3 เกม 0 นาที : เกิดอะไรขึ้นที่ ฟรอนตาเล สาเหตุที่ ชนาธิป ไม่ได้ลงสนาม ?

3 เกม 0 นาที : เกิดอะไรขึ้นที่ ฟรอนตาเล สาเหตุที่ ชนาธิป ไม่ได้ลงสนาม ?
ณัฐพล อ่วมเรืองศรี


จากประเด็นดราม่าร้อนแรงของ “เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ ซึ่งมาจากการที่แฟนบอลไทยส่วนใหญ่ หลงเชื่อข่าวลือ แล้วลุกฮือตามกระแสที่ปลุกปั่นจากสื่อบางเพจ จนลุกลามไปเป็นการถกเถียงใหญ่โต เรื่องการให้สัมภาษณ์ของเพลย์เมคเกอร์ทีมชาติไทย

คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคเกี่ยวกับ เป้าหมายของเจ้าตัว ที่ไม่ได้คาดหวังอะไรในฤดูกาลนี้ ที่สื่อออกมาแบบทีเล่นทีจริงตามสไตล์คนขี้หยอกของ เจ ถูกนำไปปั่นกระแสโยงว่า โทรุ โอนิกิ ผู้ฝึกสอนชาวญี่ปุ่นของสโมสร คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ ไม่พอใจเป็นอย่างมาก แล้วเป็นสาเหตุสำคัญที่ไม่ส่งเขาลงเล่นในซีซั่นนี้

ถ้าเป็นแฟนบอลไทยที่ติดตามการให้สัมภาษณ์ของ ชนาธิป กับสื่อต่างๆ ในช่วงหลัง นับตั้งแต่จบฤดูกาลไปแล้ว จะรู้อยู่เป็นทุนเดิมแล้วว่า ฤดูกาลก่อนที่เจ้าตัวตัดเกรดตัวเองไว้ที่ 6 เต็ม 10 นั้นเป็นเพราะกดดันตัวเองมากเกินไป บวกกับสภาพร่างกายที่มีอาการบาดเจ็บรบกวน


เรื่องที่เกี่ยวข้อง : 3 ทางของ “เจ” : มองรอบด้านถึงอนาคต ชนาธิป ในการค้าแข้งต่างเเดน
3 ทางของ “เจ” : มองรอบด้านถึงอนาคต ชนาธิป ในการค้าแข้งต่างเเดน | Think Curve - คิดไซด์โค้ง
Think Curve - คิดไซด์โค้ง กระแสเรื่องอนาคตของ “เจ - ชนาธิป สรงกระสินธ์” เพลย์เมคเกอร์เบอร์หนึ่งของทีมชาติไทย กลายเป็นที่พูดถึงของแฟนบอล ตามกลุ่มโลกสังคมออนไลน์กันแบบหนาหู หลังเจ้าตัวต้องเปิดฤดูกาลนี้ ด้วยการไม่มีชื่อแม้แต่ตัวสำรองกับต้นสังกัด

การถูกซื้อไปร่วมทีมระดับแชมป์ เจ ลีก ด้วยดีกรีเป็นนักเตะอาเซียน ที่ราคาสูงที่สุดเป็นประวัติกาลนับตั้งแต่มีโควต้านี้มา ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าตัวจะสามารถแบกรับความกดดันเอาไว้แบบสบายๆ เหมือนสมัยที่อยู่กับ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร ที่ยึดตำแหน่งเป็นตัวจริงแบบถาวร หากไม่เจ็บ ไม่แบน ยังไงก็ได้ลง

บรรยากาศภายในทีมของ ฟรอนตาเล่ นั้นถูกถ่ายทอดจากปากของ เจ ชัดเลยเสมอว่า ทุกคนที่อยู่ในทีมนี้ล้วนมีฝีเท้าระดับเยี่ยมยอดเหมือนกันหมด เป็นทีมที่คัดกรองผู้เล่นระดับท็อปเข้ามา เพื่อหวังจะประสบความสำเร็จเป็นแชมป์

ดังนั้นตัดเรื่องประเด็น ดราม่า ไร้สาระเรื่องบทสัมภาษณ์ ที่มองยังไงก็เป็น เฟค นิวส์ ไปได้เลย แต่เรื่องของศักยภาพของเจ้าตัวเอง เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเพื่อนร่วมทีมรายอื่นๆ น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญมากกว่า ที่ส่งผลถึงการไม่มีชื่อในทีมมาแล้ว 3 นัดติดต่อกัน

