บทพิสูจน์บิ๊กทีม : เปิดปัจจัย 2 ทีมสายบู๊ ฟรอนตาเล่ และ ลิเวอร์พูล ฟอร์มตกในซีซั่นนี้

บทพิสูจน์บิ๊กทีม : เปิดปัจจัย 2 ทีมสายบู๊ ฟรอนตาเล่ และ ลิเวอร์พูล ฟอร์มตกในซีซั่นนี้
ณัฐพล อ่วมเรืองศรี

ผลงานของ ลิเวอร์พูล และ คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ สองทีมชั้นนำจากต่างลีกในช่วงนี้ ดูท่าว่าจะไปได้ไม่สวยเอาเสียเลยในฤดูกาลปัจจุบัน เปลี่ยนสภาพจากทีมที่เคยคว้าแชมป์ลีก จบในตำแหน่งรองแชมป์ฤดูกาลที่แล้ว กลายมาเป็นทีมกลางๆ ลดความน่ากลัวลงไปหลายเท่าตัว

หากมองจากผลงานในฤดูกาลที่แล้ว หงส์แดง มีแต้มหลังจบการแข่งขันบอลลีก ห่างจากทีมแชมป์อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพียงแค่คะแนนเดียวเท่านั้น ส่วนทาง ฟรอนตาเล่ มีแต้มตามหลังทีมแชมป์ โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส เพียงแค่สองแต้ม หมายความได้ว่าหากพวกเขาสามารถเก็บชัยชนะได้เพิ่มอีกนัด ก็จะแซงเป็นแชมป์ได้

PHOTO : The Athletic

ก่อนเริ่มต้นฤดูกาลนี้ แฟนบอลของทั้งสองทีม คงคาดหวังกับผลงานในซีซั่นนี้เอาไว้สูงมาก เพราะเกณฑ์มาตรฐานจากฤดูกาลก่อนนั้นมีการตั้งเอาไว้แล้วว่าทำได้ดีขนาดไหน ไม่มีใครคิดว่า ผลงานที่เป็นอยู่ในปัจจุบันจะออกมาหน้านี้แบบเหลือเชื่อ

ทั้งสองสโมสรต่างมีผู้จัดการทีมระดับท็อปกุมบังเหียน อยู่กับทีมยาวนานกว่า 5 ปี รู้ข้อมูลตื้นลึกหนาบางขององค์กรที่สังกัดเป็นอย่างดี แถมยังมีแนวทางการเลือกใช้แทคติกส์ ซึ่งมีความโดดเด่นเฉพาะตัวทั้งคู่ ศักยภาพผู้เล่นโดยรวมก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรเลย

อย่างไรก็ตามเมื่อผลการแข่งขันและแผนงานที่วางเอาไว้ มันไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง กระแสการโดนแฟนบอลและสื่อวิจารณ์อย่างหนัก ย่อมถาโถมเข้าหาทั้งสองสโมสรแบบเลี่ยงไม่ได้ หนักบ้าง เบาบ้าง ต่างกรรมต่างวาระกันไป

PHOTO : VOCKET FC

ซึ่งเมื่อสังเกตุความเหมือนของสองทีมต่างลีกนี้ มีปัจจัยหลายอย่างในการทำทีมที่คล้ายคลึงกัน สถานการณ์ที่ต้องเผชิญก็ใกล้เคียงกันสุดๆ

แล้วสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้แต่ละสโมสร ต้องมาตกที่นั่งลำบากอยู่ในเวลานี้ มีโอกาสพลาดทำอันดับคว้าโควต้าไปเล่นบอลชิงแชมป์ทวีปในปีหน้า ร่วมวิเคราะห์หาคำตอบได้ใน Think Curve - คิดไซด์โค้ง

แท็คติกที่บั่นทอนร่างกาย

แนวทางการทำทีมของ โทรุ โอนิกิ เฮดโค้ชของ ฟรอนตาเล่ และ เจอร์เก้นน์ คล็อปป์ ผู้จัดการทีมของ ลิเวอร์พูล มีแทคติกส์สำคัญที่เป็นไม้เด็ดคล้ายกัน คือ จังหวะการสั่งให้ลูกทีมวิ่งเข้ากดดัน เพื่อแย่งบอลคู่แข่งอย่างรวดเร็ว เพื่อหวังฉกฉวยความผิดพลาดของคู่แข่งในการทำประตู

ดังนั้นภาระหนักต้องตกไปที่ร่างกายของเหล่าลูกทีม ที่ต้องเค้นพลังงานออกมาตลอดเกม 90 นาที ซึ่งย่อมต้องเกิดผลกระทบแย่ๆ ตามมาในภายหลัง เมื่อใช้งานร่างกายหนักจนเกินขีดจำกัด แล้วอาจทำให้อายุการใช้งานของนักเตะแต่ละคน ลดต่ำลงกว่าที่ควรจะเป็น เหมือนเอาแรงล่วงหน้ามาใช้ไปแล้ว

