Y2K เดอะ ซีรีส์ : เปิดตำนาน “ชลขาโหด” ของ ชลทิตย์ จันทคาม
กระแส Y2K กำลังระบาดไปทั่วโซเชียล และหากพูดถึงยุค 2000 หนึ่งในนักเตะที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ก็คือ ชลทิตย์ จันทคาม กองหลังจอมโหดของชลบุรี เอฟซี ที่โลดแล่นอยู่ในวงการลูกหนังแดนสยามมาตั้งแต่ปี 2004
นี่คือเรื่องราวของกองหลังจากจังหวัดมหาสารคาม กับการก้าว ขึ้นมาเป็นตำนานของแนวรับทีมชาติไทยด้วยสไตล์การเล่นที่ดุดัน ติดตามไปพร้อมกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง
หอบความฝันมาจากบ้านเกิด
สำหรับนักฟุตบอล การติดทีมชาติถือเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน เช่นกันสำหรับ ชลทิตย์ จันทคาม ทว่าสิ่งนี้ยังเป็นแรงผลักดันให้เขาในวัย 12 ปี ออกมาบ้านเกิดจังหวัดมหาสารคาม เดินทางไกลเกือบ 500 กิโลมเตร เพื่อมาฝึกฝนศาสตร์ลูกหนังที่จังหวัดชลบุรี
"พูดถึงจังหวัดที่มีชื่อเสียงด้านฟุตบอล จังหวัดแรกที่คนต้องนึกถึงก็คือ ชลบุรี และสำหรับผมต้องเป็นชลบุรี เท่านั้น" ชลทิตย์ จันทคาม กล่าว
"อีกอย่างบ้านผมอยู่ติดกับพี่ไกรสร (ไกรสร ศรีแสงจันทร์) ตอนนั้นพี่เขาเล่นเยาวชนทีมชาติ เวลากลับมาบ้านแต่ละครั้งก็จะสวมชุดทีมชาติกลับมาด้วย โคตรเท่เลย เด็กทั้งหมู่บ้านก็อยากเป็นแบบพี่ไกรสร ผมก็อยากมีเสื้อทีมชาติใส่เหมือนเขา จึงเลือกมาเรียนที่แสนสุข"
ชลทิตย์ มาที่นี่ในฐานะหนึ่งในนักเรียนโควต้าช้างเผือกของโรงเรียนแสนสุข และแม้จะต้องจากบ้านมาอยู่เพียงลำพัง แต่สิ่งนี้ก็เป็นความภาคภูมิใจของเขา และรู้สึกไม่ต่างจากการเป็นวีรบุรุษเหรียญทองโอลิมปิก ตอนเดินทางกลับบ้านเกิดในช่วงปิดเทอม
“สายตาที่ผมมองพี่ไกรสร เวลากลับมาบ้าน ก็เหมือนกับเด็กๆแถวบ้านมองผมเวลาผมกลับไปบ้าน เราไม่ได้อวดว่าเราเก่งหรืออะไรหรอก แต่ว่าเด็กบ้านนอกสักคนได้เข้ามาเรียนโรงเรียนดังๆที่มีชื่อเสียงด้านฟุตบอล เป็นอะไรที่เท่สุดๆแล้ว” ชลทิตย์ ย้อนความหลัง
แม้ว่าเขาจะจากบ้านมาไกล แต่ ชลทิตย์ ก็พยายามรับผิดชอบตัวเองให้ได้มากที่สุด ทำงานหารายได้เสริมเท่าที่จะทำได้ เพื่อไม่ให้ที่บ้านต้องลำบากเพราะเขา
"ที่บ้านไม่ได้ร่ำรวยอะไรทำไร่ทำนา ที่บ้านก็ส่งเงินมาให้ช่วงแรกแต่ผมก็ปฎิเสธ เพระว่าผมหาเงินเองได้ ตอนเรียนแสนสุข ก็กินฟรีอยู่ฟรีแล้ว ส่วนเสาอาทิตย์ก็ออกไปรับจ้างขนยางพารา หรือรับจ้างทั่วไปก็ได้วันละ 100-200 ก็พออยู่ได้" ชลทิตย์ เผยถึงชีวิตช่วงแรกที่มาอาศัยอยู่ที่จังหวัดชลบุรี