การต่อสู้ของ ชนาธิป เพื่อหวังจารึกประวัติศาสตร์บนเวที เจ ลีก นั้นยังไม่จบลง การเตรียมตัวเองให้พร้อม แล้วมองเรื่องศักยภาพของเพื่อนร่วมทีมที่เป็นคู่แข่งลงสนาม ต้องเบียดแย่งตำแหน่งกันโดยตรง เพื่อนำมาพัฒนาตัวเองก็เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้

ตัวแปรภายในทีม คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ ที่ส่งให้ผลลัพธ์ของ เจ ต้องมาลงเอยแบบนี้คือใครกันบ้าง? ร่วมหาคำตอบได้ใน Think Curve - คิดไซด์โค้ง

โควต้านักเตะต่างชาติ

ตำแหน่งการเล่นที่ทำให้ เจ แจ้งเกิดกับ ซัปโปโร จนมีชื่อติดทีม เบสท์ อีเลฟเว่น ประจำศึก เจ ลีก คือ กองหน้ากึ่งปีกทางฝั่งซ้าย หรือ จะมองว่าเป็นโรล ไวด์ เพลย์เมคเกอร์ ก็ได้เช่นกัน ซึ่งกลายเป็นใบเบิกทางชิ้นสำคัญ ที่ปูทางให้เขาได้รับความสนใจจากทีมระดับแชมป์แดนปลาดิบ

ชนาธิป เคยพูดถึงช่วงเวลาที่ตัดสินใจย้ายไปร่วมอยู่กับ ฟรอนตาเล่ เอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า

“ผมอยากไปหาความท้าทายอีกขั้น เราไปอยู่ คาวาซากิ เพราะเราอยากได้แชมป์ ถ้าอยู่ คอนซาโดเล่ ซัปโปโร เราไม่มีทางแชมป์แน่ มันยากมาก คือ มันเป็นความฝันส่วนตัว ไม่ได้เกี่ยวกับแฟนบอล แม้แต่พ่อ-แม่ยังไม่รู้เรื่องนี้”

“มันไม่มีความกลัวอยู่ในหัวเลย แต่สิ่งที่มองกลับมาเป็นมูลค่าของตัวผมในสายตาของว่า คาวาซากิ มากขนาดนี้เลยเหรอ ทั้งที่เขาสามารถไปเลือกซื้อบราซิลที่ถูกกว่าผม นักเตะที่เก่งกว่าผม อาจใช้งานได้ดีกว่าผมอีก แต่เขาเลือกมั่นใจในตัวผม”

อย่างไรก็ตามนั่น อาจเป็นคำพูดที่ยังไม่ได้นับรวมไปถึง มาร์ซินโญ่ ตัวริมเส้นชาวบราซิลวัย 27 ปี ที่ย้ายมาอยู่กับทีมก่อนหน้า เจ ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2021 แล้วเป็นดีลที่ได้มาฟรีแบบไม่เสียค่าตัวสักแดงอีกด้วย

Photo : J.League

เป็นที่ทราบกันดีว่า ฟรอนตาเล่ นั้นเสียทาง คาโอรุ มิโตมะ ตัวริมเส้นที่เป็นดาวเด่นคนสำคัญ ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกมาครองได้ ออกไปให้กับสโมสร ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน จึงจำเป็นต้องหาผู้เล่นที่มีศักยภาพเท่าเทียมกัน มาอุดช่องโหว่ดังกล่าวไม่ให้ทีมเสียสมดุลย์

แล้วทาง มาซินโญ่ ก็ดูเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย เคยมีประสบการณ์เล่นให้กับทีมใหญ่แดนกาแฟบ้านเกิดอย่าง อินเตอร์นาซิอองนาล มาแล้ว ก่อนจะถูกซื้อตัวไปเล่นให้กับ ฉงชิ่ง เหลี่ยงเจียง ในปี 2019 ด้วยค่าตัวราว 1 ล้านยูโร