ทางฝั่งของ ฟรอนตาเล่ นั้นหนักตั้งแต่เรื่องของการซ้อม ซึ่งพวกเขามีความต้องการที่จะพัฒนาร่างกายของนักเตะในทีม ให้กลายเป็น ซูเปอร์ เพลเยอร์ วิ่งได้ไม่หมดตลอดเกม ตามหลักแนวคิด “ฟิสิคเทค” ที่ส่งต่อกันมาแบบรุ่นสู่รุ่น ด้วยการปรับโปรแกรมการซ้อมให้หนักกว่าปกติ

อดีตผู้เล่นของ ฟรอนตาเล่ อย่าง เคนโกะ นากามูระ เคยพูดถึงการพัฒนาในส่วนนี้เอาไว้ว่า

วิดีโอการซ้อมของ คาวาซากิ ฟรอนตาเล่
“ผมอยู่กับแนวทาง ฟิสิคเทค ในปีแรกของผมกับทีมชุดใหญ่ การฝึกซ้อมเป็นงานหนักสำหรับผมมาก แม้แต่การฝึกซ้อมส่วนตัว ผมถูกฝึกอย่างหนัก เพื่อพัฒนาสภาพร่างกายให้ถึงขีดสุด”

โดยนักเตะบางรายที่ร่างกายรับโปรแกรมนั้นไม่ไหว หรือปรับสภาพร่างกายไม่ทัน ย่อมต้องโดนอาการบาดเจ็บเล่นงาน ต้องพักการลงสนามไปเป็นช่วงๆ ยกตัวอย่างเช่น ชนาธิป สรงกระสินธ์ ในปีก่อน, เจเซียล, มาร์ซินโญ่ และ ยู โคบายาชิ ในปีนี้

ส่วนทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ของ คล็อปป์ แน่นอนว่าแทคติกส์เด่น แทคติกส์หลัก ที่พวกเขาใช้เล่นงานคู่แข่งจนได้ผลลัพธ์ที่ต้องการเป็นถ้วยแชมป์มากมาย ตลอดหลายปีให้หลังมานี้ คือ “เกเก้น เพรสซิ่ง” ไม้ตายของนายใหญ่ชาวเยอรมัน

แนวคิดหลักของ เกเก้นเพรสซิ่ง คือ หากเสียบอลกลางทางระหว่างบุก แทนที่จากเดิมจะรีบไปตั้งโซนรับคุมพื้นที่ในเวลา 3-7 วินาที ให้เปลี่ยนเป็นการใช้ช่วงเวลานั้น เข้าบีบคู่แข่งเพื่อแย่งบอลกลับมาให้เร็วที่สุดแทน

แปลว่านักเตะแทบจะไม่ไดด้มีเวลาพักหายใจหายคอ จากจังหวะที่กำลังวิ่งหาตำแหน่งเติมเกมบุกอยู่ดีๆ ก็ต้องปรับจังหวะมาเป็นการวิ่งเข้าบีบคู่แข่งเร็วในเกมป้องกัน ช่วงชิงประโยชน์จากช่วงเวลาไม่กี่วินาทีนั้นให้ได้มากที่สุด อาศัยพลังงานที่ต้องพึ่งเรื่องความฟิตของร่างกายอย่างมาก

โดยกัปตันทีมอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน เคยให้สัมภาษณ์ถึงแทคติกส์นี้เอาไว้ว่า

“สิ่งสำคัญของมันขึ้นอยู่กับการซ้อมล้วนๆ สภาพความฟิตและทุกๆ ปัจจัยที่ข้องเกี่ยวในการเล่น เราต้องทำความเข้าใจมันทั้งหมด”

วิดีโอจังหวะการเพรสซิ่งของ ลิเวอร์พูล
“การเสริมสร้างแทคติกส์และความฟิต มันยากเอามากๆ แต่เหล่าผู้เล่นก็มีความสนุกไปกับมัน”
“สภาพการเตรียมความพร้อมด้านร่างกายของพวกเราดีขึ้นมากตั้งแต่ช่วงปรีซีซั่น นั่นทำให้สถิติของระยะทางการวิ่งในสนามของเรา ถูกจัดวางอยู่ในแถวหน้าของลีก”

แต่นั่นมันเป็นเพียงแค่ช่วงแรกที่ผลงานของทีมชวนให้แฟนบอลหลงใหล เพราะพอเวลาผ่านไปนานเข้าๆ อายุของนักเตะตัวหลักในทีมมากขึ้น ความสมบูรณ์ของร่างกายย่อมลดต่ำลงตามธรรมชาติ ส่งผลให้หลายคนเกิดอาการบาดเจ็บระหว่างฤดูกาล ผลัดหน้าต่อคิวกันไปรักษาตัวในโรงหมอแบบไม่ว่างเว้น

