทำไมถึงเก่งเบอร์นั้น ?
หากวัดจากค่าเฉลี่ย : ศุภชัย จะทำลายสถิติดาวยิงไทยสูงสุดของ ธีรศิลป์ ได้หรือไม่ ?