ผลงานบนเวทีศึก ไชนีส ซูเปอร์ลีกแต่ผลงานไม่เปรี้ยงปร้างเท่าไหร่นักตลอดสองฤดูกาล ลงสนามในลีกไปทั้งหมด 20 นัด ยิงประตูไปได้เพียงลูกเดียว มองจากสถิติเพียงตัวเลขเปล่าอาจดูเหมือนธรรมดา แต่ถ้าได้เห็นการเล่นในสนามแล้วจะคิดต่างออกไป

ซีซั่นแรกของ มาร์ซินโญ่ ได้ลงเล่นบนเวทีลีกสูงสุดของญี่ปุ่น รวมๆ ไป 11 นัด ทำไป 1 ประตูกับ 4 แอสซิสต์ ยังพอเข้าใจกันได้ว่าอยู่ในช่วงปรับตัว จังหวะติดขัด ความไม่เข้าใจกับเพื่อนใหม่ ความกดดันจากสภาพแวดล้อมต่างๆ อาจส่งผลให้เขาแสดงฝีเท้าออกมาได้ไม่เต็มที่

แต่พอเข้าฤดูกาลที่สอง ปีกชาวบราซิลรายนี้ได้รับความไว้วางใจจาก โอนิกิ ให้ลงสนามในลีกไปถึง 30 เกม แล้วก็ตอบแทนความไว้ใจของบอส ด้วยการกดไป 12 ประตู บวกกับอีก 6 แอสซิสต์ ถ้าวัดกันให้เห็นภาพด้วยกราฟ เรื่องของพัฒนาการที่เกิดขึ้นนั้น อัตราการเติบโตยิ่งกว่าหุ้นทำเงินบางตัวในตลาดหลักทรัพย์เสียอีก

แล้วพอได้เห็นลีลาในสนามของ มาร์ซินโญ่ ที่มีความเร็ว ความคล่องตัว จุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำ แย่งบอลยาก ไม่ต่างจาก ชนาธิป แต่ต่างกันที่สภาพร่างกายที่แข็งแรงกว่า จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ดาวเตะแซมบ้า จะเป็นตัวเลือกที่อยู่ก่อนหน้าเขา มีชื่อออกสตาร์ทเป็นตัวจริงซีซั่นนี้ครบทั้งสามเกม

อย่างไรก็ตามหากแฟนบอลไทย จะมองหาความหวังเล็กๆ ให้กับนักเตะจากทัพช้างศึก ในการเบียดแย่งตำแหน่งกับ มาร์ซินโญ่ ก็พอจะเหลือแสงสว่างอยู่บ้าง เพราะสามนัดที่ลงเล่นไปในปีนี้ ยังไม่มีประตูหรือแอสซิสต์เกิดขึ้นจากดาวเตะบราซิลเลี่ยนเลย ดังนั้นการปรับเปลี่ยนต่างๆ ยังมีความเป็นไปได้อยู่

นักเตะเจ้าถิ่น

ใช่ว่าโค้ชฝีมือเยี่ยมอย่าง โอนิกิ ที่เป็นคนเลือกเฟ้น คว้าตัว ชนาธิป เข้ามาเอง จะไม่รู้วิธีการใช้งานแบบอื่นๆ เมื่อตำแหน่งถนัดอย่างกองหน้ากึ่งปีกทางฝั่งซ้ายไม่เกิด การย้ายเขาไปเล่นในบทบาท มิดฟิลด์ตัวรุก ให้มีส่วนร่วมกับเกมกลางสนาม ก็เป็นทางเลือกที่ถูกลองมาแล้ว

แฟนบอลไทยและเทศ ทราบข้อดีของ เจ เป็นอย่างดีว่า มีจุดเด่นอยู่ที่ความคล่องตัว การเลี้ยงบอลที่พริ้วไหว และ ความเร็วในการเปลี่ยนสปีดที่ไม่ธรรมดา แต่อีกหนึ่งจุดขายของเขา คือ เรื่องของการจ่ายบอล ที่มีวิชั่นมองเห็นเพื่อนรอบตัวทั่วแนวรุก

ชนาธิป เคยถูกใช้งานในตำแหน่ง มิดฟิลด์ตัวรุก และ กองหน้าตัวต่ำ มาก่อนหน้านี้แล้วในการลงเล่นให้กับทีมชาติไทย ซึ่งเขาแทบจะเป็นหัวใจกำหนดแนวทางการบุกของ ทัพช้างศึก แทบทุกครั้งที่ได้ลงสนาม