ยกตัวอย่างเช่นในฤดูกาลนี้ผู้เล่นในตำแหน่งแดนกลางอย่าง อาตูร์ เมโล่, นาบี เกอิต้า, ฟาบินโญ่ หรือแม้แต่ตัว เฮนเดอร์สัน ก็ต้องมีช่วงที่ต้องพักฟื้นฟูร่างกาย ให้หายจากอาการล้าหรืออาการเจ็บเล็กๆ น้อยๆ จากการสร้างภาระหนักเกินไปให้กับร่างกายเช่นกัน

ผลกระทบที่ออกมาเลยส่งผลโดยตรงต่อผลงานการเล่นของทั้งสองทีมในสนาม ซึ่งการจะปรับแก้กันกลางทาง ไม่ใช่เรื่องที่จะทำกันได้ง่ายๆ เพราะการทำทีมในแต่ละปี สโมสรฟุตบอลทุกทีมบนโลก ล้วนวางแผนกันระยะยาวจนจบฤดูกาลทั้งนั้น

การขาดหายไปของตัวหลัก

อีกหนึ่งปัจจัยที่มองข้ามกันไม่ได้เลย คือ เรื่องของขุมกำลังผู้เล่นตัวหลัก ที่เคยอยู่กับทีมมาอย่างยาวนาน คุ้นเคยเรื่องแทคติกส์ และ ระบบการซ้อมของทีมเป็นอย่างดี ถ้าลงเล่นต่อเนื่องเป็นคนสำคัญมาหลายปี

การเสียออกไปกลางทาง ย่อมส่งผลกระทบแน่นอน หากไม่สามารถอุดช่องโหว่นั้นได้ด้วยผู้เล่นที่มีศักยภาพและความเข้าใจแบบทัดเทียมกัน แล้วนั่นก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ ลิเวอร์พูล และ ฟรอนตาเล่ ผลงานตกลงแบบน่าใจหายในฤดูกาลนี้

ทางฝั่ง ลิเวอร์พูล ฤดูกาลนี้ ต้องตัดสินใจปล่อยตัว ซาดิโอ มาเน่ หนึ่งในสามประสานแนวรุกออกไป เนื่องจากนักเตะอิ่มตัวกับทีม แล้วการได้ตัวแทนอย่าง ดาร์วิน นูนเญซ เข้ามาแทนที่ ก็ยังไม่สามารถทำผลงานที่ดีในระดับเดียวกับที่ มาเน่ เคยสร้างอิมแพคเอาไว้ได้

PHOTO : BAVARIAN FOOTBALL WORKS

ถ้าย้อนกลับไปซีซั่นก่อนหน้า ที่ทาง หงส์แดง จบในตำแหน่งแค่รองแชมป์ลีก พวกเขาก็ต้องจำใจปล่อย จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม กองกลางสาระพัดประโยชน์ ที่ตัวของ คล็อปป์ ชื่นชอบเอามากๆ ออกไปให้กับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง เนื่องจากตกลงสัญญาฉบับใหม่กันไม่ลงตัว

โดยทาง คล็อปป์ ได้กล่าวถึงการเสียตัวหลักของทีมออกไปทั้งสองคนเอาไว้ว่า

“สำหรับผมมันเป็นเรื่องที่ทำใจยากเอามากๆ เพราะว่าการเสียเพื่อนไปสักคน (ไวจ์นัลดุม) พวกเราทุกคนในทีมต่างคิดถึงเขา แล้วนั่นมันเป็นสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้”
PHOTO : LIVERPOOL FC

“แต่มันเป็นเรื่องปกติของวงการฟุตบอล สิ่งเหล่านี้มันสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ มันไม่ใช่สิ่งที่สวยงามแต่เป็นไปตามวัฏจักร ผมก็ได้แต่หวังว่าเขาจะไปเจอกับทีมใหม่ที่ยอดเยี่ยม”

“มันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เราไม่จำเป็นต้องเสแสร้งว่ามันไม่ใช่การสูญเสียครั้งสำคัญ”

“การเสียหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดของทีมนี้ออกไป มันทำให้ผมรับรู้ได้เลยว่า เขา (มาเน่) สำคัญกับทีมนี้มากแค่ไหน”

ทางด้าน โอนิกิ หัวเรือใหญ่ของ ฟรอนตาเล่ ก็ต้องเจอความเปลี่ยนแปลงแบบเฉียบพลันเช่นกันในซีซั่นก่อน เพราะต้องเสีย คาโอรุ มิโตมะ แนวรุกตัวแบกของทีมออกไปให้กับ ไบรท์ตัน แบบไม่มีทางรั้งเอาไว้ได้ไหว

