อนาคตนักเตะลูกครึ่ง : เสี่ยงในยุโรปต่อไปหรือกลับบ้านมาพักใจ แบบไหนดีกว่า ?

อนาคตนักเตะลูกครึ่ง : เสี่ยงในยุโรปต่อไปหรือกลับบ้านมาพักใจ แบบไหนดีกว่า ?
ณัฐพล อ่วมเรืองศรี

เทรนด์ยอดฮิตสำหรับการทำทีม ไทย ลีก ที่ส่งผลดีแบบทางอ้อมให้กับ ทีมชาติไทย คือ การพยายามเฟ้นหานักเตะลูกครึ่ง ซึ่งมีสัญชาติไทยเกี่ยวเนื่องอยู่ในสายเลือด เพื่อดึงตัวมาเป็นขุมกำลังให้กับทีม

เนื่องจากสามารถเลี่ยงบาลีคำว่า โควต้านักเตะต่างชาติได้ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องการโอนสัญชาติ ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับสำหรับแฟนบอลไทยบางกลุ่ม ที่ยังต้องการเห็นผู้เล่นที่เป็นคนไทยแท้ๆ ลงสนามให้กับ ทัพช้างศึก

ฐานข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับนักฟุตบอลในยุคสมัยนี้ สามารถเข้าถึงรายละเอียดเชิงลึกของผู้เล่นแต่ละคน ได้ง่ายกว่าเดิมหลายเท่าตัว เพราะการพัฒนาของเทคโนโลยีต่างๆ ที่ไปไกลมาก จนเชื่อมโลกเข้าถึงกันผ่านช่องทางออนไลน์อย่างสะดวกและรวดเร็ว

ดังนั้นบริษัทแมวมองต่างๆ ที่เป็นคนกลาง ย่อมมีการนำเสนอรายชื่อ นักเตะลูกครึ่ง ที่กระจายอยู่ตามทวีปต่างๆ มาให้กับทีมใน ไทย ลีก พิจารณา ถึงความเป็นไปได้ในการดึงตัวมาเสริมทัพ

ซึ่งนั่นก็ยังเป็นประเด็นที่ยังถกเถียงกันไม่จบไม่สิ้นว่า มันเป็นผลดีกับตัวผู้เล่นจริงหรือไม่? จากการที่ต้องคิดถึงหลากหลายปัจจัยที่เป็นตัวแปร  ร่วมวิเคราะห์หาคำตอบไปพร้อมกันกับ Think Curve - คิดไซด์โค้ง

โอกาสในการลงสนาม

แฟนบอลที่ติดตามชมฟุตบอลในลีกชั้นนำของยุโรปเป็นประจำ ย่อมรู้กันดีอยู่แล้วว่า การแข่งขันภายในสโมสรต่างๆ นั้นมีความเข้มข้นสูงขนาดไหน ต่อให้โปรไฟล์พื้นเดิมมาดีเป็นทุน แต่ถ้าทำผลงานได้ไม่เข้าตาในการซ้อมหรือการลงสนามจริง ก็ต้องลงเอยด้วยการนั่งดูเพื่อนเล่นไปก่อนทั้งนั้น

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเท่าไหร่นัก ที่เหล่าลูกครึ่งไทยตัวท็อปไม่ว่าจะเป็น “กัน” ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร, เบน เดวิส และ โจนาธาร เข็มดี ซึ่งมีประสบการณ์เริ่มต้นค้าแข้งอยู่ในยุโรปมาก่อน จะมีการเลือกเส้นทางที่แตกต่างกันออกไป

พิจารณากันที่เคสที่ให้เคียงกันอย่าง ธนวัฒน์ และ เบน ที่มีถิ่นฐานค้าแข้งอยู่ในประเทศอังกฤษ ทั้งคู่ไม่มีปัญหาเรื่องใบอนุญาตการทำงาน เนื่องจากมีสัญชาติที่สองรองรับอยู่ แต่เรื่องของโอกาสในการลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่ ดูเหมือนว่าความเป็นไปได้จะไม่ใกล้เคียงกันเลย

Photo : Leicester City FC

เบน เคยอยู่กับ ฟูแล่ม สโมสรในกรุงลอนดอน ที่ปัจจุบันเลื่อนชั้นไปเล่นในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กลับมีส่วนร่วมแค่กับทีมชุดอายุต่ำกว่า 18 ปี และ 21 ปีเท่านั้น แล้วสุดท้ายเมื่อถูกตัดเกรดแล้วว่าไม่ได้ไปต่อ ก็เลยถูกขายไปให้กับ อ็อกซ์ฟอร์ด ยูไนเต็ด ทีมในศึก ลีก วัน ในปี 2021