หากวันไหนเล่นไม่ออกขึ้นมา การสร้างสรรค์โอกาสต่างๆ ในการทำประตู ก็แทบจะไร้ไอเดียไปทันที แต่ถ้าเกมไหนเครื่องติดขึ้นมา ก็เตรียมคว้ารางวัล เอ็มวีพี หลังจบเกมได้เช่นกัน

จากการให้สัมภาษณ์ของ เจ ได้พูดถึงบทบาทที่ถูกวางไว้ในทีม คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ เอาไว้ว่า

“เรามีมาตรฐานที่มันสูงตอนเล่นอยู่ ซัปโปโร ไง คือมาที่นี่ ผมเล่นตำแหน่งเบอร์ 8 (กองกลางตัวสร้างสรรค์เกม) พอเราทำงานหนัก บางทีเราไปไล่บอลจนสุด แล้วเราก็ต้องรับบอลต่อ ไล่มามันก็เหนื่อยแล้ว รับบอลมาก็ต้องให้ง่ายๆ ก่อน เราจะเสียบอลง่ายไม่ได้ตามหน้าที่”

“พอเราให้บอลไปปุ๊บ บางทีเราให้ไปเราก็อยากได้บอลคืนมาอีกทีนึง เพื่อที่จะเรียกความมั่นใจ แต่เพื่อนก็อาจไม่ส่งคืนมาให้แล้ว เพราะเลือกที่จะไปฝากบอลกับคนอื่น ซึ่งเขาก็ไม่ผิด เนื่องจากเขาอาจมีตัวเลือกที่ดีกว่า”

“แต่ผมเป็นคนที่เล่นฟุตบอลแบบอยากให้ไปก่อน แล้วเราค่อยหาจังหวะทำของเราเอง เดี๋ยวหาจังหวะจ่ายของเราเอง ซึ่งเราก็ไม่โทษโค้ช โทษเพื่อน เพียงแต่เว่าเราต้องเล่นในแบบของเราให้เขาดูให้ได้”

“การเล่นเบอร์ 8 ทีมผมต้องฟิตมาก เล่นปีกไม่เหนื่อยเท่าเบอร์ 8 คือ มันเป็นระบบทีมของเขา ที่เราต้องทำตามให้ได้ เพราะมันเป็นระดับมืออาชีพแล้ว และยังเหลือโอกาสอีกสองปีตามสัญญา”

จากคำกล่าวข้างต้น เมื่อนำไปเทียบกับระบบการเล่นของ ฟรอนตาเล่ ภายใต้การคุมทัพของ โอนิกิ ที่มีแผนเก่ง คือ 4-3-3 ตัดมิดฟิลด์ตัวรับออกไปหนึ่งตำแหน่ง จะเหลือตัวสร้างสรรค์เกมอีกสองตำแหน่งเท่านั้น

หนึ่งในพื้นที่ตรงนั้นก็ถูกกินโควต้าไปแล้วหนึ่งที่ ซึ่งเป็นผู้เล่นที่ดูเหมือนโค้ชจะชื่นชอบเป็นการส่วนตัว คือ ยาสุโตะ วากิซากะ ผู้เล่นหมายเลข 14 ที่ปีก่อนได้ลงเล่นเกมลีกไปถึง 32 เกม มีสถิติยิงไป 5 ประตู กับทำอีก 10 แอสซิสต์

ดังนั้นตำแหน่งที่เหลือให้ ชนาธิป แย่งชิงอีกหนึ่งที่ คู่แข่งที่เขาต้องเบียดเอาชนะให้ได้ คือ เรียวตะ โอชิมะ กองกลางสายเพลย์เมคเกอร์แท้ๆ ที่แม้จะมีส่วนสูงไม่ถึง 170 เซนติเมตร คล้ายคลึงกับดาวเตะทีมชาติไทย แต่เรื่องของสภาพร่างกาย ความแข็งแกร่ง เหนือกว่าอยู่พอควร

ซึ่งแฟนบอลมองแค่เบอร์ก็น่าจะเห็นถึงความสำคัญในทีม แบบเดาได้กันแบบกลายๆ ภาพคุ้นชินของทีมชั้นนำระดับโลก ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน คือ ใครใส่เบอร์ 10 ประจำทีมนั้นๆ อาจเหมารวมไปได้เลยว่านี่คือ เอส หรือ สตาร์ดาวเด่นของทีม