PHOTO : EUROSPORT

ส่วนในปีนี้ก็ต้องมาเสีย โชโกะ ทานิงูจิ เซนเตอร์แบ็คจอมแกร่งที่ย้ายไปเล่นกับ อัล รายยาน ในลีกประเทศกาตาร์ รวมไปถึง อาโอะ ทานากะ กองกลางสาระพัดประโยชน์ ที่ย้ายไปเล่นต่างแดนกับ ฟอร์ทูน่า ดุสเซลดอร์ฟ

แน่นอนว่าตัวแทนอย่าง ชนาธิป ในแนวรุก และ ทาคุมะ โอมินามิ ในแนวรับ ยังไม่สามารถอุดช่องว่างของนักเตะที่จากไปได้เลย ซึ่งแฟนบอลคงเห็นผลกระทบกันไปแบบเต็มตาแล้วในหลายเกมที่ผ่านมา ที่การสร้างเกมบุกก็ติดขัด รวมไปถึงเกมรับที่พร้อมโดนยิงทุกนาที

ภาวะอิ่มตัวของโค้ช

ปฏิเสธได้ยากว่าเมื่อ คล็อปป์ และ โอนิกิ อยู่กับทีมมาอย่างยาวนานเกิน 5 ปี ย่อมต้องมีอาการอิ่มตัวกับสโมสรของตัวเองที่ประสบความสำเร็จอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แทคติกส์เดิมๆ ก็ถูกคู่แข่งแก้ทางได้ การจะปรับเปลี่ยนอะไรใหม่ๆ ก็ตันและยังไม่ลงตัว

หากนับกันที่เรื่องของความสำเร็จ โอนิกิ พาทัพ ฟรอนตาเล่ กวาดแชมป์ลีก ไปทั้งหมด 4 จาก 6 สมัยหลังสุด บวกกับแชมป์บอลถ้วยอื่นๆ ในประเทศอีก 4 รายการด้วยกัน 8 แชมป์ในช่วงเวลา 6 ปี ยากที่จะหากุนซือใน เจ ลีก มาเทียบชั้นได้ง่ายๆ

PHOTO : DW

ส่วนความสำเร็จของ คล็อปป์ ที่อยู้กับ ลิเวอร์พูล มาตั้งแต่ 2015 แล้วพยายามวางรากฐานใหม่หมด จนทุกอย่างเกิดผล พาทีมกวาดแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยแรกเป็นประวัติศาสตร์สโมสร, แชมป์สโมสรโลกสมัยแรกเช่นกัน, แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย จากการเข้าชิงสามครั้ง บวกกับบอลถ้วยอื่นๆ อีก 4 รายการ

นายใหญ่ชาวเยอรมัน เคยเจอสถานการณ์แบบนี้กับการคุมทัพ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มาแล้ว ซึ่งสุดท้ายก็ลงเอยด้วยการแยกทางกันไป เพราะมันดูจะเป็นทางออกที่ลงตัวกับทั้งสองฝ่าย ซึ่งไม่แน่ว่าการคุมทัพในถิ่น แอนฟิลด์ จะมีบทสรุปแบบเดียวกันหรือไม่

วิดีโอการฉลองแชมป์ของ ฟรอนตาเล่

ทุกปัจจัยที่กล่าวถึงมาข้างต้น ล้วนเป็นสิ่งที่ ลิเวอร์พูล และ ฟรอนตาเล่ ต้องกลับไปขบคิดเพื่อหาทางแก้ไข ในการพาทีมกลับมาอยู่บนเส้นทางที่ควรจะเป็นอีกครั้ง แต่ไม่มีใครรู้ได้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะมีระยะเวลาเส้นตายถึงตอนไหน

ถ้าหากบอร์ดบริหารของทีมและแฟนบอล ไม่สามารถอดทนรอพวกเขาได้ การมองหาคนใหม่ๆ เข้ามาเติมชีวิตชีวาให้กับทีมอีกครั้ง ย่อมเป็นทางออกสุดท้ายในการแก้ไขสถานการณ์อันวิกฤติที่เหมาะสมที่สุด

แหล่งข้อมูลอ้างอิง :

https://www.youtube.com/watch?v=gBUwaR05eB8

https://thinkcurve.co/y-nhaakhamt-bprachyaafutb-l-fr-ntaael-cchring-saitlaihnthamaim-chnaathip-aimehmaaa/

https://www.skysports.com/football/news/11669/10643013/jordan-henderson-interview-how-liverpool-are-pressing-for-the-title

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-10941845/Jurgen-Klopp-laments-sale-Sadio-Mane-Bayern-Munich.html

แชร์บทความนี้

ข่าวและบทความล่าสุด

mask-bg
logo-black

SOCIAL MEDIA

MOST POPULAR

สนใจโฆษณาติดต่อ