อย่างไรก็ตามการยอมลดชั้นตัวเองลงไปเล่นในลีกที่ต่ำกว่าของ เบน กลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง มีส่วนร่วมในการลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ไปแค่ 1 เกมเท่านั้น ในศึก อีเอฟแอล โทรฟี่ แถมยังมีเวลาโลดเล่นอยู่ในสนามแค่เพียง 17 นาที

เมื่ออนาคตในการค้าแข้งของเขา ไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ย่อมต้องมองถึงแผนสำรองอื่นๆ เพื่อหาโอกาสในการลงเล่นให้มากขึ้น ซึ่งสโมสรที่ติดต่อเข้าไปแล้วคุยกันลงตัว คือ “การท่าเรือ เอฟซี” ยักษ์ใหญ่ในศึก ไทย ลีก ที่ปิดดีลได้ในตลาดซัมเมอร์ปี 2022 ย้ายมาด้วยสัญญายืมตัวจนจบฤดูกาล

ซึ่งตัวของ เบน ได้เปิดเผยหลังจากการย้ายทีมลุล่วงไปด้วยดีว่า

“ผมมีความสุขที่ได้มาอยู่ที่นี่ เป็นการย้ายทีมที่ดี ผมอยากแสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า ผมทำอะไรได้บ้าง”

Photo : Indosport

“มันเป็นการตัดสินใจที่ยาก ผมมีตัวเลือกที่อังกฤษ แต่เป็นดิวิชั่นล่างๆ ระดับ ดิวิชั่น 4 หรือ 5 ซึ่งเล่นคนละสไตล์กับผม พวกเขาเล่นบอลยาว ไม่ค่อยเล่นบอลกับพื้นในสิ่งที่ผมถนัด”

“ผมเพิ่งจะอายุ 21 ปี ผมว่าตัวเองยังมีเวลา ตัวผมรู้จักนักเตะไทยหลายคนและรู้จักมาดามด้วย ผมรู้ว่า การท่าเรือ เป็นสโมสรใหญ่ แล้วในฤดูกาลนี้พวกเขามีโค้ชและโปรเจ็คท์ใหม่ วางเป้าไว้ในการลุ้นแชมป์”

“ผมรู้สึกว่า ไทย ลีก กำลังดีขึ้นเรื่อยๆ มีนักเตะต่างชาติที่เต็มไปด้วยคุณภาพ ส่วนนักเตะไทยก็พัฒนาฝีเท้าขึ้นเช่นกัน ที่นี่เป็นลีกที่ดีกว่าในสิ่งที่หลายคนคิด”

“การย้ายมาเล่นใน ไทย ลีก เพียงแค่ฤดูกาลเดียว เป็ยโอกาสสำคัญของผมที่จะทำให้ทุกคนได้เห็นว่า ผมทำอะไรได้บ้าง ซึ่งผมเองก็ยังไม่เสร็จกิจเรื่องการค้าแข้งในยุโรป”

Photo : Oxford Mail

“บางคนอาจมองว่า การที่ผมมาเล่นในไทยเพราะผมไม่สามารถกลับไปเล่นในยุโรปได้ แต่อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วว่า ผมคือผู้เล่นอายุน้อยที่สุดในทีมชุดใหญ่ของสโมสร อ็อกซ์ฟอร์ด ซึ่งตอนนี้ผมแค่อยากได้โอกาสลงเล่นแล้วแสดงผลงานให้เห็น”

“หลายคนมองว่า การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการถอยหลังลงคลอง แต่ส่วนตัวผมมองว่าการก้าวไปข้างหน้ามากกว่า บางครั้งคุณต้องยอมถอยหลังหนึ่งก้าวเพื่อเดินไปข้างหน้า”

“จริงๆ แล้วอนาคตของผมในยุโรปมันยังไม่จบลง แต่ผมอยากจัดการมันไปทีละขั้นทีละตอน ตอนนี้ขอโฟกัสผลงานไปแบบเกมต่อเกมก่อนจนจบฤดูกาล แล้วค่อยมาคุยกับเอเย่นต์ส่วนตัวว่า มีข้อเสนอในยุโรปที่น่าสนใจยื่นเข้ามาบ้างหรือไม่”