จุดเด่นของ โอชิมะ คือ ความคล่องแคล่วในการพลิกบอล พาบอลเอาตัวรอดจากพื้นที่คับขัน ขยันวิ่งขึ้นลงแบบไม่มีหมด แถมการจ่ายบอลยาวที่แม่นยำ ก็ดูจะเป็นทีเด็ดดูดีกว่า ชนาธิป ถ้าพูดกันตามความเป็นจริงที่เห็นในสนาม อายุอานามก็ใกล้เคียงกันแก่กว่าเพียงหนึ่งปี

นอกจากนี้ยังเหลือผู้เล่นม้ามืดอีกหนึ่งรายอย่าง ไดยะ โทโนะ ดาวรุ่งวัยแค่ 23 ปี ที่เคยถูกปล่อยออกไปให้ อวิสป้า ฟูกูโอกะ ยืมตัวไปใช้งานเก็บประสบการณ์ แล้วกลับมาเป็นตัวเลือกในแนวรุกเพิ่มเติมให้กับทีมในปี 2021 ซึ่งมีจุดเด่นเรื่องการสอดขึ้นไปทำประตูและความขยัน

สองคนนี้สลับกันเป็นตัวจริงในสามเกมแรก ในตำแหน่งกองกลางตัวสร้างสรรค์เกมเบอร์ 8 ให้กับ คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ ดังนั้นหมายความว่า ชนาธิป หากจะเบียดลงสนามเป็น 11 ตัวจริงในตำแหน่งเดียวกันนี้ เขาต้องทำผลงานในการซ้อมให้ดีกว่าให้ได้

ไม่เช่นนั้นก็ต้องพยายามใช้จุดขายที่ตัวเองถนัด กลับมาเป็นจุดเด่นในการเรียกความสนใจ ต้องเล่นในสไตล์ที่ตัวเองถนัด เลิกเกรงใจผู้เล่นคนอื่นจนมากเกินไปสักที เหมือนที่โค้ชเคยบอกมาก่อนหน้านี้แล้วว่า เขามีศักยภาพไม่ต่างกับคนอื่นๆ ในทีมเลย ติดแค่เรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว

การเอาชนะใจ โอนิกิ

ด่านที่ยากที่สุดที่ทาง ชนาธิป ต้องผ่านไปให้ได้ หากต้องการจะประสบความสำเร็จในการค้าแข้งกับ คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ คือ ต้องเอาชนะใจ โอนิกิ เฮดโค้ชของทีม ที่มีความหัวดื้อฝังอยู่ในดีเอ็นเอของเจ้าตัวไม่น้อย

หากแฟนบอลสังเกตุการทำทีมของ โอนิกิ อย่างละเอียด จะเห็นถึงความเชื่อมั่นในปรัชญาฟุตบอลของเขาชัดเจนมากๆ ต้องจ่ายบอลเร็ว แม่นยำ เน้นเกมรุก เอนเตอร์เทนแฟนบอล และปิดท้ายด้วยการได้สามคะแนนที่ต้องการ ทุกอย่างต้องจบลงแบบสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ

ไม่ว่าผลงานของทีมจะสะดุดไม่เป็นไปตามเป้า โอนิกิ ก็ยังมั่นใจว่าแนวทางการเล่นของเขาที่วางเอาไว้ให้กับ ฟรอนตาเล่ เป็นสิ่งที่เหมาะสม แล้วไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแผน เปลี่ยนระบบการเล่น เต็มที่ก็แค่เปลี่ยนผู้เล่นลงไปแก้เกมเท่านั้น

แล้วถ้าสิ่งที่ ชนาธิป ยืนยันอย่างหนักแน่นว่าเขาทำงานหนักจริง ไม่ได้วางเป้าหมายเอาไว้ เพราะไม่ได้อยากกดดันตัวเองเหมือนปีก่อน แต่ยังคงมีความมุ่งมั่นเหมือนเคย ร่างกายกลับมาสมบูรณ์ฟิตขึ้นกว่าเดิม เตรียมความพร้อมมาอย่างเต็มที่ช่วงปรีซีซั่นที่โอกินาว่า