และจุดเปลี่ยนของชีวิตครั้งแรกของ ชลทิตย์ ก็มาถึงตอนขึ้นมัธยมปลาย เมื่อเขาได้รับการชักชวนจาก อรรณพ สิงห์โตทอง ไปเรียนต่อที่จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย(ชลบุรี) ซึ่งเป็นอคาเดมีของฉลามชล
"ตอนนั้นกำลังคิดว่าจบ ม.3 แล้วจะไปต่อที่ไหนดี พอดีพี่นพ มาบอกว่าไปอยู่กับพี่ไหม ผมก็ตอบตกลงทันที คงไม่มีเด็กคนไหนในชลบุรี ที่จะปฎิเสธการชักชวนของพ่อพระลูกหนังเมืองชนได้" ชลทิตย์กล่าว
ก่อนที่มันจะเป็นจุดเริ่มต้นของตำนาน
จากแนวรุกสู่แนวรับ
แม้ว่า ชลทิตย์ จะโด่งดังจากตำแหน่งกองหลัง แต่ในสมัยเยาวชน เขาคือกองหน้าตัวฉกาจ และทำผลงานได้อย่างโดดเด่น พาจุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ประสบความสำเร็จมากมาย ในฐานะหัวหอกจอมแอสซิสต์
“ตอนอยู่จุฬาภรณ์ผมเล่นกองหน้า ความจริงก็เล่นกองหน้ามาตั้งแต่แรก แต่เป็นกองหน้าที่ไม่ค่อยยิงประตูนะ (ฮ่าๆ) เป็นกองหน้าจอมแอสซิสต์ ส่งให้เพื่อนยิงอย่างเดียว ป้อนให้เพื่อนยิงตลอด บางทีเลี้ยงหลุดเดียวเข้าไปดวลกับโกล 1-1 ผมยังส่งให้เพื่อนเลย ก็มีคนถามว่าทำไมไม่ยิง ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน" ชลทิตย์ อธิบาย
และที่นี่ก็เป็นประตูสู่ความฝันก้าวแรกของเขา นั่นคือการติดทีมชาติ เมื่อผลงานของชลทิตย์ ในฟุตบอลกรมพละ ได้ทำให้เขาถูกเรียกติดธงครั้งแรกในฟุตบอลนักเรียนชิงแชมป์เอเชียเมื่อปี 2003 ที่สิงคโปร์ อย่างไม่คาดคิด
"มีอยู่ปีหนึ่งผมก็พยายามยิงประตูให้มากแต่ทั้งทัวร์นาเม้นต์ยิงได้แค่ 2-3 ลูกนี่ละ ส่วนกองหน้าคนอื่นๆยิงกันเป็นสิบ ก็คิดแล้วว่าคงไม่ติดทีมนักเรียนไทยแน่นอน แต่พอประกาศรายชื่อมามีผมติดไปเล่นด้วย ถือเป็นครั้งแรกที่มีธงชาติติดหน้าอกเสื้อ"
อันที่จริงในตอนนั้น ชลทิตย์ เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพแล้ว ชลบุรี สันนิบาต ในระดับดิวิชั่น 1 แต่ไม่ได้รับโอกาสลงสนามมากนัก และใช้เวลาส่วนใหญ่ไปบนม้านั่งสำรอง หรือลงเล่นในช่วง 5 นาทีสุดท้าย
แต่ในปี 2005 โอกาสของเขาก็มาถึง เมื่อเกิดการรวมลีกระหว่างไทยลีกกับ โปรวิชั่นลีก และชลบุรี เอฟซี ที่คว้าแชมป์โปรลีกในปีนั้น ก็ได้สิทธิ์เข้าไปเล่นในไทยแลนด์ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2006 พร้อมกับดึงนักเตะเยาวชนฝีเท้าดีเข้าสู่ทีม และชลทิตย์ก็คือหนึ่งในนั้น