แต่แล้วทางเลือกที่ เบน ตัดสินใจมาอย่างดิบดี อาจไม่ได้เป็นไปตามแผนที่เขาวางไว้ จริงอยู่ที่เขามีโอกาสเล่นมากกว่าที่ อ็อกซ์ฟอร์ด พอสมควร แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดว่าจะได้ลงสนามเป็นตัวจริงอย่างต่อเนื่องทุกเกม เพราะว่า นักเตะในทีม สิงห์เจ้าท่า ที่เล่นตำแหน่งเดียวกับเขานั้นมีหลายคน ต้องหมุนเวียนกันไปตามการตัดสินใจของโค้ช

Photo : Goal

ส่วนในเคสของ กัน กับสโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ ที่เคยไปไกลสุดในอาชีพ ด้วยการถูกดันไปมีชื่อเป็นตัวสำรองในทีมชุดใหญ่ ภายใต้การคุมทัพของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ยังคงหยุดอยู่กับที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ที่ผ่านมาเต็มที่ก็ได้เล่นในชุดสำรองของ สุนัขจิ้งจอก เท่านั้น

แถมยังมาดวงแตกโชคร้าย บาดเจ็บหนักที่เข่าตั้งแต่ก่อนเปิดฤดูกาลนี้ การพยายามจะรีบกลับมาลงสนามให้เร็วที่สุด กลับส่งผลร้ายให้เจ้าตัวเจ็บซ้ำที่เดิม จนต้องใช้วิธีการดูดน้ำที่เข่าออกเพื่อลดอาการบวม เหมือนกับสตาร์ชื่อดังอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช กองหน้าจอมเก๋าจาก เอซี มิลาน

แต่อย่างน้อยดูเหมือนว่าอนาคตของ กัน ในถิ่น คิง พาวเวอร์ส สเตเดี้ยม จะยังได้ไปต่อ ดับกระแสข่าวลือการย้ายมา ไทย ลีก ช่วงที่เดินทางมาพักร้อนที่ประเทศไทยช่วงปลายปี จากการจับต้นชนปลายของสื่อที่ทึกทักเอาเอง

อ้างอิงจากการให้ข้อมูลของ “โค้ชโย่ง” วรวุฒิ ศรีมะฆะ ที่แย้มออกมาเป็นนัยๆ ผ่านการถ่ายทอดสดทางช่อง คิดไซด์โค้ง ว่า

“ตอนนี้นักกายภาพบำบัดอยากให้รักษาอาการบาดเจ็บไปตามเวลา อย่ารีบกลับมาเร็ว ส่วนล่าสุดนี่คาดว่าสัญญาที่เหลือกับ เลสเตอร์ ซิตี้ จนถึงกลางปีนี้ จะมีการเจรจาต่อสัญญาไปอีกสักอย่างน้อยปีนึง แล้วค่อยว่ากันอีกปี คาดว่านะ ความจริงถามเยอะกว่านี้อีกแต่พูดไม่ได้ คุยกันนานกว่าครึ่งชั่วโมง”

Photo : Goal

“คือตอนนี้สัญญา กัน กำลังจะหมด แต่คิดว่าตอนนี้น่าจะต่อกันไปอีกปีนึงก่อน แต่คำว่าต่อนี่คือ เลสเตอร์ ต้องโอเค แล้วตัวนักเตะก็ต้องโอเค ต้องเข้าใจด้วยว่า เลสเตอร์ ใช้งบประมาณในการสร้างสนามใหม่ไปเยอะมาก ฉะนั้นการต่อสัญญานักเตะก็ต้องดูตัวงบประมาณด้วย”

จากตัวอย่างข้างต้นทั้งสองราย สามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่า กัน และ เบน ยังต้องการค้าแข้งอยู่ในยุโรปต่อไป เพื่อพิสูจน์ตัวเอง แม้ว่าโอกาสในการลงสนามจะน้อยนิด ซึ่งใช่ว่านักเตะลูกครึ่งทุกคนจะคิดแบบเดียวกัน เพราะต้องมองถึงเรื่องของ