การได้ลงสนามในแมตช์อุ่นเครื่องบางเกม ที่ได้ลงเล่นครบ 90 นาที หรือสลับไปเป็นตัวสำรองบ้าง มีเกมที่ตัวเองคิดว่าเล่นดี และเกมที่คิดว่าตัวเองเล่นไม่ดี ดังนั้นเขาก็ควรจะรู้ว่า จุดไหนที่ปรับปรุงให้ดีกว่านั้นได้ แล้วจะถูกใจโค้ช จนได้รับความไว้วางใจให้ลงสนาม

อย่างไรก็ตามหากสถานการณ์ของ เจ ยังคงวนเวียนไม่มีชื่ออยู่ในทีมสามนัดติดต่อกัน แม้แต่บทบาทตัวสำรองที่ม้านั่งข้างสนาม จะหวังโชว์ฟอร์มในเกมอย่างเป็นทางการ คงยังเป็นเรื่องที่ไกลเกินไป ต้องปรับมายด์เซ็ทแล้วกลับมาที่จุดตั้งต้นกันใหม่ เหมือนในสมัยที่ย้ายไปเล่นในญี่ปุ่นตอนแรก

หากเป็นแฟนบอลที่นั่งดูเกม เจ ลีก ซีซั่นนี้ จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของทีมระดับหัวแถว ที่กำลังทำผลงานได้ดีว่า พวกเขาหันมาเน้นเรื่องของการเพรสซิ่งเร็ว การเข้าปะทะ ประกบตัวแบบไม่ให้คู่แข่ง มีเวลาคิด มีเวลาทำอะไรได้ถนัด

จากเกมล่าสุดที่ ฟรอนตาเล่ ดวลกับ โชนัน เบลมาเร่ ขนาดเล่นในรังของตัวเองแท้ๆ ชื่อชั้นตามหน้าเสื่อดูดีกว่าชัดเจน แต่ช่วงประมาณ 20 นาทีแรก กลับโดนทีมเยือนบดเกมรุกใส่แบบแทบโงหัวไม่ขึ้น บอลทะลุจากแดนกลางไปพื้นที่อันตรายหน้ากรอบเขตโทษเร็วมาก

แผงกองกลางสามคนที่ โอนิกิ จัดลงมาในสนาม รวมไปถึงกองหน้ากึ่งปีกทั้งสองฝั่ง ต้องถอยลงมาต่ำเพื่อประคองสถานการณ์ยามต้องเล่นเกมรับ ทิ้งแค่ ไทเซย์ มิยาชิระ ไว้ชนกับกองหลังทีมเยือน หรือรอจังหวะให้ทาง มาร์ซินโญ่ หาพื้นที่ว่างในการเล่นได้ ก่อนจะให้บอลไปหวังใช้ความสามารถเฉพาะตัวเล่นงาน

การปะทะดวลเดือดในเกมนั้น สู้กันแบบเกินร้อย ช็อตต่อช็อต ไม่มีทิ้งช่วงให้คู่แข่งหายใจหายคอได้สะดวก จริงอยู่ที่ โอชิมะ ที่ได้ลงเป็นตัวจริง คู่กับ วากิซากะ ในตำแหน่งกองกลางตัวสร้างสรรค์เกม ไม่มีผลงานอะไรโดดเด่นให้น่าจดจำ แต่อย่างน้อยก็ยังช่วยทีมในการเข้าปะทะ จากการอาศัยเหลี่ยมบอล และ ความขยันเข้าสู้แบบไม่มีถอดใจ

เมื่อเห็นว่ารูปเกมแดนกลางไม่ดี โอนิกิ ก็ทำการเปลี่ยนผู้เล่นแก้เกม หนึ่งตำแหน่งตรงพื้นที่ดังกล่าว แล้วเป็นทาง วากิซากะ ที่ถูกถอดออกไป แล้วเลือกใช้ ยูสุเกะ เซงาวะ ลงมาเล่นแทน เหลือทาง โอชิมะ เอาไว้เพื่อเล่นลูกเซ็ตพีซต่างๆ เนื่องจากดาวเตะเบอร์ 10 ค่อนข้างทำได้ดี

โชคร้ายไปหน่อยสำหรับ ฟรอนตาเล่ ที่รูปเกมในครึ่งหลังกำลังดีขึ้น แต่ต้องมาเสีย เจเซียล เซนเตอร์แบ็คตัวเก่งที่บาดเจ็บ จนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกไป ซึ่งจากจุดเปลี่ยนตรงนี้ทำให้แนวรับเสียกระบวน จัดระบบกันยังไม่เข้าที่ เป็นที่มาให้ทีมเยือนออกนำไปก่อน 1-0 ในนาทีที่ 64