ในช่วงแรกของการมาอยู่ชลบุรี ชลทิตย์ไม่ค่อยได้รับโอกาสลงสนามเท่าที่ควร แต่จุดหักเหในชีวิตของเขาก็มาถึง เมื่อ “โค้ชเฮง” วิทยา เลาหกุล กุนซือของทีมในตอนนั้น ให้เขาไปเล่นในตำแหน่งกองหลัง แทนที่ตำแหน่งกองหน้าที่เขาถนัด
“โปรลีกปีนั้นชลบุรี ก็ดึงนักเตะเยาวชนฝีเท้าดีกลับมาสู่ทีม ซึ่งพวกเราก็ได้แชมป์ ปีนั้นยังได้รับโอกาสลงสนามบ้าง แต่พอมาเล่นไทยลีกโอกาสลงสนามผมก็น้อยลง จนโค้ชเฮง มาบอกให้ผมเปลี่ยนไปเล่นกองหลัง ถือเป็นจุดเปลี่ยนเลย"
“โค้ชเฮงบอกว่า ‘เดี๋ยวผมจะปั้นให้คุณติดทีมชาติ’ ก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกตอนแรก แต่พอโค้ชเฮงบอกให้ผมเปลี่ยนไปเล่นกองหลังก็สนใจขึ้นมาทันที แถมโค้ชเฮงพูดอย่างมั่นใจว่าถ้าผมเล่นกองหลังจะทำให้ผมติดทีมชาติก็เลยตัดสินใจลองดู ความจริงแล้วก็เพื่อโอกาสในการลงสนามมากกว่า”
แม้ว่าหลังจากนั้นไม่นาน โค้ชเฮง จะโบกมือลาทีมเพื่อไปคุมทีมในญี่ปุ่น และเขาก็พิสูจน์ตัวเองว่าดีพอภายใต้การคุมทัพเซอร์เด็จ" จเด็จ มีลาภ จนก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมในฤดูกาล 2007 พร้อมกับช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ไทยลีกสมัยแรกได้สำเร็จ
นอกจากนี้ ความโดดเด่นของปราการของ ชลทิตย์ ที่เล่นได้ทั้งในตำแหน่งกองหลังตัวกลางและแบ็คขวา ยังทำให้เขาในวัย 22 ปี ได้รับรางวัลนักเตะดาวรุ่งแห่งปีไทยลีก และถูกเรียกติดทีมชาติลุยศึกซีเกมส์ 2007 ที่นครราชสีมา
"ก็ไม่รู้ว่าการได้แชมป์ไทยลีกกับการมีชื่อติดทีมชาติจะดีใจอันไหนมากกว่ากันในตอนนั้น เพราะว่ามันมาพร้อมๆกันเลย แม้ว่าซีเกมส์ปีนั้นจะได้ลงสนามแค่เกมเดียว แต่ผมก็ภูมิใจมาก เพราะถือเป็นทีมชาติครั้งแรกของผม"
เขายังมีส่วนร่วมช่วยให้ทีมชาติไทยผงาดคว้าเหรียญทองในครั้งนั้น ด้วยการเอาชนะเมียนมาร์ ในนัดชิงชนะเลิศ แต่มันก็เทียบแทบไม่ได้ กับสัญญาฉบับใหม่ที่ได้รับจากฉลามชล ที่ทำให้เขาตั้งตัวได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง
"เป็นการต่อสัญญาครั้งแรกของผมกับชลบุรี ตอนนั้นอายุ 23 เซ็นสัญญาครั้งนั้นทำให้ผมมีบ้านเป็นของตัวเองครั้งแรก ผมได้เงินก้อนแรกมาก็แบ่งส่งให้พ่อให้แม่และก็ซื้อบ้านทันที วันที่ได้เงินก้อนนั้นพี่นพ ก็สอนผมว่าให้รู้จักเก็บ เพราะอาชีพนักฟุตบอลมันสั้น"
กองหลังสายบู๊
หลังจากซีเกมส์ 2007 ก็ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในขุนพลทีมชาติชุดใหญ่ และอยู่ในทีมชุดเข้าชิงชนะเลิศ เอเอฟเอฟ คัพ 2008 และ 2012 แต่น่าเสียดายเขาไม่เคยได้สัมผัสถ้วยใบนี้เลย หลังช้างศึกปราชัยในนัดชิงฯต่อสิงคโปร์ ทั้งสองครั้ง