ความก้าวหน้ามั่นคงในอาชีพ

นักเตะลูกครึ่งโปรไฟล์ดีรายล่าสุด ที่ย้ายมาเล่นใน ไทย ลีก แล้วกำลังเป็นกระแสครึกโครมจากแฟนบอลในโลกโซเชี่ยล คงหนีไม่พ้น โจนาธาร เข็มดี ซึ่งเคยค้าแข้งอยู่ในลีกเดนมาร์กกับสโมสร โอบี โอเดนเซ่ ที่ปล่อยตัวให้ทาง เนียสท์เว็ด ยืมตัวไปใช้งานอีกทอด

หลังจาก โจนาธาร ถูกยกเลิกสัญญายืมตัวในเดือนธันวาคม เขาก็ถูกทางต้นสังกัดที่แท้จริงปล่อยตัวออกจากทีม แล้วเป็นทาง ราชบุรี เอฟซี เซ็นสัญญามาร่วมทีมในเดือนมกราคมที่ผ่านมา

เรียกว่าได้ของดีมาเสริมทัพแบบไม่เสียค่าตัว ทั้งที่ราคากลางในเว็บไซต์ต่างประเทศ ประเมินราคาดาวเตะรายนี้ไว้สูงถึง 1 แสนห้าหมื่นยูโรเลยทีเดียว

แต่แล้วกระแสข่าวด้านลบ ก็มีหลุดออกมาโจมตีการย้ายทีมของ โจนาธาร ด้วยการปล่อยข่าวลือออกมาว่า กองหลังวัย 20 ปี เรียกค่าเหนื่อยสูงถึง 5 แสนบาทต่อเดือน หวังมาโกยเงิน โดยที่ไม่ได้สนใจความก้าวหน้าของอาชีพ

Photo : Goal

ซึ่งเพียงไม่นานตัวของ โจนาธาร ก็ออกมาตอบโต้แบบหมดเปลือกถึงประเด็นนี้ว่า

“ผมต้องการลงสนามและเล่นฟุตบอลมากกว่าเดิม นั่นทำให้ผมย้ายมาเล่นใน ไทย ลีก หากผมทำผลงานได้ดี อนาคตก็อยากย้ายไปเล่นในลีกต่างประเทศอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นใน เอเชีย หรือ ยุโรป”

“ข่าวลือที่ผมขอค่าเหนื่อยเดือนละ 5 แสนบาท คือ เฟค นิวส์ (ข่าวปลอม) เป็นเรื่องไม่จริง คุณสามารถไปถามประธานสโมสร ราชบุรี ได้เลย”

“ถ้าผมต้องการค่าเหนื่อยแพงๆ มีทีมจาก มาเลเซีย ยื่นข้อเสนอมาให้ผมสูงกว่าที่ไทยอีก”

ปัจจุบัน โจนาธาร ลงเล่นให้กับ ราชบุรี ไปแล้วทั้งหมด 3 นัด ซึ่งเกมล่าสุดที่พ่ายให้กับ แบงค็อก ยูไนเต็ด คาบ้าน 0-1 ได้รับคำชมอย่างหนาหูจากแฟนบอลในโลกออนไลน์ ช่วยขันเกมรับให้ทีมได้อย่างเหนียวแน่น แม้ว่าจะเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน ซึ่งจังหวะที่ทำให้ทีมเสียจุดโทษ ก็ไม่ได้ถูกตำหนิอะไรมากมาย

Photo : Ratchaburi FC

การย้ายทีมแบบถาวรของ โจนาธาร อาจดูเหมือนเป็นการลดโปรไฟล์ของตัวเองตามหน้าเสื่อ แต่เขาก็เลือกเดิมพันอนาคตตัวเอง กับการได้อกาสลงเล่นอย่างต่อเนื่องเป็นการทดแทน ไม่เหมือนกับเคสของ เบน ที่ยังมีสัญญาผูกมัดกับต้นสังกัดที่แท้จริงอยู่ ความเสี่ยงต่ออาชีพและความมั่นคง แตกต่างกันแบบเทียบได้ยาก

ปฏิเสธได้ยากว่าเรื่องของค่าจ้างนักฟุตบอล ไทย ลีก นั้นถูกมองว่า “เฟ้อ” เกินจริงกันมาหลายปีแล้ว มีสื่อรายงานออกมาเรื่อยๆ ว่า หากเป็นตัวระดับทีมชาติชุดใหญ่ ยังไงก็การันตีระดับหกหลักถึงเจ็ดหลัก เลยทำให้แฟนบอลมองไปว่า งานสบายเงินดีแบบนี้ ใครๆ ก็อยากอยู่ในเซฟโซนบ้านเกิดต่อไปทั้งนั้น