พอเห็นท่าไม่ดี โอนิกิ ก็ทำการแก้เกมเพิ่มเติม ด้วยการเปลี่ยนแนวรุกลงมาเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็น ไดยะ โทโนะ และ ชิน ยามาดะ สองแนวรุกที่ถูกส่งลงมาล่าประตูตีเสมอ แล้วก็เป็นความขยันของตัวสำรอง เซงาวะ ที่ตามบอลจังหวะสอง หลุดเข้าไปยิงด้วยซ้ายตีเสมอให้ทีมเป็น 1-1 ได้สำเร็จในนาทีที่ 81

แม้ว่าผู้เล่นของ ฟรอนตาเล่ ในสนาม จะพยายามใช้เวลาที่เหลืออยู่ประมาณ 10 กว่านาทีรวมช่วงทดเจ็บ เปิดเกมรุกบดใส่เต็มสูบ เพื่อหวังเอาประตูชัยให้ได้ แต่ก็ไม่เป็นผล เกมจบลงด้วยการแบ่งแต้มกันไปแบบสมานฉันท์

สถานการณ์ตอนนี้ โอนิกิ คงต้องย้อนกลับไปดูคำสัมภาษณ์ของตัวเองก่อนหน้านี้ที่เคยพูดเอาไว้ว่า

“แน่นอนว่าผมพยายามทำหลายๆ อย่าง เพื่อให้ลูกทีมลงเล่นแล้วเหนือกว่าคู่แข่ง รวมไปถึงเรื่องของทัศนคติของทีม มันเป็นโลกแห่งการแข่งขัน ผมต้องรับผิดชอบกับผลงานของทีม”

“ดังนั้นผมจึงอยากกลับไปแก้ไขข้อบกพร่องเพื่อพัฒนาทีม คุณภาพการเล่นเกมรุกของเรายังไม่ดีพอ ผมต้องการปรับปรุงการเคลื่อนที่ของผู้เล่นในเกมรุก รวมไปถึงจังหวะการเล่น ให้รูปแบบทุกอย่างมันลงตัวกับเป้าหมายที่วางไว้”

ในเมื่อผู้เล่น 11 ตัวจริง รวมไปถึงตัวสำรองที่เขาเลือกตอนนี้ยังไม่ตอบโจทย์ ทีมยังไม่สามารถทำผลงานให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้ ทางเลือกในแนวรุกอย่าง ชนาธิป ก็เป็นตัวหมากที่น่าสนใจสำหรับเขาอยู่เสมอ

หากกล้าที่จะลองเสี่ยงกันดูสักตั้ง แล้วมองเห็นว่านักเตะจากไทยรายนี้ มีศักยภาพดีเท่าเทียมคนอื่นจริงๆ แบบที่เขาเคยหยอดคำหวานไว้

อย่างไรก็ตามถ้าอนาคตของ เจ ยังคงถูกเมินเหมือนที่ผ่านมา ต้องรอโอกาสในการลงสนามในบอลถ้วยอย่าง ลูวาน คัพ หรือ เอ็มเพอเรอร์ คัพ แบบที่ไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอ เจ้าตัวคงต้องมองเส้นทางอื่นๆ เผื่อไว้บ้าง อย่างน้อยตลาด เจ ลีก ยังเปิดทำการจนถึงวันที่ 31 มีนาคม


แหล่งข้อมูลอ้างอิง :

https://www.transfermarkt.com/kawasaki-frontale/startseite/verein/9598

https://www.transfermarkt.com/daiya-tono/profil/spieler/500138

https://www.transfermarkt.com/marcinho/profil/spieler/520081

https://www.transfermarkt.com/ryota-oshima/profil/spieler/164264

https://www.transfermarkt.com/chanathip-songkrasin/profil/spieler/239602

https://www.youtube.com/watch?v=f_81HlyOAW0

https://www.youtube.com/watch?v=UnfLtncmBg8&t=42s

https://www.youtube.com/watch?v=BXSBVLse0sU&t=6s

แชร์บทความนี้
mask-bg
logo-black

SOCIAL MEDIA

สนใจโฆษณาติดต่อ