"ทุกครั้งที่สวมเสื้อทีมชาติไทยผมภูมิใจทุกครั้ง แต่มีเรื่องที่คิดแล้วก็เซ็งไม่หายก็คือการพลาดแชมป์อาเซียนคัพ ซึ่ง 2 ครั้งที่เราเข้าชิงเราพลาดอะไรแบบไม่น่าพลาด ความจริงแล้วอย่างน้อยๆก็ต้องมีแชมป์ติดมือ 1 ครั้ง แต่ผมก็ไม่เคยสัมผัสมัน"
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังเป็นที่จดจำ ในฐานะกองหลังสายบู๊ ที่เข้าบอลได้อย่างดุดัน และเป็นที่หวั่นเกรงสำหรับกองหน้าคู่แข่ง จนได้รับฉายาว่า “ชลขาโหด” ซึ่งเป็นฉายาที่เขาน้อมรับด้วยความภาคภูมิใจ
“หลายคนกลัวผมโกรธเวลามาเรียก ชลขาโหด แต่ผมชอบนะ (ฮ่าๆๆ) จะมีนักเตะสักกี่คนในยุคปัจจุบันที่ได้รับฉายาในการเล่นฟุตบอล แสดงว่าเขาให้ความสนใจในตัวเอง ครั้งแรกที่ได้ยินก็มาจากแฟนบอลชลบุรี ก็ตกใจนะ ผมเลยถามเพื่อนว่าผมโหดขนาดนั้นเลยเหรอ เพื่อนก็ตอบกลับมาว่า ผมโหด อ่า...โหดก็โหด (ฮ่าๆๆ) ชลทิตย์กล่าว
“เราก็ทำตามหน้าที่ของเรา พยายามทุกวิธีทางที่ทำให้ทีมไม่เสียประตู มันก็ต้องมีลูกหนังบ้าง แต่ผมก็ไม่เคยแกล้งใครให้เจ็บนะ ฟุตบอลเป็นกีฬาปะทะมันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว อีกอย่างที่ผมเล่นหนักๆแบบนี้แฟนบอลเขาก็ชอบผมนะ มีเหตุผลอะไรล่ะที่จะไม่ชอบฉายานี้”
เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง
ความโดดเด่นนี้ ยังทำให้เขาตกเป็นที่หมายมองจากทีมอื่นในไทยลีก เขาเคยได้รับข้อเสนอให้ย้ายออกจากฉลามชลไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะปฏิเสธ และอยู่กับชลบุรีต่อไป
“ฟุตบอลก็เหมือนหมาล่าเนื้อ มีใครบ้างที่เวลาได้รับข้อเสนอดีๆเข้ามาจะไปสนใจ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่สนใจนะ แต่ผมก็ปฎิเสธมันมาตลอด” ชลทิตย์อธิบาย
“ทุกครั้งที่มีทีมติดต่อเข้ามาทางผม ก็จะโยนให้พี่นพ(อรรณพ สิงห์โตทอง) เป็นคนตัดสินใจ ผมมีวันนี้ได้ส่วนหนึ่งก็เพราะพี่นพ เปรียบเสมือนพ่อคนหนึ่งของผมเลย ดังนั้นทุกเรื่องฟุตบอลของผมจะปรึกษาแกตลอด”
ชลทิตย์เล่าว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับข้อเสนอโดยตรงไม่ผ่านสโมสรเป็นเงินก้อนโต รวมถึงเคยได้รับข้อเสนอเฉพาะค่าเซ็นสัญญาที่สูงถึง 10 ล้านบาท แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะจงรักภัคดีกับทีมที่ปลุกปั้นเขามา และต่อสัญญากับทีมออกไป