ไม่จำเป็นเหนื่อย ปั้นโปรไฟล์ออกไปเสนอทีมในต่างประเทศ เพื่อย้ายออกไปเล่นนอกบ้านเกิด ที่เผลอๆ รายได้อาจจ่ายได้ไม่เท่ากับทีมใน ไทย ลีก ซึ่งถ้าถามเรื่องความมั่นคงในอาชีพ หากใครต้องไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์นั้นจริงๆ ย่อมตัดสินใจได้ยากหมดแน่นอน

อย่างไรก็ตาม โค้ชโย่ง ได้มีการยกตัวอย่างเคสของ กัน ในเรื่องของค่าตอบแทน และ ความท้าทายในการเล่น เอาไว้ว่า

“การได้อยู่ตรงนั้น พัฒนาตัวเองได้เยอะ อย่างน้อยก็เรื่องของร่างกาย มาทีแรกผมกระหร่อง แต่ดูตอนนี้สิแปบเดียว บึ้ก ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”

Photo : Goal

“คือคนที่เชียร์ให้ไปเล่นที่ฝรั่งเศส กัน มีทีมเล่นอยู่แล้ว แต่เล่นแล้วค่าตอบแทนก็ไม่ได้รับเหมือนที่ เลสเตอร์ ทุกคนต้องกินต้องใช้ จะมองเรื่องของอยู่ตรงไหนขอให้ได้เล่นอย่างเดียวไม่ได้ เรื่องระบบการเงินจะมีใครสู้ลีกอังกฤษได้”

“การเล่นให้กับทีมในฝรั่งเศส มีทีมให้ กัน เล่นอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัว แต่ค่าจ้างมันจะลดฮวบเลยนะ”

“กัน ก็รับค่าเหนื่อยที่ เลสเตอร์ อยู่ในระดับที่ใช้ได้อยู่ ถ้าต้นสังกัดปลอดโปร่งรอดตกชั้น การเจรจาทุกอย่างก็ไม่น่ามีปัญหา ตัวนักเตะก็ได้อยู่ต่อกับทีมใหญ่ระดับลีกสูงสุดไปด้วย กระแสข่าวที่ออกมาปั่นกันเยอะ”

เรื่องของความก้าวหน้าและความมั่นคงในอาชีพ มุมมองของนักฟุตบอลแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ไม่มีใครผิดใครถูก ทุกคนย่อมมีความเห็นส่วนตัวของตนเองเป็นที่ตั้ง ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ต้องยึดกันตามเรื่องของ

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา : ไปเจออะไรมาที่ เลสเตอร์ ทำไมถึงเก่งเบอร์นั้น ? | Think Curve - คิดไซด์โค้ง
Think Curve - คิดไซด์โค้ง ”ผมมองว่าการกลับมาจากการไปฝึกซ้อม(กับ เลสเตอร์)ในครั้งแรก มันมีการเปลี่ยนแปลง และช่วยยกระดับของทีมเราได้มาก”


ทัศนคติในการเล่นฟุตบอล

นักฟุตบอลอาชีพทุกคน ล้วนมีแพสชั่นในการลงสนามแต่ละเกมอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่ามันจะมากน้อยขนาดไหน ความมุ่งมั่นเป็น “นามธรรม” ที่จับต้องหรือวัดออกมาเป็นตัวเลขไม่ได้ว่า ใครจะมีมากกว่ากัน แล้วใช่ว่ามีมากแล้วจะส่งผลไปในด้านดี

ทัศนคติเบื้องต้นของนักเตะอาชีพ ย่อมต้องอยากเป็นผู้ชนะ อยากประสบความสำเร็จ อยากมีชื่อเสียงโด่งดัง พาทีมคว้าแชมป์มาประดับเกียรติของทั้งตัวเอง สโมสร หรือแม้แต่ทีมชาติ แต่ใช่ว่าเป้าหมายของทุกคนจะตั้งธงไว้ที่เดียวกันเสมอไป

บางครั้งการประเมินตัวเองว่า อยู่ในระดับไหน? ก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน เพราะจะช่วยเรื่องการพัฒนา การวางแผนอนาคต ในการเลือกเส้นทางอาชีพที่เหมาะสม เนื่องจากมันไปคาบเกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวัน การหารายได้มาเลี้ยงดูครอบครัว ที่เป็นตัวแปรสำคัญที่ต้องนำมาคิดคำนวนให้เกิดความลงตัวมากที่สุด

Photo : Leicester City FC

นักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์หลายคน ที่ค้าแข้งอยู่ในลีกต่างประเทศชั้นนำ ต่างกล้าออกมายอมรับตามตรงว่าเล่นเพื่อเงินด้วยซ้ำ แล้วนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

ยกตัวอย่างเช่นในรายของ เบอนัวต์ อัสซู-เอก็อตโต อดีตแบ็คซ้ายของ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่กล่าวว่า

“มันมีหลายอย่างที่สำคัญในการใช้ชีวิตมากกว่าเตะลูกบอลไปมา”

“ใช่เลย ผมเล่นฟุตบอลเพื่อเงิน แต่ไม่ใช่ทุกคนบนโลกเหรอ ที่ต้องตื่นเช้าออกไปทำงาน เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัว”

Photo : Transfermarkt

รวมไปถึง คาร์ลอส เตเบซ อดีตกองหน้าของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่พูดถึงการย้ายไปเล่นในศึก ไชนีส ซูเปอร์ลีก ประเทศจีน ที่เขาได้รับค่าจ้างสูงถึง 6 แสนปอนด์ ต่อสัปดาห์ เอาไว้ว่า

“มันก็เป็นเรื่องที่รับกันได้นะเพราะว่า ไม่ต่างกับผมเดินทางมาพักร้อนแค่ 7 เดือนแค่นั้น”

ดังนั้นการชั่งน้ำหนักว่าเหล่านักเตะแต่ละคน จะเลือกเสี่ยงดวง สู้เพื่อพิสูจน์ตัวเองในลีกชั้นนำของยุโรปต่อไป เพื่อสร้างชื่อให้กับตัวเขาและประเทศไทย หรือจะย้ายมาเล่นใน ไทย ลีก เพื่อโอกาสการลงสนามที่ต่อเนื่อง แล้วยังรับทรัพย์ก้อนโตเป็นของแถม ไม่ใช่หน้าที่ของ แฟนบอล ที่จะไปตัดสินใจแทนพวกเขา

ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมาได้แบบอารยชน ซึ่งต้องมีการไต่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ยัดเยียดตรรกะ หรือ แนวคิดของตัวเอง เพื่อบังคับให้ใครต้องเลือกตัดสินใจตามแบบที่ตัวเองคิดเท่านั้น ถึงจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

Photo : Sportsnet

เหล่าผู้เล่นล้วนรู้เรื่องของตัวเองดีที่สุดว่า ทางไหนได้ประโยชน์แบบไหน หรือ ทางไหนเสียประโยชน์แบบใดบ้าง สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ต้องเดิมพันด้วยชะตาของตัวเอง ผิด-ถูกอย่างไรว่ากันไปตามสถานการณ์ หน้าที่ของแฟนบอลอย่างเราๆ แค่ให้กำลังใจและสนับสนุนกันต่อไป คงเพียงพอแล้วสำหรับเรื่องของความหวังดี

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

เปิดกฎเวิร์คเพอร์มิตพรีเมียร์ลีก : ศุภณัฎฐ์ ไป เลสเตอร์ ได้จริงหรือ ?

ศุภณัฏฐ์ นำทัพ : 6 วันเดอร์คิดเอเชียที่ติดอันดับโลกปี 2019 ทุกวันนี้เป็นอย่างไร ?

ยุโรปไม่ไกลเกินฝัน : 5 ลีกทางเลือกที่แข้งไทยเล่นได้ไม่ต้องห่วงเรื่องเวิร์คเพอร์มิต

แหล่งอ้างอิง:

https://www.goal.com/th/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B8%81--%E0%B8%98%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%A4%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81/blt6d4ce51ab4b9b146

https://mainstand.co.th/th/news/1/article/9650

https://www.youtube.com/watch?v=SnsGU3pBsPE

https://www.youtube.com/watch?v=RAWz4HATJZo&t=48s

https://www.transfermarkt.com/jonathan-khemdee/profil/spieler/656695

https://www.transfermarkt.com/ben-davis/profil/spieler/532374

https://www.transfermarkt.com/thanawat-suengchitthawon/profil/spieler/427691

https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-8168413/Meet-footballers-dont-like-football-Including-Batistuta-Ter-Stegen-Tevez.html

แชร์บทความนี้
mask-bg
logo-black

SOCIAL MEDIA

สนใจโฆษณาติดต่อ