“มีอยู่วันหนึ่งพี่นพ มาถามผมว่าจะย้ายทีมไหม มีทีมติดต่อเข้ามา ซึ่งการเจรจาระหว่างสโมสรก็เป็นไปด้วยดี พี่นพบอกว่าเขาจะให้ค่าเซ็น 10 ล้าน ส่วนเงินเดือนที่จะได้กับทีมใหม่ก็เพิ่มขึ้นเยอะเลย ตอนนั้นผมก็เกือบตอบตกลงแล้ว” ชลทิตย์ ย้อนความหลัง
“ทีมนู้นเขาให้10ล้านแต่ที่นี่ให้เท่านั้นไม่ได้ พี่นพเขาพูดกับผมแบบนี้ก่อนบอกค่าเซ็นที่ผมจะได้รับหากต่อสัญญากับชลบุรี ซึ่งน้อยกว่าอีกทีมจะให้ผมอยู่พอสมควร เงินเดือนอาจจะได้เพิ่มแต่ก็ได้ไม่เท่ากับข้อเสนอที่เข้ามาตอนนั้น”
“ใจผมไปแล้วตอนนั้นเงิน 10 ล้านใครไม่อยากได้บ้าง นักฟุตบอลก็เหมือนหมาล่าเนื้อ แต่...มีคำพูดหนึ่งของพี่นพที่ทำให้ผมเปลี่ยนใจ เขาบอกว่าอยากให้ผมอยู่เป็นตำนานของสโมสร จะมีนักเตะสักกี่คนละที่ได้เป็นตำนานของทีม”
ตำนานแห่งชลบุรี
ชลทิตย์ อยู่รับใช้ชลบุรี จนถึงปี 2019 ซึ่งรวมแล้วกว่า 15 ปี ก่อนที่เขาจะใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายของนักเตะอาชีพด้วยการเล่นให้กับทีมกลางตาราง หรือสโมสรในลีกรอง ไล่ตั้งแต่ลำปางเอฟซี, ศรีษะเกษ เอฟซี รวมถึงสงขลา ยูไนเต็ด
และในปี 2021 เขาได้มีโอกาสคัมแบ็คถิ่นชลบุรีอีกครั้ง หลังย้ายมาร่วมทีม พัทยา ดอลฟินส์ ยูไนเต็ด ในที 3 ภาคตะวันออก ก่อนจะช่วยให้ทีมจบในตำแหน่งแชมป์ลีก ได้สิทธิ์เข้าไปเล่นในรอบ แชมเปี้ยนส์ลีก
อย่างไรก็ดี น่าเสียดายที่ ชลทิตย์ พลาดโอกาสในการพาพัทยาขึ้นมาเล่นในที2 หลังมีแต้มเท่ากับอันดับ 1 อุทัยธานี และ อันดับ 2 พิษณุโลก ตำแหน่งที่ได้เลื่อนชั้น แต่มีเฮดทูเฮดที่แย่กว่า อกหักไปตามระเบียบ
แม้ไม่รู้ว่า ชลทิตย์ ในวัย 37 ปี จะรับใช้พัทยาได้อีกนานแค่ไหน แต่เชื่อว่าหลังแขวนสตั๊ด เขาน่าจะลงหลักปักฐานที่ชลบุรี จังหวัดที่เป็นเหมือนบ้านเกิดหลังที่สองของเขา ที่อัดแน่นไปด้วยความรักและความผูกพันตราบนานเท่านาน
“ผมอยู่ชลบุรี มาตั้งแต่อายุ 12 ที่นี่ไม่ใช่บ้านเกิดแต่เป็นบ้านที่ผมอยู่แล้วมีความสุข ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะย้ายออกไปจากที่นี่ ก่อนหน้านี้ก็มีคนถามว่าจะอยู่กับทีมอีกนานเท่าไหร่ ผมตอบได้เพียงว่าจะอยู่จนเขาไม่เอาผมนั้นแหละ” ชลทิตย์ ทิ้งท้าย
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ศุภณัฎฐ์ พุ่งพรวด : อัพเดท 10 อันดับนักเตะไทยลีกมูลค่าสูงที่สุดในเวลานี้
ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา : ไปเจออะไรมาที่ เลสเตอร์ ทำไมถึงเก่งเบอร์นั้น ?
หากวัดจากค่าเฉลี่ย : ศุภชัย จะทำลายสถิติดาวยิงไทยสูงสุดของ ธีรศิลป์ ได้หรือไม่ ?